ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ - ตอนที่ 257 หนุ่มน้อยคนนี้ไม่ค่อยปกติ
ตอนที่ 257 หนุ่มน้อยคนนี้ไม่ค่อยปกติ
พอหันไปมอง กลับเห็นฉางซิงอวี่กำลังขี่ม้าตัวสูงใหญ่สีขาวบริสุทธิ์วิ่งตะบึงออกมาจากปากหุบเขา
ในมือของเขายังมีหนุ่มน้อยชุดขาวคนหนึ่งที่ถูกมัดแบบห้อยหัวลงเหมือนสัตว์ เชือกที่มัดอยู่บนตัวคนคนนั้น ไม่ว่าจะมองให้เป็นเป็นแบบภายนอก หรือมองให้เป็นศิลปะภายใน ก็ล้วนทำให้คนรู้สึกว่าคุ้นตาตามาก
แค่มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าเป็นฝีมือของน้องดาบ!
ส่วนน้องดาบ ศิลปินที่รังสรรค์ผลงานนี้สำเร็จก็ปรากฏตัวตรงปากหุบเขาพร้อมกับฉางซิงอวี่ ม้าขาวทวนเงิน เงาร่างสีแดงเพลิงกระโดดแวบผ่าน รักษาระดับความเร็วให้เท่ากับม้าของฉางซิงอวี่ เห็นได้ชัดว่าชำนาญมาก
ความสง่างาม ล่องลอยและรวดเร็วของวิชาตัวเบาระดับสูง เมื่ออยู่บนตัวนางก็ได้รับคำนิยามว่าสมบูรณ์แบบที่สุด!
ข้างหลังทั้งสองมีชายชราชุดเทาสองคนตามมาติดๆ หนึ่งในนั้นถือไม้เท้าสั้น ส่วนอีกคนถือพู่กันผู้พิพากษา เนื่องจากมีบอสที่ปลิดชีพคนอื่นได้ทุกเมื่ออย่างอาต้าตามหลังอยู่ เยี่ยเว่ยหมิงไม่กล้าโคจรกำลังภายในไปที่ดวงตาสองข้างเพื่อมองให้ละเอียด แต่ดูจากลักษณะภายนอกและอาวุธของพวกเขาก็รู้แล้วว่าสองคนนี้คือสองเฒ่าเสวียนหมิง อาคันตุกะไม้เท้ากวางและเฒ่าพู่กันกระเรียน ซึ่งเป็นยอดฝีมือระดับสูงของจวนท่านอ๋องหรู่หยาง
ตัดสินจากท่าร่างของทั้งสองคน พวกเขาน่าจะเป็นบอสร่างแท้ที่อยู่ในโหมดภารกิจ ไม่ใช่คนอื่นที่ใช้อาวุธคล้ายกันปลอมตัวมา
ถ้าเป็นอย่างนั้น จำนวนยอดฝีมือฝ่ายศัตรูก็ไม่สอดคล้องกับข้อมูลที่เขามีแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้น การใช้ยอดฝีมือปลอมตัวเป็นยอดฝีมืออีกคน เรื่องแบบนี้ค่อนข้างปัญญาอ่อน คาดว่าทางฝั่งราชสำนักมองโกลคงไม่ทำอย่างนี้
ท่าร่างของสองเฒ่าเสวียนหมิงรวดเร็วถึงขีดสุด ถึงขั้นเร็วกว่าอาต้าด้วย
ด้วยความเร็วของพวกเขา ที่จริงมีโอกาสตามฉางซิงอวี่กับน้องดาบทันอยู่แล้ว เพียงแต่กลัวจะกระทบกับคนฝ่ายตัวเอง ไม่กล้าบุ่มบ่ามลงมือ ถึงได้ตามอยู่ข้างหลังแบบไม่ใกล้ไม่ไกลเกินไป
ทั้งไม่กดดันเกินไป ทั้งไม่ให้โอกาสสองคนนี้หลบพ้นสายตาพวกเขา
หลังจากเห็นสี่คนพุ่งออกจากหุบเขา อาต้าก็หยุดไล่ตามโจมตีเยี่ยเว่ยหมิง ผู้เล่นทั้งสามก็หยุดใช้อาวุธลับก่อกวนเขาแล้วเช่นกัน
ทุกคนหยุดมือพร้อมกัน ฉางซิงอวี่ น้องดาบมาถึงข้างกายทั้งสามคน ฉางซิงอวี่โยนหนุ่มน้อยชุดขาวให้เยี่ยเว่ยหมิง จากนั้นกระโดดลงม้า
ส่วนสองเฒ่าเสวียนหมิงก็ยืนอยู่ข้างกายอาต้า มองห้าคนในทีมด้วยสายตาเดือดแค้น
ขณะเดียวกันนี้เอง ค่าสเตตัสที่มีเฉพาะ BOSS ก็ลอยอยู่ตรงหน้าทั้งห้าคนแล้ว
[อาคันตุกะไม้เท้ากวาง]
หนึ่งในสองเฒ่าเสวียนหมิง ยอดฝีมือของจวนท่านอ๋องหรู่หยาง
เลเวล: 65
พลังชีวิต: 330000/330000
กำลังภายใน: 210000/210000
……
[เฒ่าพู่กันกระเรียน]
หนึ่งในสองเฒ่าเสวียนหมิง ยอดฝีมือของจวนท่านอ๋องหรู่หยาง
เลเวล: 65
พลังชีวิต: 320000/320000
กำลังภายใน: 215000/215000
……
หลังจากทุกคนยืนมั่นคงแล้ว เยี่ยเว่ยหมิงก็พบว่าจู่ๆ สายตาที่สองเฒ่าเสวียนหมิงมองกันก็เปลี่ยนเป็นมีเลศนัย เหมือนอาจจะเสี่ยงพุ่งเข้ามาช่วยคนได้ทุกเมื่อ เขากดกระบี่แสงทองตรงใต้รักแร้ของหนุ่มน้อยชุดขาวที่เพิ่งรับมาจากฉางซิงอวี่พร้อมตะคอกเสียงดุดันว่า “อย่าขยับ ไม่อย่างนั้นข้าจะฟันแขนเขาข้างหนึ่งก่อน”
เมื่อกล่าวคำนี้ออกมา ยอดฝีมือสามคนที่อยู่ตรงข้ามก็ถอยหลังหนึ่งก้าวพร้อมกัน กลัวว่าถ้าตัวเองเผลอขยับแค่นิดเดียวก็จะทำให้เยี่ยเว่ยหมิงเข้าใจอะไรผิดได้
เมื่อครู่ที่ดูเหมือนการเจรจาสันติ แต่ที่จริงทั้งสองฝ่ายกลับเริ่มทำสงครามจิตวิทยาแล้ว
สองเฒ่าเสวียนหมิงโลภในตำแหน่งและผลประโยชน์ที่สุด ย่อมไม่นำอนาคตของตัวเองไปล้อเล่นง่ายๆ อยู่แล้ว และการที่พวกเขาแอบส่งสายตาให้กัน ทำท่าเหมือนคันไม้คันมืออยากต่อสู้ก่อนหน้านี้ ก็เพื่อหยั่งเชิงปฏิกิริยาของเยี่ยเว่ยหมิง
ด้วยศักยภาพของทีมเยี่ยเว่ยหมิง ไม่ว่าจะเผชิญหน้ากับใครในสองเฒ่าเสวียนหมิง ก็สู้ชนะได้ทั้งนั้น แต่ถ้าเผชิญหน้าทีเดียวพร้อมกันสองคน ก็ทำได้เพียงเลือกว่าจะหนีหรือจะตายทั้งทีม ถ้าสู้แบบหนึ่งต่อสามก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงแล้ว
ถ้าสู้กันอย่างยุติธรรม ฝั่งเยี่ยเว่ยหมิงก็มีแต่จะถูกอีกฝ่ายฆ่าตายเอาง่ายๆ เท่านั้น!
เมื่ออยู่ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ คนปกติล้วนรู้สึกไม่มั่นใจ ตัวประกันที่อยู่ในมือเป็นฟางช่วยชีวิตเพียงเส้นเดียวที่เหลืออยู่ แม้ศัตรูจะเคลื่อนไหวผิดปกติ แต่พวกเขาก็ไม่กล้าฆ่าตัวประกันง่ายๆ อยู่ดี
ถ้าตอนที่พวกเขาทำท่าเหมือนจะลงมือ แล้วเยี่ยเว่ยหมิงแสดงออกว่าลนลานหวาดกลัว สองเฒ่าเสวียนหมิงจะต้องลงมือช่วยคนอย่างไม่ลังเลแน่นอน
เนื่องจากพวกเขามีความมั่นใจเต็มเปี่ยม ขอเพียงเยี่ยเว่ยหมิงมีความลังเลแม้เพียงเวลาสั้นๆ พริบตาเดียว พวกเขาก็จะมีความมั่นใจว่าจะช่วยท่านอ๋องน้อยออกจากปากเสือโดยไม่เกิดการสูญเสียแม้แต่น้อย
ทว่า เยี่ยเว่ยหมิงกลับไม่มีท่าทีจะเล่นสงครามจิตวิทยากับพวกเขาเลย การที่เขากดกระบี่ตรงใต้รักแร้ของท่านอ๋องน้อยก็คือการพิสูจน์ที่ดีที่สุดแล้ว
ตัวประกัน ในมือพวกเรามีแค่หนึ่งคนจริงๆ
แต่ข้าก็ไม่ได้มีแค่ทางเลือกว่าจะฆ่าหรือไม่ฆ่าเสมอไป!
ขอเพียงตัวประกันไม่ตาย เช่นนั้นไม่ว่าจะหักแขนหรือหักขา มูลค่าของเขาสำหรับข้าก็ไม่ลดลงมากเท่าไรนัก
ส่วนสองเฒ่าเสวียนหมิงถ้าช่วยท่านอ๋องน้อยที่แขนขาดกลับไป เช่นนั้นสิ่งที่รอพวกเขาอยู่ ก็คงเป็นท่านอ๋องหรู่ยางที่ไล่สังหารไม่หยุดหย่อน
ชั่วขณะนั้น สามยอดฝีมือที่อยู่ตรงข้ามตกตะลึงถึงขีดสุดเพราะการกระทำที่เรียบง่ายของเยี่ยเว่ยหมิง
ไม่กล้าก้าวออกจากขอบเขตแม้แต่ก้าวเดียว!
หลังจากกุมอำนาจฝ่ายกระทำในการเจรจาไว้ในมือตัวเองแล้ว สายตาของเยี่ยเว่ยหมิงกลับไปหยุดอยู่บนกระบี่อิงฟ้าของเขา
ตอนนี้มีตัวประกันอยู่ในมือ เป็นเวลาที่กระบี่ล้ำค่าที่มีววาสนากับตนกลับคืนสู่เจ้าของแล้วเช่นกัน
บนใบหน้าเผยรอยยิ้มแห่งความมั่นใจในชัยชนะ เยี่ยเว่ยหมิงเพิ่งจะเอ่ยปาก ท่านอ๋องน้อยที่อยู่ในมือเขากลับพูดก่อนว่า “นี่! เจ้าหิ้วคนเหมือนหิ้วไก่แบบนี้ ไม่คิดว่าเสียมารยาทเกินไปหน่อยหรือ ถ้าอยากเจรจา ก็ปล่อยข้าไปก่อน ข้าจะเจรจากับเจ้าเอง พวกเขาล้วนฟังคำสั่งข้า!”
“อ้อ?”
หนูน้อยหน้าตาใสซื่อที่อยู่ในมือดึงดูดความสนใจแล้ว เยี่ยเว่ยหมิงดึงเชือกให้เขาลอยสูงขึ้นมา ทำให้ศีรษะของเขาอยู่เท่ากับสายตาตนพอดี ท่าทางเหมือนกำลังชื่นชมเครื่องเคลือบลายครามที่ขยับไม่ได้ ทำตามอำเภอใจและสง่าผ่าเผยมาก
แน่นอน เพื่อป้องกันไม่ให้ฝ่ายตรงข้ามเกิดความคิดไม่ซื่อ ตอนที่เยี่ยเว่ยหมิงกำลังสำรวจหนุ่มน้อยไร้เดียงสาตรงหน้า ก็ยังไม่ลืมกำชับน้องดาบที่อยู่ข้างกาย “เจ้าช่วยจับตาดูให้ข้าหน่อย ถ้ามีการเคลื่อนไหวผิดปกติเมื่อไร ข้าจะลงมือกำจัดแขนข้างหนึ่งของเจ้าหนุ่มน้อยทันที”
ในบรรดาเพื่อนร่วมทีม คนที่เยี่ยเว่ยหมิงเชื่อใจที่สุดก็ย่อมเป็นสะพานสวรรค์น้อย แต่ถ้าเรื่องการลงดาบ เขากลับวางใจน้องดาบมากกว่า
น้องดาบยิ้มบางๆ “อีกประเดี๋ยวตอนแบ่งของกัน ของชิ้นแรกที่ข้าชอบ เจ้าห้ามมาแย่งกับข้านะ”
ไม่รอให้เยี่ยเว่ยหมิงตอบ นางก็ส่งข้อความในช่องทีมว่า [ไม่ใช่กระบี่อิงฟ้า]
“เช่นนั้นก็ไม่มีปัญหา”
ขณะที่พูด สายตาของเยี่ยเว่ยหมิงก็อยู่บนตัวหนุ่มน้อยไร้เดียงสาตรงหน้าแล้ว อีกฝ่ายอายุประมาณสิบกว่าขวบเท่านั้น ผิวขาวสะอาดหมดจด บอบบางเหมือนเด็กผู้หญิง แต่ผู้หญิงคนนี้กลับใจกล้าไม่เบา แล้วตอนนี้ความเป็นความตายของตัวเองจะอยู่ในมือเยี่ยเว่ยหมิง แต่กลับสบตากับเขาอย่างสงบนิ่งเยือกเย็น มองไม่เห็นความหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย
เยี่ยเว่ยหมิงเห็นดังนั้น ก็อดถามพร้อมรอยยิ้มไม่ได้ว่า “เด็กน้อย เจ้าชื่ออะไร”
“เจ้าฟังให้ดีนะ ข้าคือคู่คู่เท่อมู่เอ่อร์ ท่านอ๋องน้อยแห่งจวนท่านอ๋องหรู่หยาง ถ้าเจ้าจำไม่ได้ ก็เรียกชื่อภาษาฮั่นของข้าได้เช่นกัน หวังเป่าเป่า” หนุ่มน้อยไร้เดียงสาส่ายหน้าอย่างหงุดหงิด แล้วกล่าวขัดขืนเสียงดัง “นี่! จะรีบปล่อยข้าลงไปเดี๋ยวนี้ ข้าเพิ่งแปดขวบเองนะ เจ้ายังกลัวข้าหนีพ้นอีกหรือ”
หวังเป่าเป่า?
เยี่ยเว่ยหมิงเริ่มตรวจดูกลยุทธ์ที่สหายแซ่อินให้มา หาอยู่ตั้งนาน ถึงได้เจอชื่อที่ไม่สะดุดตาชื่อนี้
หวังเป่าเป่า: พี่ชายแท้ๆ ของนางเอกจ้าวหมิ่น ชื่อเดิมคือเท่อมู่เอ่อร์อะไรสักอย่าง รายละเอียดจำได้ไม่ชัดเจน ถึงอย่างไรก็ไม่ได้สำคัญกับภารกิจนี้
ไม่สำคัญ?
เยี่ยเว่ยหมิงกลับรู้สึกว่าเจ้าหนูน้อยคนนี้เหมือนท่าทางไม่ธรรมดาเลย