ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ - ตอนที่ 258 หมินหมิ่น เท่อมู่เอ่อร์
ตอนที่ 258 หมินหมิ่น เท่อมู่เอ่อร์
เขารู้สึกว่าเด็กน้อยในมือตัวเองมีไหวพริบดีมาก ตอนที่กำลังลังเลว่าจะแกะเชือกให้เขาก่อนดีหรือไม่ ข้างหูกลับมีเสียงเสื้อผ้าฝ่าปะทะลมดังขึ้นพักหนึ่ง
พอหันกลับไปมอง กลับพบว่ามีชายชราชุดขาวคนหนึ่งกำลังวิ่งมาจากทางหุบเขาอย่างรวดเร็ว กระโดดขึ้นกระโดดลงไม่กี่ครั้งก็มาถึงข้างกายพวกเขาแล้ว
คนผู้นี้ผมขาว ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่น ซอกของรอยย่นราวกับหนีบให้ยุงตายได้ มีเพียงดวงตาที่เป็นประกายสดใสเหมือนกับคนหนุ่มสาว มองไม่เห็นความขุ่นมัวเลยสักนิด
ดูจากแววตาหวาดกลัวของสองเฒ่าเสวียนหมิงและอาต้าก็รู้แล้วว่าความสามารถของชายชราคนนี้ได้สัดส่วนกับอายุของพวกเขาแน่นอน!
อายุเท่านี้เพียงพอที่จะทำให้ยอดฝีมืออย่างสองเฒ่าเสวียนหมิงมีพลังอำนาจที่น่าหวาดกลัวได้แล้ว
ฐานะของชายชราชุดขาว เหมือนจะปรากฏออกมาให้เห็นแล้ว…
พอมาหยุดอยู่ข้างกายคนพวกนี้ ชายชราก็พยักหน้ายิ้มให้พวกเยี่ยเว่ยหมิงเล็กน้อย แล้วกุมหมัดคารวะกล่าวว่า “ข้าเหอจู๋เต้าแห่งคุนหลุน ขอบคุณเหล่าสหายน้อยมากที่มีคุณธรรมน้ำมิตรมาช่วยเหลือ ถึงทำให้พวกเรารอดพ้นภัยพิบัติวันนี้ได้อย่างราบรื่น พวกไป๋ลู่จื่อกำลังสังหารกองทัพหยวนอยู่ในหุบเขา ข้ากังวลความปลอดภัยของเหล่าจอมยุทธ์น้อย จึงออกมาสนับสนุนล่วงหน้า แต่ดูจากท่าทางแล้ว ที่นี่เหมือนไม่จำเป็นต้องมีตาแก่อย่างข้าแล้ว”
เยี่ยเว่ยหมิงรีบคารวะตอบ “ผู้อาวุโสเหอเกรงใจแล้ว”
ข้างกายมียอดฝีมือรุ่นเฮฟวีเวทอย่างเหอจู๋เต้าคอยคุมสถานการณ์ เยี่ยเว่ยหมิงก็ไม่กังวลแล้วว่าหวังเป่าเป่าจะเล่นตุกติกอะไร วางเขาลงพื้นทันที พอสะบัดกระบี่แสงทอง ก็ฟันเชือกที่อยู่บนร่างเขาขาด แต่กลับไม่ทำให้เสื้อผ้าของเขาขาดแม้แต่น้อย
พอเห็นว่าหวังเป่าเป่าคนนี้พูดจาอย่างมีระเบียบแบบแผน แล้วนึกถึงคำพูดของหลวงจีนน้ำเต้าโลหิตก่อนหน้านี้ที่บอกว่า ปฏิบัติการครั้งนี้ ‘ท่านอ๋องน้อย’ บัญชาการด้วยตัวเอง เยี่ยเว่ยหมิงก็กำหนดคู่เจรจาเป็นเขาแล้ว
ส่วนสามยอดฝีมือที่อยู่ฝั่งนั้น?
ก็เป็นแค่ทาสสามคนก็เท่านั้นเอง ปล่อยพวกเขาไว้ตรงนั้นก็พอ
“คืออย่างนี้” หลังจากเยี่ยเว่ยหมิงกำหนดคู่เจรจาแล้ว ก็พูดหวังเป่าเป่าโดยตรงเลยว่า “เราให้พวกเขา สามคนส่งอุปกรณ์กับตำราลับทั้งหมดออกมา แล้วข้าจะปล่อยเจ้าจากไปอย่างปลอดภัย อย่างนี้ดีไหม”
หนุ่มน้อยไร้เดียงสาได้ยินแล้วอึ้งทันที จากนั้นก็ส่ายหน้าตอบว่า “ไม่มีทางหรอก! ที่จริงนอกจากกระบี่อิงฟ้าในมืออาต้าที่เป็นของจวนท่านอ๋องหรู่หยาง ของอย่างอื่นบนตัวพวกเขาสามคนล้วนเป็นของส่วนตัวของพวกเขาเอง นำมาแลกเปลี่ยนกับเจ้าในสถานการณ์แบบนี้ไม่ได้แน่นอน เพราะระบบไม่อนุญาต”
ประโยคสุดท้าย หวังเป่าเป่าเหมือนพูดออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่คงจะเป็นการแจ้งเตือนของระบบเช่นกัน
แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ เยี่ยเว่ยหมิงก็เตรียมใจไว้นานแล้ว
ดังนั้นจึงไม่ลังเลอีก แนะนำหวังเป่าเป่าอย่างอดทนว่า “แต่ถ้ามีเพียงกระบี่อิงฟ้าเล่มเดียว ข้าก็ยังรู้สึกขาดทุนมากนะ”
“เช่นนั้นเจ้ายังอยากได้อะไรอีก ขอเพียงเจ้าพูดออกมา ข้าจะพยายามเติมเต็มความปรารถนาของเจ้าแน่นอน แต่นอกจาก ‘ตำรากระบี่’…!” พอพูดได้ครึ่งเดียว หวังเป่าเป่าก็เหมือนตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่าง ยกมือกุมหน้าอกตัวเอง หลังจากคิดได้ว่าแบบนี้จะยิ่งเผยพิรุธ ก็วางมือลงอีกทันที
เด็กน้อยก็ยังคงเป็นเด็กน้อย ต่อให้ฉลาดขนาดไหน ก็ไม่มีเล่ห์เหลี่ยมเท่าไรนัก อากัปกิริยาที่อุดหูตนเองเพื่อขโมยระฆัง[1]แบบนี้ จะปิดบังเยี่ยเว่ยหมิงได้อย่างไร
เยี่ยเว่ยหมิงเห็นสภาพแล้วอดพูดไม่ได้ ทำท่ายื่นมือไปคว้าที่หน้าอกเขา แต่ตอนที่เขาเพิ่งจะยื่นไปได้ครึ่งเดียว กลับรู้สึกได้ว่ามุมปากของหวังเป่าเป่ายกยิ้มอย่างมีเลศนัยเล็กน้อย
จู่ๆ ก็จะหนักได้ถึงอะไรบางอย่าง ทิศทางมือของเยี่ยเว่ยหมิงเปลี่ยนแล้ว เปลี่ยนจากขยำเป็นชี้ นิ้วชี้ข้างขวาแตะบนหน้าผากของอีกฝ่ายอย่างแรง
“โอ๊ะ โอ๊ย!”
ตอนนี้ แม้เยี่ยเว่ยหมิงจะตั้งใจควบคุมแรงไว้ แต่หนุ่มน้อยไร้เดียงสาที่ถูกเขาจิ้มก็หน้าผากปูดขึ้นมาในช่วงพริบตาเดียว เจ็บจนร้องไห้ตรงนั้นเลย
“ห้ามเสียมารยาทกับท่านอ๋องน้อย!” เมื่อเห็นเจ้านายมีอันตราย สามทาสแห่งราชสำนักมองโกลก็ร้อนใจทันที แต่น้องดาบยังพาดดาบไว้บนแขนของหวังเป่าเป่าทัน ถึงทำให้พวกเขา ‘สงบ’ ลงได้
เมื่อเห็นหวังเป่าเป่าใช้สองมือกุมหน้าผากแล้วมองตนด้วยสีหน้าเหมือนได้รับความไม่เป็นธรรม เยี่ยเว่ยหมิงก็พ่นเสียงทางจมูก แล้วบอกว่า “ที่จริงก็ไม่ใช่บุตรชายของท่านอ๋องหรู่หยาง แต่เป็นจ้าวหมิ่นบุตรสาวของเขาต่างหาก ชื่อจริงของเจ้าก็คือหมินหมิ่นเท่อมู่เอ่อร์ ข้าพูดไม่ผิดใช่ไหมล่ะ”
‘หวังเป่าเป่า’ ได้ยินแล้วอึ้ง ในดวงตาที่เป็นประกายสดใสเขียนคำว่าตกตะลึงเอาไว้เต็ม
ส่วนน้องดาบที่อยู่ข้างๆ ก็อดถามด้วยความอยากรู้อยากเห็นไม่ได้ว่า “เจ้ามองออกได้อย่างไร ต่อให้เป็นแฟนพันธุ์แท้ต้นฉบับ แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะแยกแยะสิ่งนี้ออก”
เยี่ยเว่ยหมิงตอบในช่องทีม [ข้ามองออกว่านางปลอมตัว แล้วก็มีข้อมูลจากแฟนพันธุ์แท้ต้นฉบับเดิมดูประกอบจริงๆ แต่ในข้อมูลที่สหายแฟนพันธุ์แท้คนนั้นให้มา บอกเพียงว่าหวังเป่าเป่าเป็นตัวละครที่ไม่สำคัญ ถึงขั้นกล่าวได้ว่าจะมีหรือไม่มีก็ได้ สิ่งเดียวที่ทำให้คนจำได้ก็คือ เขามีน้องสาวคนหนึ่งที่เป็นนางเอกของเรื่องนี้ นางเป็นคนน่ารักซุกซน ฉลาดเป็นกรด]
[ถามหน่อยว่าเด็กอายุแปดขวบคนหนึ่งจะสุขุมเยือกเย็นได้ขนาดนี้เชียวหรือ ยามเผชิญหน้าความเป็นความตายยังยิ้มได้อย่างอิสระเสรี จะเป็นตัวประกอบฉากที่ไร้ประโยชน์เชียวหรือ]
[ยิ่งไปกว่านั้น หากบุตรชายรักความก้าวหน้า ท่านอ๋องหรู่หยางคนกินข้าวอิ่มแล้วไม่มีอะไรทำกระมัง ถึงได้นำเรื่องใหญ่อย่างการรับมือกับยุทธภพไปให้ลูกสาวจัดการ]
[ดังนั้น ข้าสงสัยตั้งแต่แรกแล้วว่าหนุ่มน้อยไร้เดียงสาที่เรียกตัวเองว่าหวังเป่าเป่าคนนี้ แท้จริงแล้วคือจ้าวหมิ่น น้องสาวของเขาปลอมตัวมา กระทั่งนางแสร้งทำท่าหลุดปากพูด รอให้ข้าค้นตัวนาง ข้าถึงได้ตัดสินเรื่องนี้ได้]
พอได้ฟัง สะพานสวรรค์น้อยก็ถามในช่องทีมด้วยความงุนงง [แล้วการที่นางทำอย่างนั้น มีเป้าหมายอะไรกันแน่]
[ก็ต้องเพื่อทำร้ายข้าอยู่แล้ว!] เยี่ยเว่ยหมิงแสยะยิ้มตอบ [อย่าไปมองว่านางหนูคนนี้ยังอายุน้อย ยังไม่เริ่มเติบโต ขอเพียงข้ากล้ายื่นมือเข้าไปล้วงสิ่งที่เรียกว่า ‘ตำรากระบี่’ ในหน้าอกนาง ระบบก็จะตัดสินว่าข้าเป็นเฒ่าหัวงูลวนลามเด็ก ถูกหักค่าวีรบุรุษหลายร้อยแต้มยังเบาไปด้วยซ้ำ!]
ขณะที่พูด เขาก็โยนจ้าวหมิ่นที่อายุยังน้อยแต่ริอ่านแต่งตัวเป็นชายให้กับสะพานสวรรค์น้อยที่ดูอยู่ข้างๆ “ช่วยข้าค้นตัวหน่อย ดูว่าบนตัวนางมี ‘ตำรากระบี่’ อะไรนั่นจริงหรือเปล่า”
งานสกปรกอย่างการฆ่าคนแทงดาบเหมาะจะให้น้องดาบทำ ส่วนเรื่องค้นตัวหาของ ส่งให้สะพานสวรรค์น้อยดีกว่า แบบนี้เยี่ยเว่ยหมิงถึงจะวางใจที่สุด
ทีแรกสะพานสวรรค์น้อยงงก่อน จากนั้นก็เริ่มปฏิบัติตามทันที
หลังจากผ่านไปสักพัก นางก็เจอตำราลับทักษะยุทธ์เล่มหนึ่งบนตัวจ้าวหมิ่นจริงๆ
[เคล็ดกระบี่สราญรมย์ (ไม่เข้าขั้น)] กระบวนท่าสง่างามล่องลอย เคล็ดกระบี่พื้นฐานที่เหมาะกับผู้เริ่มต้น เงื่อนไขการฝึก: ไม่มี
“หึ หึ นี่น่ะหรือที่เจ้ามองว่ามันเป็น ‘ตำรากระบี่’ สุดล้ำค่า” เป็นอย่างที่คาดไว้ เมื่อนางหนูคนนี้เอ่ยถึง ‘ตำรากระบี่’ นางไม่ได้มีเจตนาดีอะไรเลย!
หลังจากรู้ว่าอีกฝ่ายไม่มีทรัพยากรอะไรให้ตักตวงอีก เยี่ยเว่ยหมิงก็ขี้คร้านจะเปลืองคำพูดกับนางต่อแล้ว
แม้นางหนูคนนี้อยากจะวางกับดักทำให้ตนรู้สึกรังเกียจมาก แต่ในสายตาเยี่ยเว่ยหมิง นางก็ยังมีมูลค่ามาก มูลค่าของนางเทียบเท่ากับกระบี่อิงฟ้าแหลมคมไร้ที่เปรียบเล่มนั้น ดังนั้นจึงไม่คิดจะสืบสาวเรื่อง ‘กระบี่อิงฟ้า’ อะไรแล้ว
เยี่ยเว่ยหมิงเก็บ ‘เคล็ดกระบี่สราญรมย์’ ที่ไม่เข้าขั้นเล่มนั้นไว้อย่างสบายมือ แล้วก็บอกจ้าวหมิ่นว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ถ้ายอมขาดทุนนิดหน่อยก็ได้ โยนกระบี่อิงฟ้าเล่มนั้นมาก็พอ”
เมื่อเห็นเยี่ยเว่ยหมิงมีเป้าหมายชัดเจนขนาดนี้ บรรดาสหายร่วมทีมที่อยู่ข้างๆ ก็สบตากันแวบหนึ่ง แต่กลับไม่มีใครพูดอะไรมาก
ทุกคนล้วนมองออกว่าเยี่ยเว่ยหมิงมีความแน่วแน่ต่อกระบี่อิงฟ้าเล่มนั้น แต่ตอนนี้ของยังไม่มาถึงมือ ยังไม่มีปัญหาเรื่องการแบ่งของกันภายในทีม ถึงอย่างไรทุกคนก็ค่อนข้างเชื่อมั่นในการวางตัวของเยี่ยเว่ยหมิง
ดูจากลักษณะการทำงานที่เขาเคยชินมาตลอด ต่อให้เขากระบี่อิงฟ้าจริงๆ แต่จะต้องชดเชยให้คนอื่นอย่างสอดคล้องกันตามโหมดแบ่งไอเทมตกลงกันไว้ก่อนหน้านี้แน่นอน
สำหรับผลลัพธ์แบบนี้ ทุกคนพอใจมาก
อย่างไรเสีย ในทีมนี้นอกจากเยี่ยเว่ยหมิง คนที่ค่อนข้างมีความจำเป็นต้องใช้กระบี่ล้ำค่าก็มีเพียงสะพานสวรรค์น้อย และนางก็เหมือนไม่สนใจกระบี่อิงฟ้าด้วย
หลังจากได้ยินคำพูดเยี่ยเว่ยหมิง ในดวงตาอาต้าที่อยู่ตรงข้ามก็แทบจะมีไฟพ่นออกมา
สำหรับเรื่องนี้ เยี่ยเว่ยหมิงแสดงออกว่าเข้าใจได้
แม้เมื่อมองจากหน้าตา อาต้า อาเอ้อร์ อาซานเหมือนจะไม่ใช่พี่น้องแท้ๆ แต่ฟังจากชื่อก็รู้แล้ว ว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาไม่ธรรมดาแน่นอน น่าจะเป็นความสัมพันธ์ประเภทพี่น้องร่วมสาบาน
พวกเขาสามพี่น้องโขกศีรษะบนพื้น เยี่ยเว่ยหมิงนอกจากจะไม่ให้อั่งเปาแล้ว ทั้งยังแย่งกระบี่ล้ำค่าจากอีกฝ่ายมากอีก เรื่องแบบนี้ไม่ค่อยสอดคล้องกับความเป็นจริงเท่าไรนัก
อีกฝ่ายจะอารมณ์ขึ้นก็เป็นเรื่องปกติ
แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ เยี่ยเว่ยหมิงก็ยังเตือนอย่างหวังดีมากว่า “ตอนที่โยนกระบี่อย่าลืมใส่ฝักกระบี่ด้วย นอกจากนี้ก็ต้องควบคุมแรงให้ดี ไม่อย่างนั้นถ้าข้าตื่นเต้นขึ้นมา อาจจะใช้องค์หญิงของพวกเจ้ามารับกระบี่ก็ได้ ถ้าเกิดเหตุไม่คาดคิดอะไรเพราะเรื่องนี้ ก็ไม่เป็นผลดีกับใครทั้งนั้น”
อาต้าสีหน้าเปลี่ยนแล้วเปลี่ยนอีก สุดท้ายก็พ่นเสียงขึ้นจมูกฟึดฟัดด้วยความแค้น เก็บกระบี่อิงฟ้าเข้าฝัก แล้วโยนไปตรงหน้าเยี่ยเว่ยหมิง
ฝักกระบี่เสียบลงในดินประมาณฉื่อเดียว จะเห็นได้เลยว่ามีความแคนฝังลึกขนาดไหนที่เยี่ยเว่ยหมิงไม่ยอมส่งอั่งเปาให้
[1] อุดหูตนเองเพื่อขโมยระฆัง 掩耳盗铃 หมายถึง คนโง่ที่คิดว่าตนเองฉลาด ใช้เล่ห์เพทุบายมาหลอกผู้อื่น แต่หลอกไม่สำเร็จ