ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ - ตอนที่ 298 สามหมอเทวดา
ตอนที่ 298 สามหมอเทวดา
อิงจากข้อมูลที่อินปู้คุยให้มา หมอเทวดาที่เขารู้จักมีทั้งหมดสามคน ได้แก่หูชิงหนิว เซียนแพทย์หุบเขาผีเสื้อแห่งพรรคจรัส เซวียมู่หวา ศัตรูยมทูตแห่งสำนักสราญรมย์ รวมทั้งผิงอี้จื่อ หมอสังหารแห่งเมืองเปี้ยนจิง
ในบรรดาพวกเขา หูชิงหนิวนอกจากมีฉายาค่อนข้างเพราะอย่าง ‘เซียนแพทย์หุบเขาผีเสื้อ’ แล้ว ยังมีอีกหนึ่งฉายาที่ไม่น่าฟังเอามากๆ นั่นก็คือ ‘เห็นคนใกล้ตายแล้วไม่ช่วย’
สำหรับคนที่อยู่นอกพรรคจรัส เขาเห็นว่าใกล้ตายแล้วก็ไม่ช่วยจริงๆ ไม่ว่าจะใช้อำนาจบีบบังคับหรือใช้ผลประโยชน์หลอกล่อก็ไม่ได้ผล ถ้าคิดจะให้เขามารักษาที่อู่ตัง แค่คิดก็รู้แล้วว่ายากขนาดไหน
คนที่คุยง่ายที่สุดก็คือ เซวียมู่หวา ศัตรูยมทูตแห่งสำนักสราญรมย์
กฎของเจ้าหมอนั่นเรียบง่ายและตรงไปตรงมา นำตำราลับทักษะยุทธ์ไปให้สักเล่มก็เชิญเขาให้มารักษาคนได้แล้ว ทั้งยังไม่เรื่องมากด้วย ขอเพียงเป็นทักษะยุทธ์ที่เขายังไม่มี ไม่ว่าจะเป็นทักษะยุทธ์คุณภาพแบบไหนก็ไม่จำกัดทั้งนั้น
แลกเปลี่ยนผลประโยชน์แล้วจบกัน ไม่ต้องติดหนี้น้ำใจเลยด้วยซ้ำ
แต่ถึงอย่างไรเขาก็เป็นผู้สืบทอดของสำนักสราญรมย์ ส่วนคำว่าเซียวเหยาที่แปลว่าสราญรมย์ ไม่ว่าจะพูดอย่างไรก็ฟังดูเสเพลอยู่ดี!
ดังนั้นแม้จะแขวนป้ายว่าเป็นหมอช่วยเหลือผู้คน แต่กลับพเนจรไปทั่วโดยไร้ที่อยู่ที่เป็นหลักแหล่ง
แล่นเรือโดยไม่ใช้ไม้พาย[1] ใช้วิธีพเนจรไปทั่ว!
ระดับความยากที่จะตามหาเขาพบ ก็พอๆ กับตามหาหลี่กุ่ยโส่วในภารกิจเปลี่ยนโฉมหน้าของหวังเฟยแห่งเซี่ยตะวันตก ดังนั้นจึงเป็นได้เพียงตัวเลือกสำรอง
เช่นนั้นสุดท้ายก็เหลือเพียงหมอสังหารผิงอี้จื่อแล้ว
ที่จริงแล้วก่อนติดต่อเยี่ยเว่ยหมิง อินปู้คุยก็สืบข่าวที่เกี่ยวข้องกับผิงอี้จื่อมาจากผู้เล่นคนอื่นๆ ของสำนักอู่ตังแล้ว ได้ที่อยู่โดยละเอียดรวมถึงกฎเกณฑ์การรักษาของเขาในเกมมาแล้ว
คล้ายกับที่บรรยายไว้ในนิยาย หากผู้เล่นมีภารกิจที่ต้องขอร้องเขา เงื่อนไขก็เรียบง่ายมาก ขอเพียงช่วยเขาฆ่าคนสักคนก็พอ
ส่วนเป้าหมายที่ถูกฆ่าก็ใช้วิธีสุ่มเลือก อาจจะเป็นยอดฝีมือบู๊ลิ้มสักคน หรืออาจจะเป็นคนธรรมดาสักคน ถึงขั้นเป็นผู้เล่นสักคนก็เป็นไปได้
จนกระทั่งตอนนี้ กฎเกณฑ์ที่ผู้เล่นสรุปได้ก็คือ ระดับความยากในการสังหารเป้าหมาย โดยส่วนใหญ่จะเทียบเท่ากับรางวัลภารกิจของคนที่ผู้เล่นจะขอร้องให้เขาไปช่วยชีวิต
ถึงอย่างไรผู้เล่นก็ไม่ใช่มอนสเตอร์ นอกจากจะไม่เจ็บป่วยแล้ว ไม่ว่าจะได้รับบาดเจ็บมากขนาดไหน แค่กินยาฟื้นฟูพลังชีวิตสักสองเม็ด ค่าพลังชีวิตก็กลับมาเต็มเหมือนเดิมแล้ว ถ้าผู้เล่นตายไป พลังชีวิตก็จะเต็มอีกครั้งเมื่อไปเกิดใหม่ตรงจุดคืนชีพ การไปขอร้องไห้ผิงอี้จื่อรักษาให้ จะต้องขอร้องให้เขารักษา NPC ภารกิจที่เกี่ยวข้องกับตนแน่นอน
และการที่ผู้เล่นจะช่วยชีวิต NPC ก็ทำเพื่อรางวัลภารกิจไม่ใช่หรอกหรือ
กฎเกณฑ์นี้สอดคล้องกับกฎความสมดุลที่เยี่ยเว่ยหมิงสรุปได้ สำหรับเขาแล้วถือว่าค่อนข้างน่าเชื่อถือ
หลังจากอธิบายผลลัพธ์ที่ตัวเองหาข้อมูลมาแล้ว อินปู้คุยก็กล่าวอย่างจนใจว่า “ด้วยด้วยทักษะยุทธ์ของอาจารย์ลุงสามกับฐานะในยุทธภพ บวกกับรางวัลภารกิจของพวกเราที่เป็นวิทยายุทธ์ระดับสูงอีก เกรงว่าคนที่ผิงอี้จื่อจะสั่งให้พวกเราไม่ฆ่าคงไม่ธรรมดาแน่นอน สำหรับเรื่องนี้ ข้ามีวิธีการพลิกแพลงอยู่วิธีหนึ่ง สหายเยี่ยช่วยเข้าวิเคราะห์หน่อย”
“เจ้าว่ามาเถอะ”
“ทั้งชีวิตของผิงอี้จื่อนั่น ที่จริงคนที่เขาเคียดแค้นที่สุดก็คือแม่ยายของเขาเอง…
…ตามต้นฉบับเดิม มีชายคนหนึ่งชื่อเหล่าโถวจื่อ หลังจากสังหารแม่ยายของผิงอี้จื่อทั้งบ้านแล้ว ถึงได้ให้ผิงอี้จื่อช่วยรักษาลูกสาวของเขาอย่างสุดความสามารถ” อินปู้คุยยิ้มแห้ง “ตอนนี้เนื้อเรื่อง ‘ยิ้มเย้ยยุทธภพ’ ยังไปไม่ถึงขั้นนั้น ข้าไปสืบมาแล้ว ตอนนี้บ้านแม่ยายของผิงอี้จื่อยังมีชีวิตอยู่ เจ้าว่าพวกเราจะ…”
“ช้าก่อน!” เยี่ยเว่ยหมิงไม่รอให้เขาพูดจบ พูดตัดบททันทีว่า “สังหารประชาชนผู้บริสุทธิ์ เจ้ารู้หรือเปล่าว่าเป็นข้อหาร้ายแรงขนาดไหน เจ้าได้ค่าวีรบุรุษมาเยอะเกินไปหรือว่าอย่างไร ไปขอภารกิจจากผิงอี้จื่อโดยตรงดีกว่า เลิกคิดจะใช้วิธีการที่ไม่ถูกต้องพวกนั้นไปเลย!”
เห็นได้ชัดว่าอินปู้คุยก็รู้เช่นกันว่าความคิดของตัวเองแย่ไปหน่อย พอได้ยินอีกฝ่ายพูดจึงได้แต่ยิ้มอย่างเก้อเขิน “ก็เพราะข้ากังวลว่าภารกิจจะยากเกินไปแล้วพวกเราจะสู้ไม่ไหวน่ะสิ”
ขณะที่พูด ทั้งสองก็ลุกขึ้นเดินออกจากร่มไม้ นั่งรถม้ากลับเมืองหลวงแล้ว
อินปู้คุยเป็นผู้นำทาง ทั้งสองเดินเคียงกันไปทางหมอโรงหมอสังหาร ที่อยู่ของผิงอี้จื่อ
เยี่ยเว่ยหมิงเห็นท่าทางเขาดูวิตกกังวลก็อดพูดปลอบใจไม่ได้ “วางใจเถอะ ภารกิจยากไม่ใช่เรื่องสำคัญ แต่ค่าวีรบุรุษถือเป็นของดี ได้มาเยอะๆ ย่อมดีกว่า ส่วนเรื่องที่ทำลายค่าวีรบุรุษ ถ้าเลี่ยงไม่ทำได้ก็พยายามเลี่ยง…
…ส่วนเป้าหมายภารกิจจะสังหารยากหรือไม่ เรื่องนี้ไม่ต้องกังวล หากพวกเราสองคนร่วมมือกันแล้วยังสู้ไม่ไหว เดี๋ยวข้ารับหน้าที่เรียกคนมาเอง…
…ถ้าข้าเรียกพวกสหายวายร้ายทั้งหมดมาเป็นผู้ช่วย มากกว่านี้ข้าไม่กล้าพูดมาก แต่ถ้าเป็น BOSS เลเวลแปดสิบลงมา ข้าก็มั่นใจว่าเอาอยู่”
เมื่อได้ยินเยี่ยเว่ยหมิงรับประกันอย่างมั่นใจเต็มร้อย อินปู้คุยจากที่กังวลก็หายกังวลแล้ว เพียงแต่ตอนที่มองเยี่ยเว่ยหมิงอีกครั้ง สายตาก็ยิ่งเผยความรู้สึกนับถือขึ้นเรื่อยๆ
แต่ละครั้งที่เจอกัน เจ้าหมอนี่มักสร้างความประหลาดใจให้ตนเสมอ!
นึกไม่ถึงว่าเขาในตอนนี้ ไม่เพียงแค่มีความสามารถเก่งกาจจนไม่ต้องพูดถึง ถึงขั้นรู้จักสหายที่เก่งกาจอีกเป็นโขยงด้วย
พอเป็นแบบนี้ ถ้าอยากจะเชิญให้ผิงอี้จื่อมารักษาให้ ก็เหมือนจะไม่ใช่เรื่องยากอะไร
ทั้งสองพลางคุยพลางเดิน ไม่นานก็มาถึงข้างถนนที่ไม่สะดุดตาสายหนึ่งในเมืองหลวงเปี้ยนจิง เจอ ‘โรงหมอสังหาร’ ที่เปิดโดยผิงอี้จื่อแล้ว
แค่ดูป้ายชื่อของโรงหมอแห่งนี้อย่างเดียว ก็ทำให้คนไข้กลุ่มใหญ่ที่คิดจะมาตามหาหมอฝีมือดีและยาเทวดาตกใจจนเผ่นหนีได้แล้ว มีคำว่าสังหารอยู่ข้างหลังคำว่าโรงหมอ เหมือนวรรณกรรมออนไลน์ที่ชอบตั้งชื่อไล่นักอ่านประมาณว่า ‘XXX โดนสวมหมวกเขียว[2]’ จริงๆ
กล้าตั้งชื่อแบบนี้ได้ ถ้าไม่เป็นคนปัญญาอ่อนที่ได้รับความนิยมจากชาวบ้าน ก็คงจะเป็นคนปัญญาอ่อนที่ที่เก่งกาจมากจริงๆ เก่งจนถึงขั้นไม่สนใจความสำเร็จ ไม่สนใจความจอมปลอม
เห็นได้ชัดว่าผิงอี้จื่อเป็นคนปัญญาอ่อนประเภทหลัง
คนปัญญาอ่อนคนนี้ รูปลักษณ์ภายนอกเป็นคนตัวเตี้ยคนหนึ่ง ศีรษะใหญ่ ไว้หนวดเหมือนหนู ชอบสั่นศีรษะอย่างกระหยิ่มใจ ภาพลักษณ์ดูตลกมาก
หลังจากรู้เจตนาในการมาที่นี่ของทั้งสอง เจ้าปัญญาอ่อนผิงก็ยิ้มอย่างมีเลศนัย แล้วบอกว่า “กฎเกณฑ์การรักษาของข้าผิงอี้จื่อ คาดว่าพวกเจ้าคงเคยได้ยินมาแล้ว นอกจากค่ารักษา พวกเจ้ายังต้องช่วยข้าสังหารคนคนหนึ่งด้วย”
เมื่อได้ยินดังนั้น เยี่ยเว่ยหมิงกับอินปู้คุยก็สบตากันปราดหนึ่ง แล้วเยี่ยเว่ยหมิงก็บอกว่า “ไม่ทราบว่าท่านหมอผิงต้องการให้พวกเราสังหารใคร”
ตอนนี้เอง พวกเขาก็เห็นผิงอี้จื่อนำตำราเล่มหนึ่งออกมาจากชั้นวางหนังสือข้างหลังตัวเอง หลับตาสุ่มเปิดตำรา จากนั้นก็หลับตาหยิบพู่กันข้างกายขึ้นมาอีก วาดวงกลมบนนั้นอย่างเรื่อยเปื่อย ท่าทางดูไหลลื่นและชำนาญที่สุด
กระทั่งหลังจากเขาวาดวงกลมเล็กๆ เสร็จแล้ว ถึงได้ลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง มองรายชื่อผู้โชคร้ายที่หลับตาเลือกแวบหนึ่ง แล้วบอกทั้งสองคนว่า “โจรราคะเด็ดบุปผา เดินเดี่ยวหมื่นลี้ เถียนปั๋วกวง!”
“เถียนปั๋วกวง?” เมื่อได้ยินชื่อที่ทำให้คนปวดหัวแบบนี้ อินปู้คุยก็หยั่งเชิงผิงอี้จื่อทันที “ท่านหมอผิง เป้าหมายของภารกิจนี้ค่อนข้างชั่วร้าย ท่านเปลี่ยนคนใหม่ได้ไหม”
ผิงอี้จื่อส่ายหัวใหญ่ๆ ของตัวเอง แล้วตอบอย่างอ้อมค้อมมากว่า “ไม่ได้!”
เมื่อเห็นเขามีท่าทีแน่วแน่ขนาดนี้ อินปู้คุยก็ซักไซ้ด้วยความตกใจ “ท่านหมอผิงมีความแค้นกับเถียนปั๋วกวงนั่นหรือ”
“เปล่า” ผิงอี้จื่อส่ายหน้าอีกครั้ง “เพียงแต่กฎเกณฑ์เป็นเช่นนี้ หากเป้าหมายถูกเลือกแล้ว ก็จะเปลี่ยนไม่ได้!”
[1] แล่นรือโดยไม่ใช้ไม้พาย 划船不用桨 หมายถึงอาศัยความสามารถของตัวเอง
[2] โดนสวมหมวกเขียว หมายถึง ภรรยาคบชู้ หรือภรรยานอกใจ