ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ - ตอนที่ 329 สองคนทรามแห่งฉวนเจิน
ตอนที่ 329 สองคนทรามแห่งฉวนเจิน
เมื่อครู่เขาเพิ่งติดต่อกับสะพานสวรรค์น้อย เหมือนเป็นเพราะจำนวนปลาขาวบึงหนาวลดลงอย่างต่อเนื่อง พวกศิษย์ของสำนักสุสานโบราณจึงรู้สึกว่าเป็นเรื่องเร่งด่วน แต่ละคนเร่งเพิ่มความสามารถของตัวเองอย่างแข็งขัน กลัวว่าหากพลาดหมู่บ้านนี้ไปจะไม่เจอร้านค้าอีก[1]
ต้องกล่าวว่าการที่สุสานโบราณมีปลาขาวบึงหนาวเพียงหนึ่งร้อยตัวกลับกลายเป็นแรงขับเคลื่อนมหาศาลที่กระตุ้นให้ผู้เล่นในสำนักเติบโต
แต่ต่อให้ร้อนใจอย่างไร เยี่ยเว่ยหมิงก็ไม่ได้รีบไปที่สุสานโบราณทันที เขาพิจารณาถึงความมั่นคงปลอดภัย กลับไปที่สำนักมือปราบเทพเพื่อเก็บ ‘หนังสือจารึกของตู๋กู’ และของสำคัญทั้งหมดไว้ที่โกดังของสำนักก่อน
หลังจากแน่ใจแล้วว่าบนตัวไม่มีของล้ำค่าเกินความจำเป็นอีก ถึงได้ใช้ท่าร่าง ‘ทะยานบันไดเมฆา’ วิ่งเหินข้ามหลังคากลับมาที่จุดพักม้า จากนั้นนั่งรถม้ามาที่ตีนเขาของเขาจงหนาน
จุดพักม้าตรงตีนเขาจงหนานอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากสำนักฉวนเจินที่อยู่บนยอดเขา อิงตามระยะเวลาการเดินเท้าของผู้เล่นทั่วไป อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาเกือบหนึ่งชั่วโมงกว่าจะถึง
ระบบตั้งค่าให้แบบนี้ ย่อมไม่ใช่เพื่อเพิ่มความยุ่งยากให้การออกเดินทางของผู้เล่นสำนักฉวนเจิน แต่เป็นเพราะที่นี่ไม่ใช่จุดพักม้าที่อยู่ใกล้กับสำนักฉวนเจินมากที่สุด
ที่จริงแล้ว ด้านนอกประตูใหญ่ของสำนักฉวนเจินก็มีจุดพักม้าอยู่อีกแห่งหนึ่งเช่นกัน นั่นต่างหากคือจุดส่งตัวที่ใกล้สำนักฉวนเจินที่สุด
การที่สำนักมีรถม้ามาถึง ก็เป็หนึ่งในความแตกต่างที่ชัดเจนระหว่างสำนักทั่วไปและสำนักลับเช่นกัน ก็เหมือนสำนักมือปราบเทพที่ไม่มีจุดพักม้าเฉพาะตรงประตูสำนัก เวลาพวกเยี่ยเว่ยหมิงจะออกเดินทาง ก็ต้องไปที่จุดพักม้าของเมืองหลวงเปี้ยนจิงเหมือนกัน
อิงตามแผนที่ที่สะพานสวรรค์น้อยส่งมาก่อนหน้านี้ เยี่ยเว่ยหมิงเดินตามเส้นทางเล็กๆ ไปจนถึงภูเขาด้านหลัง ระหว่างทางกลับพบ NPC ที่แต่งกายชุดนักพรตเต๋าสองคนมาขวางทาง
พอเขาเงยหน้ามอง นักพรตเต๋าสองคนที่อยู่ตรงหน้าดูเหมือนอายุราวๆ สามสิบสี่สิบ หนึ่งในนั้นผิวขาวหมดจด นับว่าหน้าตาเรียบร้อย เพียงแต่ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ล้วนทำให้เกิดความรู้สึกไม่สบายใจบางอย่าง ทำให้เยี่ยเว่ยหมิงรู้สึกว่าเจ้าหน้าขาวคนนี้น่ารำคาญโดยไม่มีสาเหตุ
ความรู้สึกแบบนี้ไม่มีมูลเหตุใดๆ แต่ดันเป็นความรู้สึกที่สมจริงมาก สมจริงจนทำให้เวลาเยี่ยเว่ยหมิงเห็นเจ้าหมอนี่แล้วอยากเข้าไปจับเขากดพื้นแล้วซ้อมสักยก
ส่วนอีกคนก็ไม่ได้ดีกว่ากันสักเท่าไร ถ้าจะบอกว่านักพรตเต๋าคนแรกทำให้รู้สึกรำคาญอย่างไม่ทราบสาเหตุ เช่นนั้นคนที่ดูมีอายุมากกว่าคนนี้ก็มีใบหน้าค่อนข้างน่ารังเกียจจริงๆ
แม้ภายนอกดูสุขุมและมีความเป็นผู้ใหญ่ แต่ในแววตากลับเผยความเจ้าเล่ห์ ทำลายลักษณะสง่างามเหนือมนุษย์ที่มีอยู่แต่เดิมของเขาจนหมดสิ้น
พอเห็นเจ้าหมอนี่ เยี่ยเว่ยหมิงก็อดทึ่งกับคำกล่าวที่บรรพบุรุษเคยเอ่ยไว้ไม่ได้
วลีที่ว่าลักษณะของคนเกิดจากจิตใจหนุนส่งออกมา ก็คงหมายถึงสองคนที่อยู่ตรงหน้านี้กระมัง
พอนักพรตเต๋าสองคนที่ขวางหน้าปรากฏตัว ต่างคนก็ต่างชักกระบี่ออกมาอย่างอดใจรอไม่ไหว คนที่หน้าตาเจ้าเล่ห์เหมือนหนูตวาดว่า “ข้างหน้าคือเขตต้องห้ามของสำนักฉวนเจิน ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องห้ามเข้า! หากเข้ามาอีกก้าวเดียว ฆ่าไม่ละเว้น!”
เยี่ยเว่ยหมิงได้ยินแล้วงุนงง “สุสานโบราณกลายเป็นเขตหวงห้ามของสำนักฉวนเจินตั้งแต่เมื่อไร”
ตอนนี้ ลุงหน้าขาวคนนั้นกลับตอบว่า “ข้างหน้าเป็นเขตของสำนักฉวนเจินจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นศิษย์ฉวนเจินหรือคนนอกก็เข้าไปตามอำเภอใจไม่ได้ ข้าแนะนำว่าท่านขุนนางอย่าหาเรื่องใส่ตัวดีกว่า รีบออกไปเสีย”
เยี่ยเว่ยหมิงได้ยินแล้วขมวดคิ้วนิดหน่อย สำนักฉวนเจินถือเป็นสำนักฝ่ายธรรมะที่มีชื่อเสียงเช่นกัน หากไม่จำเป็น เขาก็ไม่อยากแตกคอกับอีกฝ่าย
ต่อให้ต้องลงมือ แต่ก็ต้องทำความเข้าใจสถานการณ์ให้ชัดเจนก่อนอยู่ดี
พอนึกถึงตรงนี้ เยี่ยเว่ยหมิงก็เตรียมส่งพิราบสื่อสารให้สะพานสวรรค์น้อยกับอินปู้คุย ทว่าไม่ทันรอให้เขาทำอะไร ก็ได้ยินเสียงเสียดสีที่เกิดจากเสื้อปะทะใบไม้ ตามติดด้วยเสียงแจ้งเตือนของระบบ
[ติ๊ง! ผู้เล่นสะพานสวรรค์คริสตัลเชิญคุณเข้าทีม ยอมรับหรือไม่]
ไม่น่าเชื่อว่าสะพานสวรรค์น้อยจะมารับข้าด้วยตัวเอง แต่นางไม่เปิดเผยตัวตอนช่วยเหลือ กลับหลบอยู่ในที่ลับและส่งคำเชิญเข้าร่วมทีมให้ข้า นางคิดจะทำอะไรกันแน่
เยี่ยเว่ยหมิงเลือกกดยอมรับด้วยความสงสัย
ครู่ต่อมา ในช่องทีมก็มีข้อความจากสะพานสวรรค์น้อย
[พี่ใหญ่เยี่ย การขัดขวางของสำนักฉวนเจินคือด่านที่ผู้เล่นทุกคนต้องเจอเมื่อก่อนจะเข้าสุสานโบราณ ต่อให้เป็นผู้เล่นที่มีป้ายคำสั่งเข้าสุสานโบราณผ่านการทำภารกิจลับอย่างพวกเราก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น]
[ถ้าการตะลุยด่านล้มเหลว ภารกิจที่รับไว้ก่อนหน้านี้ก็ถือว่าสูญเปล่า แต่มีผู้เล่นบางส่วนหลังจากตะลุยด่านไม่สำเร็จ ก็เข้าสำนักฉวนเจินแทนเสียเลย]
พอเยี่ยเว่ยหมิงดูเลเวลนักพรตเต๋าสองคนตรงหน้า ก็อดสงสัยไม่ได้ว่าน้องสะพานสวรรค์น้อยจงใจหยอกตนเล่นหรือเปล่า
[เจินจื้อปิ่ง]
ผู้ที่โดดเด่นในบรรดาศิษย์รุ่นสามของสำนักฉวนเจิน
เลเวล: 52
พลังชีวิต: 130000/130000
กำลังภายใน: 80000/80000
……
[จ้าวจื้อจิ้ง]
ผู้ที่โดดเด่นในบรรดาศิษย์รุ่นสามของสำนักฉวนเจิน
เลเวล: 52
พลังชีวิต: 125000/125000
กำลังภายใน: 78000/78000
……
[เอ่อ คือ…] หลังจากอ่านค่าสเตตัสของ BOSS ทั้งสองจบแล้ว เยี่ยเว่ยหมิงก็ถามอย่างประหลาดใจ [ก่อนที่เจ้าจะเข้าสำนัก เจ้าก็สู้ชนะ BOSS เลเวลห้าสิบสองแล้วหรือ]
[จะเป็นไปได้อย่างไร] สะพานสวรรค์น้อยอธิบายอย่างจนใจนิดหน่อย [ที่จริงแล้ว ผู้เล่นทุกคนที่มาสุสานโบราณครั้งแรก การท้าสู้ที่ต้องเจอไม่ได้เหมือนกันเสียทีเดียว]
[ถ้าผู้เล่นไร้สำนักถือป้ายอาญาสิทธิ์สุสานโบราณมาบุกด่าน ก็จะเจอเพียงมอนสเตอร์อีลิทเทียบเท่าผู้เล่นระดับห้าเท่านั้น]
[ตอนแรกที่ข้าคารวะอาจารย์เข้าสำนัก เจอมอนสเตอร์อีลิทเลเวลสิบห้าที่เจอลู่ชิงตู่ แต่ต่อให้เป็นอย่างนั้น สำหรับผู้เล่นที่เพิ่งออกจากหมู่บ้านมือใหม่อย่างข้า ก็ถือเป็นคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งมากเช่นกัน]
[อีกทั้งเลเวลและจำนวนของคู่ต่อสู้ก็ไม่แน่นอน หากผู้เล่นตั้งทีมกันมาบุกด่าน ก็จะมีนักพรตเต๋าจำนวนสอดคล้องกันมาขวางทันที แต่โอกาสชนะกลับไม่เท่าท้าสู้ตัวต่อตัว]
[แต่ถ้ารู้สึกว่าสู้ไม่ไหว ก็ใช้วิธีการที่ง่ายกว่านั้นได้ ขอเพียงบุกเข้ามาในอาณาเขตสุสานโบราณได้แล้ว พวกเขาก็ย่อมตามเข้าไปไม่ได้]
[ตอนที่ข้าบุกด่าน ก็มีคนไม่น้อยที่ทำอย่างนั้น มีเพียงข้าที่ไว้ชีวิตเจ้านักพรตเต๋าหน้าเหม็นคนนั้นไม่ได้]
[แต่ความสามารถที่ผู้เล่นแสดงออกในด่านนี้ จะมีผลต่อรางวัลในถายหลังเช่นกัน ข้าเองก็เริ่มสร้างความได้เปรียบตั้งแต่ตอนนั้น ถึงได้นำหน้าผู้เล่นคนอื่นในสำนักไปหนึ่งก้าว]
[ผู้เล่นคนอื่นบุกด่านก็เจอเหมือนเจ้า เจอ BOSS สองคนที่เลเวลสูงกว่าตัวเองสิบเลเวล ถ้าสู้ชนะได้หรือบุกด่านสำเร็จ ก็จะได้รางวัลไม่น้อยเลย]
[แต่ข้าเป็นศิษย์สำนักสุสานโบราณ ถ้าข้าลงมือ ระดับความยากของการบุกด่านก็จะเพิ่มเป็นสองเท่า แต่รางวัลไม่เปลี่ยนแปลง ทั้งยังไม่มีส่วนของข้าด้วย เป็นอย่างไร ต้องการให้ข้าลงมือช่วยไหม]
เยี่ยเว่ยหมิงรู้ว่าการที่สะพานสวรรค์น้อยพูดอย่างนี้ไม่ใช่เพราะไม่อยากช่วย เพียงแต่นางเข้าใจชัดเจนว่าต่อให้สองคนร่วมมือกัน ความกดดันก็จะตกอยู่กับเยี่ยเว่ยหมิงแปดส่วนขึ้นไป ยิ่งช่วยยิ่งวุ่นวาย
หลังจากได้ฟังสะพานสวรรค์น้อยอธิบาย เยี่ยเว่ยหมิงก็นับว่ารับรู้ถึงการทดสอบตรงหน้าอย่างชัดเจนแล้วเช่นกัน เขาก้าวขึ้นมาข้างหน้าหนึ่งก้าวพร้อมเรียกกระบี่แสงทองมากุมไว้ในฝ่ามือ
“เจ้าชั้นต่ำช่างบังอาจนัก!”
การที่เยี่ยเว่ยหมิงจะก้าวขึ้นไปข้างหน้าหรือไม่ ก็กลายเป็นปัจจัยหนึ่งที่ระบบใช้ตัดสินว่าผู้เล่นจะยอมรับการท้าสู้บุกด่านหรือไม่ เมื่อเยี่ยเว่ยหมิงก้าวออกมา BOSS ทั้งสองของสำนักฉวนเจินก็ลงมือพร้อมกัน กระบี่ล้ำค่าสองเล่มแบ่งโจมตีมาทางฝั่งซ้ายและขวาของเขา
ใช้กระบวนท่าหนึ่งของ ‘เคล็ดกระบี่ฉวนเจิน’ เช่นเดียวกัน…พเนจรสุดขอบฟ้า!
เยี่ยเว่ยหมิงใช้งาน ‘เคล็ดกระบี่ฉวนเจิน’ ถี่กว่า ‘เคล็ดกระบี่วีรสตรี’ ตอนนี้ฝึกจนเคล็ดกระบี่นี้เพิ่มถึงเลเวลเก้าแล้ว เมื่อรวมกับค่าสเตตัส ‘เลเวลเคล็ดกระบี่ +1 ‘ที่มากับกระบี่แสงทองอีก เขาถือว่าได้ใช้โบนัสค่าสเตตัสของเคล็ดกระบี่เลเวลสิบ!
ทั้งยังประลองกับน้องดาบในห้องหินของตู๋กูสามวันสามคืน ความเข้าใจที่มีต่อทักษะยุทธ์ก็ก้าวหน้าขึ้นมากเช่นกัน
บวกกับโบนัสค่าสเตตัสความว่องไวสองเท่าที่มีเฉพาะ ‘เงาของเทพกระบี่’ แม้เผชิญหน้ากับ BOSS สองคนร่วมมือกันล้อมโจมตี แต่เขาก็ไม่รู้สึกกดดันแต่อย่างใด
อย่างไรเสีย ดูจากความเชี่ยวชาญเคล็ดกระบี่ของนักพรตเต๋าหน้าตาน่ารังเกียจสองคนตรงหน้า คาดว่า ‘เคล็ดกระบี่ฉวนเจิน’ ของพวกเขาถึงแค่เลเวลเจ็ดเท่านั้น
ขอเพียงนักพรตเต๋าสองคนนี้ขยับนิดเดียว เขาก็จะตัดสินได้ทันทีว่าว่าอีกฝ่ายใช้กระบวนท่าอะไรและจะไปโจมตีตรงจุดไหน ถ้าสู้กันขึ้นมาก็ผ่อนคลายกว่าครั้งที่สู้กับหันเสี่ยวอิ๋ง
มังกรบินเผ่าเซิร์กแพ้ได้ยังไง[2]
ทุกขั้นตอนการต่อสู้ไม่มีเหตุการณ์ไม่คาดคิดเกิดขึ้นเลยสักนิด หลังจากนั้นสามนาที พลังชีวิตของ BOSS ทั้งสองก็ถูกเยี่ยเว่ยหมิงโจมตีจนลดลงแล้วสี่ในห้าส่วน
จากนั้นสองนักพรตเต๋าก็ถอยหลังก้าวหนึ่งพร้อมกัน จ้าวจื้อจิ้งดึงแขนเจินจื้อปิ่งที่มีสีหน้าไม่ยอมแพ้พร้อมบอกว่า “ศิษย์น้องเจิน พวกเราพยายามสุดกำลังแล้ว แต่ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของจอมยุทธ์น้อยคนนี้จริงๆ ปล่อยเขาผ่านไปเถอะ”
ตอนนี้เอง สะพานสวรรค์น้อยบอกในช่องทีมว่า [ตอนนี้พี่ใหญ่เยี่ยสู้ชนะพวกเขาสองคนได้อย่างสบายๆ แล้วหรือ ว่าแล้วเชียว ท่านเก่งสุดๆ เลย! นักพรตเต๋าสำนักฉวนเจินสองคนที่ NPC สำนักเราเกลียดขี้หน้าที่สุดก็คือสองคนนี้แหละ ถ้าพี่ใหญ่เยี่ยกำจัดพวกเขาได้ จะต้องได้รับค่าความรู้สึกดีเริ่มต้นไม่น้อยแน่นอน]
“อ้อ?” เยี่ยเว่ยหมิงได้ยินแล้วเลิกคิ้ว เผยสีหน้าตื่นเต้นทันที
ถึงอย่างไรเขาก็ต้องไปขอปลาที่สุสานโบราณ แม้สะพานสวรรค์น้อยจะปูทางไว้ให้เขามากพอแล้ว แต่ถ้าสร้างความประทับใจแรกให้ NPC ของสุสานโบราณได้ ก็จะได้รับการดูแลมากขึ้นตอนขอปลาแน่นอน
เขามอง BOSS สองคนที่ติดสถานะบาดเจ็บสาหัสแวบหนึ่งด้วยความลังเล สัมผัสได้ถึงความเจ้าเล่ห์และกระหายเลือดที่แวบผ่านแววตาของจ้าวจื้อจิ้ง
พอเห็นแววตาจ้าวจื้อจิ้งเผยเจตนาไม่ซื่อชัดเจนแบบนี้ เยี่ยเว่ยหมิงก็ล้มเลิกความคิดจะฆ่าคนทันที
ตอนที่เขาหันตัวเดินไปทางสุสานโบราณ ก็ส่งข้อความหาสะพานสวรรค์น้อยในช่องทีมไปด้วย [ไม่เหมาะสม สำนักฉวนเจินก็เป็นสำนักฝ่ายธรรมะเช่นกัน นักพรตเต๋าสองคนนี้ไม่มีบันทึกความผิดที่มีหลักฐานชัดเจนด้วย บุ่มบ่ามฆ่าคนจะเกิดปัญหาตามมาโดยไม่จำเป็นได้ง่าย นอกเสียจากพวกเขามีความผิดที่สมควรตาย ไม่อย่างนั้นจะเกิดปัญหาได้ง่ายมาก ได้ไม่คุ้มเสีย]
สะพานสวรรค์น้อยที่หลบอยู่ในที่ลับได้ยินแล้วชะงัก จะพูดอย่างนี้ก็ไม่ผิด แต่นางรู้สึกว่าการคำนึงถึงภาพรวมแบบนี้ เหมือนจะไม่ใช้ลักษณะของเยี่ยเว่ยหมิง
ไม่สอดคล้องกับคาแรกเตอร์เดิมของเขา!
จะว่าไป พี่ใหญ่เยี่ยที่อยู่ตรงหน้าคนนี้ เป็นคนใจดีบางคนที่ใส่หน้ากากปลอมตัวมาหรือเปล่า
ตอนนี้เอง พอจ้าวจื้อจิ้งเห็นเยี่ยเว่ยหมิงหันตัวไปและไม่ได้ป้องกันตัวแล้ว เขาก็ลงมือกะทันหัน ใช้กระบี่แทงข้างหลังเยี่ยเว่ยหมิง!
“ระวัง!” สะพานสวรรค์น้อยเห็นสถานการณ์แล้วอุทานออกมาโดยไม่รู้ตัว แต่ถ้าคิดจะยื่นมือช่วยก็สายไปเสียแล้ว
ทว่าแม้จะหันหลังให้ศัตรู แต่เยี่ยเว่ยหมิงก็ไม่ได้แสดงออกถึงความหวาดกลัวเลยสักนิด กลับเห็นเขาทำท่าเหมือนคาดเดากระบวนท่านี้ได้ตั้งนานแล้ว เขาเพียงขยับก้าวเดียวก็หลบกระบี่ที่ลอบจู่โจมได้อย่างสบายๆ จากนั้นใช้กระบี่แสงทองกวาดแนวขวาง ปาดคอหอยของจ้าวจื้อจิ้ง
-22003!
โจมตีคริคอล!
จ้าวจื้อจิ้ง สิ้นแล้ว!
“แต่ถ้าฆ่าพวกเขาตอนนี้ ก็ไม่ต้องกังวลผลกระทบด้านลบแล้ว”
[1] ผ่านหมู่บ้านนี้ไปจะไม่เจอร้านค้าอีก 过了这个村就没这个店了 หมายถึง พลาดแล้วพลาดเลย
[2] มังกรบินเผ่าเซิร์กแพ้ได้ยังไง 飞龙骑脸怎么输 ศัพท์แสลงบนอินเตอร์เน็ตที่มาจากคำพูดของหวงซวี่นักแคสต์เกมคนหนึ่งของประเทศจีนตอนเล่นเกมสตาร์คราฟท์ 2 หมายถึง เป็นฝ่ายได้เปรียบกว่าแต่เล่นแพ้