ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ - ตอนที่ 373 ดำมืดแข็งแกร่งสิบเท่า
ตอนที่ 373 ดำมืดแข็งแกร่งสิบเท่า
หลังจากโจมตีต่อเนื่องเสร็จแล้ว เยี่ยเว่ยหมิงก็ลอยกลับมาเหยียบบนพื้นเหมือนเดิม ตอนนี้มารเฟิ่งเทียนหนานถูกฉางซิงอวี่และอีกสองสามคนร่วมมือกันสกัดไว้แล้ว
นี่ก็คือเหตุผลว่าทำไมเยี่ยเว่ยหมิงไม่ได้ใช้กระบี่แสงทองที่มีค่าสเตตัสครอบคลุมมากกว่า แต่เปลี่ยนมาใช้กระบี่ชิงชัยเป็นอาวุธโจมตีหลักแทน
เมื่อมีการคุ้มครองจากสหายร่วมทีม เขาก็แค่พยายามโจมตีให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ก็พอ ไม่ต้องกังวลเลยว่าจะถูก BOSS บีบให้ตกอยู่ในสถานการณ์อึดอัดที่ต้องใช้กำลังปะทะอย่างเดียว
เพียงแต่เฟิ่งเทียนหนานเวอร์ชั่นมารตนนี้ การโจมตีและการป้องกันของเขาน่ากลัวเกินไปหรือเปล่า
โดยเฉพาะด้านการป้องกัน หนังหนาจนทำให้คนปวดหัวจริงๆ!
เอฟเฟ็กต์ ‘เจาะเกราะ’ ของ ‘กระบี่เก้าสะท้านฟ้า’ มองข้ามการป้องกันของคู่ต่อสู้ทั่วไปได้!
เอฟเฟ็กต์ ‘เจาะปราณป้องกันตัว’ ของ ‘ดรรชนีศักดิ์สิทธิ์’ มองข้ามปราณแท้ป้องกันตัวของฝ่ายตรงข้ามได้
แต่ถ้าใช้การโจมตีแบบนี้กับเฟิ่งเทียนหนานเวอร์ชันมาร ดาเมจที่ทำได้ก็จะถูกลดลงเกินครึ่ง!
สถานการณ์ทางฝั่งเยี่ยเว่ยหมิงยังดีหน่อย แต่การโจมตีของซานเย่ว์และสะพานสวรรค์น้อยฝ่าการป้องกันไม่ได้เลย!
หลังจากท่า ‘พเนจรสุดขอบฟ้า’ โจมตีบนตัวมารเฟิ่งเทียนหนานจนเกิดดาเมจดันทุรัง ‘-1’ สองครั้ง สะพานสวรรค์น้อยก็ใช้ท่าร่างอันสวยวิจิตรของสำนักสุสานโบราณหลบกระบองของอีกฝ่ายพร้อมขมวดคิ้วบอกทันทีว่า “เจ้าหมอนี่แข็งแกร่งจนเหลือเชื่อ ถ้าเทียบกับเหมยเชาเฟิงบอสเลเวลแปดสิบห้าที่เจอก่อนหน้านี้ เขารับมือยากกว่าเยอะ!”
“เป็นไปไม่ได้!” แม้ความจริงจะแสดงอยู่ตรงหน้า แต่เยี่ยเว่ยหมิงก็กล่าวอย่างมั่นใจมากว่า “ตอนระบบตัดสินศักยภาพของ BOSS เลเวลคือมาตรฐานที่เชื่อถือได้ที่สุด นอกเสียจาก…เอ ข้ากำลังจะบอกว่า ต่อให้เป็นเหมยเชาเฟิง แต่การโจมตีและป้องกันของนางก็ล้วนเหนือว่าบอสเลเวลเดียวกัน แต่เพราะนางตาบอดและขาพิการ ตอนที่กำหนดเลเวลจึงกลายเป็นแปดสิบห้า”
ในบรรดา BOSS มากมายที่เยี่ยเว่ยหมิงเคยรู้จักมา ผู้ที่เป็นข้อยกเว้นเพียงหนึ่งเดียวก็คงเป็นลิงที่เขตลับไผ่เขียว กำลังรบโดยรวมของลิงฝูงนั้น สูงกว่า BOSS เลเวลเดียวกันที่อยู่ข้างนอกแน่นอน!
แต่เยี่ยเว่ยหมิงก็ไม่ได้คิดว่ามารเฟิ่งเทียนหนานที่อยู่ตรงหน้าจะมีคุณสมบัติเทียบเท่าลิงในเขตลับไผ่เขียว
มีความเป็นไปได้หนึ่งอย่างที่เยี่ยเว่ยหมิงไม่ได้ตัดออก นั่นก็คือ ระบบอาจจะสร้างศัตรูที่ปัจจุบันพวกเขาไม่มีทางรับมือได้ออกมาในภารกิจนี้
อย่างไรเสีย ในทีมของพวกเขาตอนนี้ ก็ใช่ว่าทั้งหมดจะเป็นยอดฝีมือที่เก่งที่สุดในเกม ถ้าเปลี่ยนซานเย่ว์กับสะพานสวรรค์น้อยเป็นน้องดาบกับอวิ๋นเหมี่ยนศิษย์พี่ใหญ่แห่งอู่ตัง บวกเยี่ยเว่ยหมิงกับฉางซิงอวี่ คิดจะเอาชนะเฟิ่งเทียนหนานเวอร์ชันมารอาจไม่ใช่เรื่องยาก เมื่อเทียบกับ BOSS คนอื่นๆ แล้ว อย่างมากก็ใช้เวลาเพิ่มขึ้นนิดหน่อยเท่านั้น
ถ้านี่คือศักยภาพที่แท้จริงของเฟิ่งเทียนหนานร่างมาร เลเวลของเขาคงไม่ใช่แค่แปดสิบห้าแน่นอน!
ใส่แค่พลังต้านที่น่าหวาดกลัวสุดขีดของอีกฝ่าย ถ้าประเมินว่าเขาเลเวลเก้าสิบห้า เยี่ยเว่ยหมิงก็ไม่ถือว่ากล่าวเกินไปเลยสักนิดเช่นกัน
ดังนั้น ภายใต้ลักษณะภายนอกที่เกเรอันธพาลของเขา ต้องซ่อนจุดอ่อนที่คนอื่นไม่รู้เอาไว้แน่นอน อีกทั้งดูจากพลังที่แข็งแกร่งของเขาตอนนี้ ก็รู้แล้วว่ามีจุดอ่อนที่ใหญ่มากจนอันตรายถึงชีวิต!
ถึงขั้นว่าอย่างน้อยถ้ารู้จุดอ่อนนี้แล้ว ก็รับมือง่ายกว่า BOSS เลเวลแปดสิบห้าทั่วไปตั้งเยอะ
แน่นอน ความคิดนี้แวบผ่านเข้ามาในหัวเยี่ยเว่ยหมิงแค่ครู่เดียว อีกด้านหนึ่ง ฉางซิงอวี่ใช้ประโยชน์จากการล้อมโจมตีกระจายจุดสนใจของเฟิ่งเทียนหนาน จึงโจมตีถูกร่างของเฟิ่งเทียนหนานหลายครั้ง ถึงขั้นถูกจุดสำคัญด้วย
แต่ก็เหมือนกับเยี่ยเว่ยหมิง เขาโจมตีให้กิดผลด้านลบอย่างเส้นเอ็นขาด กระดูกแตก หมดแรงไม่ได้
เพียงแต่การโจมตีทำเมจของเขา เหมือนจะค่อนข้างโหดพอสมควร!
-3721
-3654
-13413!
-3838
สถานการณ์ที่ทักษะและค่าสเตตัสด้อยกว่าเยี่ยเว่ยหมิง ถึงขั้นว่าแม้แต่อุปกรณ์ก็สู้ไม่ได้ ดาเมจที่ฉางซิงอวี่โจมตีออกมา ไม่น่าเชื่อว่าจะแทบไม่แตกต่างกับคริติคอลของเยี่ยเว่ยหมิง!
ไม่ว่าจะเป็นดาเมจธรรมดาหรือคริติคอลดาเมจ แม้จะเทียบกับดาเมจที่เยี่ยเว่ยหมิงใช้ ‘กระบี่เก้าสะท้านฟ้า’ แล้วอ่อนแอกว่านิดหน่อย แต่กลับไม่ได้แตกต่างกันมากนัก
เมื่อได้เห็นฉากนี้ เยี่ยเว่ยหมิงก็รู้สึกว่าตัวเองเจอกุญแจสำคัญของปัญหาแล้ว
ขณะที่ควงกระบี่เข้าไปในวงโจมตีอีกครั้ง เยี่ยเว่ยหมิงก็บอกฉางซิงอวี่ว่า “สหายฉาง ไม่แน่ว่าพลังโจมตีในทฤษฎีวิชาทวนของเจ้าจะต่างจากดาเมจที่ทำได้จริง อีกทั้งวิชาทวนของเจ้าก็ไม่มีจุดเด่นเรื่องมองข้ามการป้องกัน นี่เป็นการวิเคราะห์แบบง่ายๆ เท่านั้น…
…ข้ารู้สึกว่าการโจมตีของเจ้ามีโอกาสเปลี่ยนแปลงมากกว่าข้านิดหน่อย บางทีถ้าเข้าใจความแตกต่างที่อยู่ในนั้นแล้ว ก็อาจจะเจอวิธีจัดการเฟิ่งเทียนหนานร่างมารก็ได้…
…สิ่งที่เรียกว่าพลังโจมตีตามทฤษฎี ก็คือดาเมจโจมตีธรรมดาที่ไม่นับรวมคริติคอลดาเมจ สถานะพิเศษโจมตีครั้งเดียวปลิดชีพและพลังป้องกันของฝ่ายตรงข้าม…
…ถ้าอยากแน่ใจว่าพลังโจมตีตามทฤษฎีในแต่ละท่าของตัวเองมีเท่าไรกันแน่ วิธีการก็ง่ายมากไม่ต้องใช้ความรู้ทฤษฎีทางคณิตศาสตร์ที่ล้ำลึกเท่าไรเลย ขอเพียงไปแถวๆ หมู่บ้านมือใหม่ แล้วใช้กระบวนท่าทักทายบนตัวมอนสเตอร์เล็กๆ ที่เลเวลต่ำกว่าสิบ ถ้าไม่เกิดคริติคอลดาเมจ เช่นนั้นดาเมจโจมตีที่ทำได้ นั่นก็คือพลังโจมตีตามทฤษฎีของเจ้าแล้ว”
ฉางซิงอวี่เป็นผู้เล่นมืออาชีพ เวลาคำนวณข้อมูลโจมตีและป้องกันเหล่านี้ เห็นได้ชัดว่าเป็นมืออาชีพมากกว่าเยี่ยเว่ยหมิง
มีแต่ตอนที่พบว่าพลังป้องกันของฝ่ายตรงข้ามแข็งแกร่งเกินไปเท่านั้น เยี่ยเว่ยหมิงถึงจะอยากคำนวณสิ่งเหล่านี้ ปกติเขาเป็นผู้เล่นที่ใช้ความเจ้าเล่ห์เป็นหลัก ใช้กำลังเป็นรอง ไม่มีทางคำนวณดาเมจโดยละเอียดของแต่ละท่าระหว่างที่ต่อสู้ ทั้งยังต้องทำให้ศัตรูตายด้วยการโจมตีเพียงไม่กี่ครั้งด้วย
อย่างไรเสียขอเพียงศัตรูไม่ตาย ก็จะโจมตีจนกว่าจะตายอยู่ดี!
ส่วนฉางซิงอวี่ในฐานะที่เป็นผู้เล่นมืออาชีพ วิธีการคำนวณที่แม่นยำแบบนี้กลายเป็นสัญชาตญาณหนึ่งของเขาแล้ว พอได้ยินคำถามของเยี่ยเว่ยหมิง เขาก็บอกทันทีว่า “ที่จริงยิ่งเป็นทักษะยุทธ์ที่มีเลเวลสูง วิธีการคำนวณดาเมจของแต่ละท่าก็แตกต่างกันไป ตัวเลขที่แสดงในข้อมูลทักษะเป็นเพียงค่าเฉลี่ยเท่านั้น ค่าตัวเลขโดยละเอียดมากเกินไป ข้าบอกข้อสรุปขั้นสุดท้ายเลยแล้วกัน”
ขณะที่พูด เยี่ยเว่ยหมิงมายืนแทนตำแหน่งฉางซิงอวี่แล้ว กลายเป็นผู้โจมตีหลัก ส่วนฉางซิงอวี่รีบยัดยาฟื้นฟูพลังชีวิตและค่าสเตตัสเข้าปากสองเม็ด แล้วบอกว่า “ดาเมจที่ข้าโจมตีได้ เป็นเพียงสามส่วนของพลังโจมตีตามทฤษฎีเท่านั้น กระบวนท่าส่วนหนึ่งมีผลฝ่าป้องกันนิดหน่อย แต่ดูแล้วไม่ชัดเจนมาก…
…ดังนั้น สาเหตุที่โจมตีบนตัวเจ้าหมอนี่แล้วดาเมจเบาลงเยอะมาก ข้าว่าคงไม่ใช่เพราะอีกฝ่ายมีพลังป้องกันที่เข้มแข็งขนาดนั้น แต่เหมือนเป็นความสามารถในการยกเลิกดาเมจบางอย่าง…
…ประกอบกับถ้าเทียบกับดาเมจที่เจ้าทำก่อนหน้านี้ ข้ารู้สึกว่าหลังจากข้าทำดาเมจบนตัวเขาแล้ว จะถูกลดประสิทธิภาพไปประมาณสามส่วน เหลือประมาณเจ็ดส่วนเท่านั้น…
…และประสิทธิภาพเจ็ดส่วนนี้ พอเจอกับพลังป้องกันของอีกฝ่าย ก็จะเหลืออยู่ประมาณสามส่วนเท่านั้น”