ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ - ตอนที่ 410 ซ่งปิงอี่
ตอนที่ 410 ซ่งปิงอี่
เมื่อได้ยินคำถามซานเย่ว์ เยี่ยเว่ยหมิงก็เผยรอยยิ้มมั่นใจ “แม้ตัวจะยังมาไม่ถึง แต่ก็ยืนยันได้แล้วว่าวันนี้เขาจะเคลื่อนไหวที่ตลาดฝั่งตะวันตก”
ซานเย่ว์ได้ยินแล้วอดผิดหวังไม่ได้
ตอนแรกที่อยู่ตีนเขาจวินซาน ผู้อาวุโสเผิงบอกพวกเขาว่าซ่งปิงอี่ขอทานอยู่ในตลาดที่ต้าหลี่ แต่ใครจะไปคิดว่าในต้าหลี่จะมีตลาดอยู่สองแห่งทั้งฝั่งตะวันออกและฝั่งตะวันตก
หลังจากรู้ข่าวนี้ ทั้งสองก็แยกกันไปตามหาเบาะแสโดยผู้ชายไปทางทิศตะวันออกและผู้หญิงไปทางทิศตะวันตก
อิงตามความคิดเดิมของซานเย่ว์ อาศัยทักษะ ‘สังเกตสีหน้าท่าทาง’ ของนางสอบถาม ถ้าอยากจะสืบข่าวสักหน่อยก็เป็นเรื่องที่มั่นใจมากไม่ใช่หรอกหรือ
นางถึงขั้นมั่นใจว่าจะสืบหาที่เมืองฝั่งตะวันออกเรียบร้อยก่อนที่เยี่ยเว่ยหมิงจะพบซ่งปิงอี่ แล้วค่อยตามไปช่วยเยี่ยเว่ยหมิงทีหลัง
แต่กลับนึกไม่ถึงว่านางเพิ่งถามฝั่งนี้ได้ไม่นาน เยี่ยเว่ยหมิงก็มาช่วยนางก่อนแล้ว ทั้งยังได้รับข่าวที่ยืนยันได้แล้วด้วย
ว่าแล้วเชียว ความแตกต่างระหว่างข้ากับอาหมิง แม้แต่ ‘สังเกตสีหน้าท่าทาง’ ก็ยังอุดความแตกต่างนี้ไม่ได้อย่างนั้นหรือ
ซานเย่ว์ส่ายหน้าอย่างจนใจแล้วตอบตามความจริง “แต่ข้าถามไปสิบกว่าคนแล้ว ไม่มีใครรู้จักขอทานที่ชื่อซ่งปิงอี่สักคน!”
ตอนนี้จู่ๆ เยี่ยเว่ยหมิงกลับถามว่า “ทหารยามสองคนที่เฝ้าหน้าประตูสำนักมือปราบเทพชื่ออะไร”
“ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร”
“ก็นั่นไงล่ะ” เยี่ยเว่ยหมิงยักไหล่ “แม้แต่เพื่อนร่วมงานของตัวเองเจ้ายังไม่รู้จักเลย แล้วทำไมประชาชนที่ต้าหลี่ต้องรู้จักชื่อของขอทานคนหนึ่งด้วยล่ะ”
ซานเย่ว์ได้ยินแล้วตาเป็นประกาย จากนั้นพยักหน้า “อาหมิง เจ้าพูดมีเหตุผลมาก เช่นนั้นเจ้าไปสืบข่าวของอีกฝ่ายมาได้อย่างไรล่ะ”
“ข้าไปหาขอทานคนหนึ่งก่อน ให้เงินเขาสิบเหรียญทองแล้วค่อยให้เขาได้รู้จักรสชาติของสิบแปดฝ่ามือพิชิตมังกร” เยี่ยเว่ยหมิงแบมือ “จากนั้นเขาก็บอกทุกอย่างที่รู้แบบไม่กั๊ก”
กลยุทธ์การบริหารคนในองค์กรแบบทั้งให้รางวัลและลงโทษ ไม่ว่าจะเป็นที่ไหนก็ใช้ได้ผลทั้งนั้น
สำหรับความสามารถของเยี่ยเว่ยหมิง ซานเย่ว์นับถือมากมาตลอด แม้แต่ตู๋กูฉิวไป้ก็ยังแพ้เขา การที่เขาเผยความสามารถนี้ออกมาก็ไม่ถึงขั้นทำให้ซานเย่ว์ตกตะลึง สาเหตุที่ก่อนหน้านี้นางผิดหวัง ก็เพียงเพราะว่านางช่วยเยี่ยเว่ยหมิงเรื่องนี้ไม่ได้ก็เท่านั้นเอง
นางถามต่ออย่างให้ความร่วมมือทันที “แล้วอีกฝ่ายได้บอกหรือเปล่าว่าซ่งปิงอี่ขอทานอยู่ตรงไหนของตลาดฝั่งตะวันตก”
“ขอทานไปตามถนน ไม่มีตำแหน่งแน่นอน” ทั้งสองเดินเคียงข้างกัน เยี่ยเว่ยหมิงกล่าวสบายๆ ว่า “แต่ฟังจากที่อีกฝ่ายบรรยาย ซ่งปิงอี่นั่นน่าจะแยกแยะใบหน้าได้ง่าย”
ซานเย่ว์พยักหน้าแล้วถาม “หน้าตากับการแต่งตัวของเขามีจุดที่แตกต่างตรงไหน”
“ไม่มี” เยี่ยเว่ยหมิงตอบคล่องปากมาก “ซ่งปิงอี่นั่นใส่เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง ดูแล้วผมเผ้ากระเซอะกระเซิง หน้าตามอมแมม ไม่มีอะไรแตกต่างกับขอทานทั่วไปเลย”
ซานเย่ว์ได้ยินแล้วพูดไม่ออกอยู่พักหนึ่ง “แล้วหน้าตาแบบนี้จะแยกแยะง่ายได้อย่างไร”
เยี่ยเว่ยหมิงยิ้มบางๆ พร้อมพูดต่อว่า “ซ่งปิงอี่นั่นแม้จะไม่มีอะไรแตกต่างจากขอทานทั่วไป แต่ทุกครั้งที่เขาไปขอทานบนถนน เขาจะพาลูกเมียไปด้วยกัน เมียเขางดงามน่าหลงใหลมาก ลูกก็น่ารักสดใส ไม่ได้แต่งตัวซอมซ่อด้วย…
…มีกลุ่มคนแบบนี้เดินตามติดอยู่ข้างกายขอทานคนหนึ่ง เจ้าคิดว่าแยกแยะง่ายหรือเปล่าล่ะ”
ซานเย่ว์จินตนาการภาพตามที่เยี่ยเว่ยหมิงบรรยายแล้วก็รู้สึกตัวสั่นทั้งที่ไม่ได้หนาวทันที
ฉากแบบนี้แค่คิดก็ทำให้ตัวสั่นแล้ว!
ทว่า ภาพที่เยี่ยเว่ยหมิงบรรยายอาจจะน่ากลัวเกินไปหน่อย ต่อให้ส่ายหน้าแต่ภาพประหลาดนั้นก็ยังคงอยู่ ลบเท่าไรก็ไม่ออก!
ด้วยความจนใจ ซานเย่ว์ยกมือขยี้ตาแล้วเดินไปข้างหน้าอีกครั้ง แต่ไม่น่าเชื่อว่าภาพนั้นก็ยังคงอยู่!
มารดามันเถอะ นี่มันภาพหลอนอะไรกัน!
เพียงแต่ตอนที่กำลังพูด พวกเขาก็เห็นตัวจริงของซ่งปิงอี่ในตำนานแล้ว
เห็นตรงหน้ามีขอทานที่มีลักษณะพิเศษคนหนึ่ง เป็นอย่างที่เยี่ยเว่ยหมิงบอกจริงๆ ดูเหมือนขอทานธรรมดาทั่วไปเท่านั้น แต่สิ่งเดียวที่แตกต่างจากที่ทั้งสองจินตนาการไว้ก็คือ เขาดูอายุยังไม่มาก ไม่มีผมหงอกแม้แต่เส้นเดียว
มองเผินๆ เหมือนชายวัยกลางคนเท่านั้น เมื่อเทียบกับหงชีกงแล้วดูอ่อนเยาว์กว่ามาก แตกต่างกับภาพลักษณ์ผู้อาวุโสพรรคกระยาจกที่ทั้งสองจินตนาการไว้ลิบลับ
เมื่อมองให้ดีก็เหมือนเขาจะอ่อนเยาว์กว่าตอนที่มองผ่านๆ อีก ดูเหมือนอายุยี่สิบสามสิบเท่านั้นเอง ถือเป็นวัยที่ยังหนุ่มยังแน่น เมื่อเทียบกับเมียทั้งสองของเขาแล้วยังถือว่าวัยใกล้เคียงกัน ไม่ถือว่าเป็นโคแก่กินหญ้าอ่อน
แต่คำถามก็คือ เงื่อนไขของ NPC พรรคกระยาจกในเกมดีเหมือนกันหมดเลยหรือ
จางซานเฟิงสำนักอู่ตังอายุเกือบร้อยปียังนั่งอยู่ในตำแหน่งอย่างมั่นคงอยู่เลย แต่ผู้อาวุโสพรรคกระยาจกที่อายุยังไม่ถึงสามสิบตรงหน้านี้กลับได้ใช้ชีวิตสบายในวัยเกษียณแล้วหรือ
ท่ามกลางสายตาประหลาดใจของทั้งสอง ขอทานที่ดูเหมือนซ่งปิงอี่พาครอบครัวเดินมาทางพวกเขาแล้ว หลังจากมาถึงตรงหน้าทั้งสองก็ยื่นขันสีทองในมือออกมาพร้อมกล่าวด้วยใบหน้ายิ้มเจ้าเล่ห์ “จอมยุทธ์น้อยทั้งสอง ขอเงินกินข้าวหน่อยสิ!”
มองไปตามมือที่อีกฝ่ายยื่นออกมา กลับเห็นบาตรขันนั่นเป็นทองคำทั้งขัน บนนั้นไม่มีอะไรเจือปนแม้แต่น้อย ทักษะความเป็นมืออาชีพได้บอกเยี่ยเว่ยหมิงว่าขันขอข้าวที่อยู่ในมือขอทานคนนี้ทำมาจากทองคำบริสุทธิ์ทั้งหมด
ไม่ใช่ทองชุบแน่นอน!
เกรงว่าเพียงมูลค่าของขันอย่างเดียว ก็บดขยี้คนเดินถนนส่วนใหญ่ที่นี่ได้แล้ว
เจ้าขอข้าวกินได้อันธพาลขนาดนี้ หงชีกงเขารู้หรือเปล่า
แม้จะรู้สึกแปลกมาก แต่เยี่ยเว่ยหมิงก็เป็นคนที่จิตใจดีมากคนหนึ่ง เที่ยงธรรมไร้ความเห็นแก่ตัวทั้งยังเห็นอกเห็นใจผู้อื่น เมื่อเห็นอีกฝ่ายยื่นขันทองออกมา เขาก็นิ่งดูดายไม่ได้อยู่แล้ว
พอเขาโบกมือ ไก่ขอทานก็วางลงในขันของขอทานทันที น้ำมันที่อยู่บนเนื้อไก่ทำให้ขันทองที่สะอาดเป็นมันแผล็บ ดูแล้วทำลายความรู้สึกงดงามของทองคำมาก
ครั้งนี้ถึงคราวที่ขอทานจะอึ้งบ้างแล้ว
ก่อนหน้านี้ทุกครั้งที่เขานำขันทองออกมาขอข้าวกิน ฝ่ายตรงข้ามถ้าไม่ตกตะลึงก็ดูถูก บางคนก็ให้เงิน บางคนก็สะบัดชายเสื้อเดินจากไปอย่างไม่แยเส
วันนี้เป็นครั้งแรกที่มีคนยัดอาหารใส่ขันทองโดยตรง!
ทองคำมีพิษ เจ้าไม่รู้หรอกหรือ
เขามองเยี่ยเว่ยหมิงที่ไม่เล่นตามกติกาทั่วไปอย่างงุนงงครู่หนึ่ง แต่ขอทานคนนั้นกลับถูกกลิ่นหอมของไก่ขอทานยั่วยวน หลังจากแยกแยะคุณภาพของไก่ขอทานตัวนี้ได้แล้ว เขาก็ดีใจเหนือความคาดหมาย เขากล่าวขอบคุณเยี่ยเว่ยหมิงก่อน ตามด้วยฉีกไก่ขอทานตัวนั้นเป็นชิ้นๆ อย่างรวดเร็ว แต่กลับมอบทั้งหมดให้ลูกเมียที่อยู่ข้างๆ ไม่เก็บไว้ให้ตัวเองเลยสักนิด ได้แต่เลียนิ้วคลายความหิวกระหายเท่านั้น
แม้จะบอกว่าทองคำมีพิษ แต่ตราบใดที่ไม่กินทองคำลงท้องก็ไม่เป็นอะไร
หลังจากลูกเมียกินหมดแล้ว ขอทานก็ยิ้มแห้งให้เยี่ยเว่ยหมิงพร้อมบอกว่า “ผู้น้อยแซ่ซ่ง ก่อนหน้านี้เป็นผู้อาวุโสพรรคกระยาจก แต่ตอนนี้ไม่เป็นแล้ว เพียงแต่ก่อนหน้านี้ข้าอยู่ห่างจากตรงนี้มาก แต่ได้ยินปราชญ์จอมยุทธ์ทั้งสองเอ่ยถึงชื่อข้า อย่าบอกนะว่าครั้งนี้พวกท่านตั้งใจมาหาข้าโดยเฉพาะ”