ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ - ตอนที่ 436 ขอทานมอมแมม กวนอิมผมยาว
ตอนที่ 436 ขอทานมอมแมม กวนอิมผมยาว
สิ่งที่ผู้ออกแบบเกมทำเพื่อป้องกันแฟนนิยายต้นฉบับอย่างอินปู้คุยกับเจ้าอ้วนชนะฟ้า นอกจากเปลี่ยนแปลงเหตุบังเอิญในบทบรรยายตามต้นฉบับเดิม ทำให้ผู้เล่นหาโอกาสบางอย่างตามต้นฉบับเดิมไม่ได้ง่ายๆ ยกตัวอย่างเช่นการหาวิชาเก้าเอี๊ยงเจอในหอคัมภีร์เส้าหลิน การหาวิชาปรานภูตอุดรกับท่าเท้าท่องคลื่นเจอในถ้ำหยกหลางหวน
ยังมีเรื่องที่ NPC ในเกมก็ไม่ปล่อยให้ผู้เล่นที่รู้เนื้อเรื่องตามต้นฉบับเดิมหลอกลวงตามอำเภอใจเช่นกัน
ยกตัวอย่างง่ายๆ เช่นบทกลอนที่ซานเย่ว์เพิ่งท่องออกมา ถ้าทุกคนเจอกันเป็นครั้งแรก แล้วนางเพิ่งออกมาต่อหน้าต้วนเหยียนชิ่ง อีกฝ่ายคงไม่สนใจนางแน่นอน มีแต่จะใช้สายตาแบบ ‘นางเด็กนี่เป็นบ้าหรือเปล่า’ เพื่อแสดงออกถึงความเหยียดหยามในใจเขา
แต่หลังจากหลิวอวิ๋นกับซานเย่ว์ถามถึงความลับที่ไม่มีใครรู้ในปีนั้นมาจากปากเตาไป๋เฟิ่ง ก็ถูกระบบตัดสินว่าเป็นผู้ที่รู้ความจริงของเรื่องนี้แล้ว
เมื่อกลอนสี่วรรคนี้ถูกเอ่ยออกมาจากปากนาง ถึงได้แสดงอานุภาพที่น่ากลัวอย่างแท้จริงออกมาได้!
เพียงแต่เมื่อดูจากท่าทีที่ต้วนเหยียนชิ่งแสดงออกมา เขาเข้าใจผิดแล้วหรือเปล่า
ความรู้สึกของคนอื่นอาจจะไม่ได้เด่นชัดขนาดนั้น แต่สำหรับซานเย่ว์ที่มีทักษะสังเกตสีหน้าท่าทาง การจะมองทะลุความคิดของต้วนเหยียนชิ่งในตอนนี้กลับไม่ใช่เรื่องยากอะไร
ตอนที่ยังไม่เห็นก็ยังดีหน่อย แต่พอได้เห็นแล้ว กลับอดยืนตัวสั่นอยู่ที่เดิมไม่ได้!
[ติ๊ง! เปิดใช้งานพาสซีฟสกิล ‘สังเกตสีหน้าท่าทาง’ คุณพบว่าต้วนเหยียนชิ่งน้ำตาคลอ ความอาลัยอาวรณ์ซ่อนอยู่ใต้น้ำตา ทั้งตัวเขาอยู่ท่ามกลางอารมณ์คนึงหา ซาบซึ้งและปรารถนาปนกัน หลายความรู้สึกประดังเข้ามาพร้อมกัน ไม่เป็นตัวของตัวเอง]
พูดให้เข้าใจง่ายก็คือ เขามองเจ้าเป็น ‘กวนอิมผมยาว’ นอกวัดเทียนหลงเมื่อยี่สิบปีก่อนแล้ว!
เมื่อเห็นสิ่งที่ทักษะแจ้งเตือน ซานเย่ว์ก็รู้สึกแย่ไปทั้งตัว แทบจะกระอักเลือดออกมา
ต้องมีอะไรผิดพลาดตรงไหน!
สาวน้อยอย่างข้าเหมือนเม็ดกระวานอ่อนที่รอวันกะเทาะเปลือก จะไปมีความสัมพันธ์กับตาแก่มอมแมมอย่างเจ้าได้อย่างไร
เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเอง ซานเย่ว์รีบถอยหลังก้าวหนึ่ง แล้วอธิบายว่า “ผู้อาวุโสต้วน ท่านเข้าใจผิดแล้ว ผู้น้อยไม่ใช่ ‘พระโพธิสัตว์กวนอิม’ ที่ท่านพูดถึงนะ แต่ผู้น้อยได้รับการไหว้วานมาจากผู้อาวุโสท่านนั้นให้มาบอกเรื่องบางอย่างกับท่าน”
เมื่อได้ยินซานเย่ว์อธิบายแบบนี้ ต้วนเหยียนชิ่งก็ได้สติทันทีเช่นกัน ผู้หญิงในปีนั้นไม่มีทางที่ป่านนี้แล้วจะยังอ่อนเยาว์ได้ขนาดนี้ เขาจึงทำตัวกระปรี้กระเปร่า เรียกสติสัมปชัญญะกลับมาอีกครั้ง แต่สีหน้ากลับยังประหม่าอยู่บ้าเล็กน้อย “คนนั้นที่เจ้าเอ่ยถึง นางเป็นใคร อยู่ที่ไหน”
ตอนนี้ซานเย่ว์กลับหันไปมองเยี่ยเอ้อร์เหนียงกับเย่ว์เหล่าซานที่ยืนอยู่ฝั่งซ้ายและขวาแวบหนึ่ง จากนั้นหันกลับมามองต้วนเหยียนชิ่ง “ผู้อาวุโส ข้าขอคุยเป็นการส่วนตัว”
ต้วนเหยียนชิ่งเป็นคนชั่วโฉดแน่นอนอยู่แล้ว แต่ยามเผชิญหน้ากับเรื่องราวที่เกี่ยวกับ ‘กวนอิมผมยาว’ กลับเปลี่ยนเป็นคนที่เอาใจใส่และเห็นอกเห็นใจที่สุด เมื่อได้ยินซานเย่ว์พูดแบบนี้ก็เข้าใจทันที ในเมื่ออีกฝ่ายมาจากฝั่งสกุลต้วนต้าหลี่ เกรงว่านางคงไม่สะดวกเปิดเผยฐานะให้ใครรู้ เขาจึงพยักหน้าตอบรับแล้วถือไม้เท้าเดินไปยังลานกว้างที่อยู่ไกลๆ
นอกเมืองตอนกลางคืนมีลมโชยมาเบาๆ ทำให้ราตรีหนาวเย็นขึ้นกว่าเดิม
เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้คนอื่นได้ยินบทสนทนาของพวกเขา ต้วนเหยียนชิ่งตั้งใจเลือกไปยืนอยู่ตรงใต้ทางลม ทั้งยังเดินออกมาสามสิบจั้งแล้วถึงได้หยุด
ส่วนซานเย่ว์ที่เดินตามอยู่ข้างหลัง ในที่สุดก็เอ่ยคำตอบที่อีกฝ่ายรอมานาน “ที่จริงผู้อาวุโสท่านนั้นที่เคยมีวาสนาชั่วคราวร่วมกับผู้อาวุโสต้วน เดิมทีนางมีฐานะสูงส่ง ตอนเป็นสาวนางคือบุตรสาวของหัวหน้าเผ่าไป่อี้ ตอนหลังแต่งงานเข้าสกุลต้วนต้าหลี่ กลายเป็นหวังเฟยขององค์ชายฝั่งใต้ต้วนเจิ้งฉุน ขณะเดียวกัน นางก็คือมารดาของต้วนอวี้เช่นกัน แม่ชีไร้สังกัดเตาไป๋เฟิ่ง!”
ต้วนเหยียนชิ่งได้ยินแล้วตะลึงงัน “เจ้าพูดจริงหรือไม่”
ซานเย่ว์ตอบอย่างมีเหตุผลเต็มปากเต็มคำ “กลอนสี่วรรคที่ผู้น้อยกล่าวก่อนหน้านี้ นอกจากท่านกับนางแล้ว ในโลกนี้ยังมีบุคคลที่สามล่วงรู้อีกหรือ…
…หากไม่ใช่เพราะครั้งนี้ต้วนอวี้ประสบอันตราย มีความเป็นไปได้สูงว่าจะถูกผู้อาวุโสทำลายชื่อเสียง ไม่มีทางสืบทอดตำแหน่งฮ่องเต้ของต้าหลี่ได้ ผู้ที่อยู่ในฐานะหวังเฟยอย่างนาง จะต้องเก็บความลับระหว่างพวกท่านให้ย่อยอยู่ในท้องตัวเองตลอดไปแน่นอน มีหรือที่จะเอ่ยให้ผู้น้อยรู้”
ต้วนเหยียนชิ่งได้ยินแล้วส่ายหน้าเล็กน้อย อยากจะไปหาเตาไป๋เฟิ่งเพื่อยืนยันเรื่องราวเสียตอนนี้เลย แต่ก็กังวลอีกว่าการปรากฏตัวของตนจะทำร้ายนาง
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ถามว่า “นางอยากจะให้ข้าปล่อยลูกชายนางไปอย่างนั้นหรือ”
ตอนนี้ต้วนเหยียนชิ่งลังเลอยู่บ้าง การใช้ต้วนอวี้เพื่อล้างแค้นสองพี่น้องต้วนเจิ้งหมิง เดิมทีก็เป็นสิ่งที่เขาวางแผนมานานหลายปีแล้ว แต่ถ้า ‘พระโพธิสัตว์กวนอิม’ อยากให้เขาปล่อยคน…
ชั่วขณะนั้น ต้วนเหยียนชิ่งตัดสินใจลำบากจริงๆ
ทว่า ในเมื่อซานเย่ว์โยนระเบิดออกมาแล้ว นางย่อมไม่พูดครึ่งๆ กลางๆ แน่นอน นางเพียงยิ้มบางๆ แล้วบอกความลับสุดยอดที่ทำให้ต้วนเหยียนชิ่งทั้งดีใจทั้งตกใจอีก “ก่อนที่ข้าจะมาที่นี่ ผู้อาวุโสท่านั้นฝากข้ามาบอกว่าบนคอของต้วนอวี้สวมเหรียญทองไว้เส้นหนึ่ง บนนั้นสลักแปดอักษรวันเกิดของเขาเอาไว้”
ครั้งนี้ ซานเย่ว์ไม่ได้บอกตรงๆ ว่าต้วนอวี้คือลูกชายของต้วนเหยียนชิ่ง แต่บอกเขาว่าหลักฐานอยู่ที่ไหนแทน ให้เขาไปดูเอาเอง
พอได้ยินดังนั้น ต้วนเหยียนชิ่งก็ตัวสั่นทันที กระทุ้งไม้เท้าคู่กับพื้นโดยไม่พูดอะไร เหาะออกไปทางหุบเขาว่านเจี๋ยแล้ว กระโดดขึ้นลงไม่กี่ทีก็หายไปจากสายตาพวกเขา
เมื่อเห็นต้วนเหยียนชิ่งจากไปโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง สองคนโฉดที่เหลือก็ทำหน้างงงวย แต่เยี่ยเอ้อร์เหนียงก็ชักดาบออกมาจากเอวแล้วกล่าวพร้อมแสยะยิ้มทันที “ถึงพี่ใหญ่จะไม่ได้บอกชัดว่าจะทำอย่างไร แต่พวกเราก็จะปล่อยให้เจ้าสี่ตายไปเฉยๆ ไม่ได้เช่นกัน ไม่อย่างนั้นแล้ว ในยุทธภพยังจะมีใครสนใจสี่คนโฉดอย่างพวกเราอีก เหล่าซาน (น้องสาม) เตรียมตัวลงมือเถอะ!”
เมื่อได้ยินแบบนั้น เย่ว์เหล่าซานก็โมโหทันที “เจ้าต่างหากที่เป็นเหล่าซาน ข้าคือเย่ว์เหล่าเอ้อร์ (น้องรอง)!”
“อยากมาแย่งลำดับอาวุโสของข้าหรือ” เยี่ยเอ้อร์เหนียงแสยะยิ้มดูถูก “ข้าไม่ถือสาหรอกว่าตัวเองจะชื่อเยี่ยเอ้อร์เหนียง หรือเยี่ยซานเหนียง แต่ถ้าเจ้าคิดจะมาแย่งตำแหน่งของข้าก็ไม่ง่ายอย่างนั้นหรอก”
“หรือไม่อย่างนั้น วันนี้พวกเรามาประลองกันหน่อยไหม ตรงนี้มีศัตรูทั้งหมดแปดคน ตัดนางหนูแซ่จงนั่นออก อีกเจ็ดคนที่เหลือใครฆ่าได้เยอะกว่ากันคนนั้นได้เป็นเหล่าเอ้อร์ เป็นอย่างไร”
“ประลองก็ประลอง ข้าเย่ว์เหล่าเอ้อร์กลัวเจ้าเสียที่ไหน”
ขณะที่พูดอยู่นั้น เย่ว์เหล่าซานก็นำกรรไกรปากจระเข้ของเขาออกมาแล้ว เขากวาดสายตามองบนตัวผู้เล่นทีละคน เริ่มพิจารณาแล้วว่าคนไหนตายง่ายที่สุด
เมื่อเห็นฉากนี้ เยี่ยเว่ยหมิงก็ถอนหายใจเฮือกหนึ่ง แล้วชักกระบี่แสงทองตั้งขวางอยู่ตรงหน้าอก
ยังต้องสู้กันจริงๆ ใช่ไหม
ถ้าเป็นแบบนี้ ก็ทำได้เพียงทิ้งไพ่ลับหนึ่งใบเพื่อรั้งสองคนโฉดไว้ที่นี่
ทว่ายังไม่ทันรอให้เยี่ยเว่ยหมิงเรียกยอดฝีมือ จู่ๆ พวกเขาก็เห็นเงาร่างสีขาวก้าวออกมาจากกลุ่มแล้ว ชิงก้าวขึ้นมาขวางตรงหน้าเยี่ยเอ้อร์เหนียง
“อามิตตาพุทธ!”