ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ - ตอนที่ 443 จิวหมัวจื้อ
ตอนที่ 443 จิวหมัวจื้อ
ความเห็นของต้วนเหยียนชิ่ง แม้จะบอกว่าให้พวกเขากลับไปหาต้วนเจิ้งหมิงเพื่อขอกำลังหนุนโดยตรง แต่เยี่ยเว่ยหมิงกลับรู้สึกว่าไปขอกำลังหนุนตอนนี้ยังเร็วเกินไป เขาถึงขั้นไม่รีบส่งพิราบสื่อสารบอกข่าวให้ซานเย่ว์รู้ด้วย
อย่างไรเสีย…
สิ่งที่หูได้ยินอาจปลอม สิ่งที่ตาเห็นต่างหากคือความจริง!
ต่อให้ไปรายงานต้วนเจิ้งหมิงเพื่อขอกำลังเสริม แต่อย่างน้อยก็ต้องเห็นเองกับตาว่าศัตรูที่คุมอยู่ในคุกห้องศิลาตอนนี้เป็นเทพปราชญ์จากแห่งหนใดกันแน่ หลังจากรู้จักศัตรูในระดับหนึ่งแล้ว ค่อยรายงานเรื่องนี้ให้ต้วนเจิ้งหมิงฟัง พวกเขาถึงจะมีพลังในการโน้มน้าวยิ่งขึ้น
เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่ไม่จำเป็น หลังจากจงหลิงชี้บอกแล้วว่าห้องศิลาที่ใช้ขังต้วนอวี้อยู่ตรงไหน พวกเยี่ยเว่ยหมิงก็ให้นางกลับไปพักผ่อนที่ห้องก่อน
จากบทสนทนากับต้วนเหยียนชิ่งก่อนหน้านี้ก็ตัดสินข้อมูลหนึ่งได้ไม่ยาก นั่นก็คือมีความเป็นไปได้สูงว่าพวกเชิญร่ำสุราอาจจะรับภารกิจมาจากจงว่านโฉว หรือไม่ก็ยอดฝีมือลึกลับคนนั้น ไม่ใช่ต้วนเหยียนชิ่ง
ดังนั้น ในหุบเขาว่านเจี๋ยแห่งนี้ ขอเพียงจงหลิงไม่รนหาที่ตายเอง โดยส่วนใหญ่ก็รับประกันความปลอดภัยได้
แม้แต่ตอนที่อวิ๋นจงเฮ่อชิงตัวนางไปก่อนหน้านี้ เกรงว่าคงเป็นเพราะหลังจากนางได้ยินเสียงนกหวีดไม้ไผ่ของเยี่ยเว่ยหมิง นางก็เป็นฝ่ายออกมาจากขอบเขตอำนาจของหุบเขาว่านเจี๋ยเอง ถึงได้ทำให้เจ้าลามกนั่นฉวยโอกาสได้
ทั้งสี่คนไปตามทางที่จงหลิงชี้บอก แต่เดินไปได้ไม่ไกลนัก ก็มาถึงลานกว้างแห่งหนึ่งแล้ว ตรงกลางลานกว้างมีห้องศิลาโดดเดี่ยวห้องหนึ่ง
ห้องศิลานั่นมีลักษณะประหลาด ใช้หินก้อนใหญ่หลายก้อนก่อเสมือนภูเขาขนาดเล็กที่ขรุขระก้อนหนึ่ง มีประตูเหมือนปากถ้ำ แต่กลับถูกหินแกรนิตก้อนใหญ่ปิดตายไว้
ตรงหน้าห้องศิลา มีพระสวมจีวรสีเหลืองรูปหนึ่งกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่บนเบาะกลม พระรูปนั้นอายุไม่เกินห้าสิบ ใส่รองเท้าหญ้า ใบหน้าเจิดจ้าแจ่มใส ราวกับปกคลุมด้วยประกายศักดิ์สิทธิ์คล้ายไข่มุกหยกงาม เปล่งประกายโดยธรรมชาติ
พวกเขามองห็นเพียงไม่กี่พริบตาก็เกิดความรู้สึกอยากเข้าใกล้แล้ว
ช่างเป็นพระที่หน้าตาสง่าน่าเกรงขาม!
เมื่อคนกลุ่มนี้มาถึง แม้จะข่มเสียงฝีเท้าไม่ให้ดัง พยายามไม่ดึงดูดความสนใจคนอื่นในหุบเขา แต่กลับไม่ได้จงใจปิดบังตัวตนต่อหน้าพระรูปนี้ ทันทีที่คนกลุ่มนี้ปรากฏตัว พระรูปนั้นก็ลืมตาขึ้นมา มองมาทางพวกเขาด้วยสีหน้าที่เหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้มพร้อมกล่าวเสียงเรียบว่า “อาตมาเป็นพระธรรมจักรใหญ่แห่งภูเขาต้าเสวี่ยซาน ราชครูแห่งถู่ปัว จิวหมัวจื้อ”
หลังจากเปิดเผยชื่อของตัวเองแล้ว จิวหมัวจื้อก็พูดต่อว่า “วันนี้อาตมาได้รับเชิญจากประมุขหุบเขาว่านเจี๋ย จงว่านโฉว เพื่อมาเป็นประจักษ์พยานให้พวกเขา ถือโอกาสดูความยอดเยี่ยมของดรรชนีเอกสุริยันแห่งสกุลต้วนต้าหลี่สักหน่อย…
…แต่สี่คนโฉดนั่นพูดจาไม่เป็นคำพูด นึกไม่ถึงว่าจู่ๆ ก็คิดจะปล่อยต้วนอวี้ ไม่ไว้หน้าประมุขหุบเขาจงแล้ว…
…อาตมาทนเห็นงานชุมนุมยุทธภพจบลงก่อนเวลาอันควรไม่ได้ ประมุขหุบเขาจงจึงขอร้องให้อาตมาเฝ้าประตูนี้แทนเจ้าโฉดชั่วบาปหนักนั่น…
…ไม่ว่าจะเป็นใคร ขอเพียงชนะอาตมาได้ ก็ย่อมช่วยชีวิตต้วนอวี้ออกไปได้…
…อาตมาจะไม่อาศัยทักษะยุทธ์รังแกพวกเจ้าเช่นกัน ขอเพียงคนที่ท้าสู้อาตมามีไม่เกินสี่คน อาตมาก็จะไม่ทำร้ายต้วนอวี้ที่อยู่ในห้องศิลาแม้แต่เส้นขน”
ความหมายที่จะสื่อก็คือ ขอเพียงจำนวนคนที่ท้าสู้ไม่เกินสี่คน จิวหมัวจื้อนั่นก็จะไม่ลงมือสังหารต้วนอวี้!
แต่นึกไม่ถึงว่าเขาจะขอสู้แบบหนึ่งต่อสี่
ทั้งยังทำท่าประมาณว่า ไม่ว่าพวกเจ้าจะหาคู่ต่อสู้แบบไหนมา ข้าก็มั่นใจว่าสู้แบบหนึ่งต่อสี่ไหว
จะว่าไปแล้ว หลวงจีนรูปนี้ฉันอะไรเป็นมื้อเช้า กุ้ยช่ายทอดกับกระเทียมหรือเปล่า
กลิ่นปากแรงจริงๆ[1]!
ตอนนี้เยี่ยเว่ยหมิงยังไม่มีทางตัดสินได้ว่าพลังฝีมือของจิวหมัวจื้อเป็นอย่างไรกันแน่ เขาถึงขั้นไม่สนใจแม้แต่จะมองค่าสเตตัส BOSS ของอีกฝ่ายด้วยซ้ำ
ขนาดเหล่าต้วนที่ถูกพระรูปนี้โจมตีบาดเจ็บก่อนหน้านี้ ในสายตาผู้เล่นปัจจุบันยังถือว่าเป็นบอสร้ายกาจที่ค่าสเตตัสมีแต่เครื่องหมายคำถามเลย หลังจากจิวหมัวจื้อเผยค่าสเตตัสออกมาแล้วจะเป็นอย่างไร ยังไม่ทันเห็น เขาก็เดาออกไปแปดเก้าส่วนแล้ว
[จิวหมัวจื้อ]
พระธรรมจักรใหญ่แห่งภูเขาต้าเสวี่ยซาน ราชครูถู่ปัว
เลเวล: ???
พลังชีวิต: ???/???
กำลังภายใน: ???/???
……
เนื้อหาที่ผู้เล่นมองเห็นได้ ก็คงจะเป็นอย่างนี้ ไม่ผิดพลาดแน่!
ในเมื่อไม่มีทางมองเห็นฝีมือที่แท้จริงของอีกฝ่าย เยี่ยเว่ยหมิงก็ไม่มีอารมณ์จะดูต่อแล้ว ในเมื่อได้ยินอีกฝ่ายยอมรับฐานะของตัวเองแล้ว ภารกิจวันนี้ของเขาก็ถือว่าสำเร็จเกินครึ่งแล้วเช่นกัน เขากุมหมัดคารวะจิวหมัวจื้อทันที จากนั้นก็บอกว่า “คำพูดของผู้อาวุโส ผู้น้อยจดจำไว้แล้ว จะถ่ายทอดคำพูดของท่านไปยังจักรพรรดิต้าหลี่เดี๋ยวนี้…
…หากผู้อาวุโสไม่มีเรื่องอื่นจะกำชับแล้ว ผู้น้อยก็ขอตัวก่อน!”
จิวหมัวจื้อได้ยินแล้วพยักหน้า จากนั้นก็หลับตาเข้าสู่สมาธิอีกครั้ง
พอเยี่ยเว่ยหมิงโบกมือ พิราบสื่อสารสามตัวก็บินออกจากตัวเขา ในจำนวนนั้นสองตัวบินไปที่ต้าหลี่ แต่อีกตัวกลับบินไปที่ภาคกลาง
หลังจากพิราบขาวสามตัวบินไปไกลจากตัวเขาประมาณหนึ่งจั้ง ชั่วพริบตาเดียวก็หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับอากาศ หายไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว
จดหมายสามฉบับบี้ส่งไปให้หลิวอวิ๋น เจ้าอ้วนชนะฟ้าและอินปู้คุย
ฉบับแรกบอกข่าวที่ตัวเองเจอจิวหมัวจื้อให้หลิวอวิ๋นรู้ ให้เขาเรียบเรียงคำพูดไปบอกต้วนเจิ้งหมิงเพื่อขอผู้ช่วย
ส่วนอีกสองฉบับก็ถามแฟนพันธุ์แท้ต้นฉบับสองคนเกี่ยวกับจิวหมัวจื้อ สำนักดาวดึงส์ รวมทั้งเบื้องลึกเบื้องหลังของสกุลมู่หรง
เมื่อพิราบขาวสามตัวหายไปจากสายตา จู่ๆ เยี่ยเว่ยหมิงก็เห็นเมฆสีแดงกลุ่มหนึ่งปรากฏขึ้นมา เป็นเชิญร่ำสุราที่หนีไประหว่างการต่อสู้ก่อนหน้านี้ ตามติดด้วยเงาคนอีกสองคน เมฆเคลื่อนเดียวดายกับข้ากำลังหาของโผล่ออกมาจากจุดลับ
หลังจากทั้งสามปรากฏตัวก็ยืนคนละมุมเป็นตำแหน่งสามเหลี่ยม ขวางทางที่พวกเยี่ยเว่ยหมิงเตรียมตัวจะออกไปพอดี
ในจำนวนนั้น เชิญร่ำสุรายิ้มบางๆ ใช้เสียงที่ก้ำกึ่งระหว่างชายและหญิงของเขากล่าวว่า “ก่อนหน้านี้ไต้ซือบอกไว้แล้วว่าสี่คนร่วมมือกันตะลุยด่านได้พอดี ในเมื่อทั้งสี่มาแล้ว อย่าบอกนะว่าไม่อยากลองตะลุยด่านดูสักหน่อย ไม่อยากเห็นฝีมือของไต้ซือสักหน่อยหรือ”
ต้องบอกเลยว่ารูปร่างหน้าตาของเชิญร่ำสุราเดิมทีก็ก่ำกึ่งระหว่างชายหญิงอยู่แล้ว ถ้าเป็นชายที่แต่งตัวเป็นหญิงก็ไม่ถือว่าดูขัดตา หลังจากฝึก ‘เคล็ดกระบี่พิชิตมาร’ แล้วเปลี่ยนเป็นใส่ชุดสีแดงอีก ถึงกับดูสบายตาขึ้นเช่นกัน
กล่าวได้เพียงว่า ตราบใดที่เจ้าไม่ปรารถนาในเรือนร่างของเขา ก็จะไม่เกิดความอึดอัดทางด้านจิตใจแน่นอน
เมื่อเห็นอีกฝ่ายเตรียมเจรจาก่อนใช้กำลัง เยี่ยเว่ยหมิงก็ได้แต่ยิ้มอ่อน แล้วปฏิเสธอย่างอ้อมค้อมว่า “ไม่อยาก”
“แต่พวกเราอยากขอคำชี้แนะจากสหายเยี่ยสักหน่อย หวังว่าจะให้คำชี้แนะ!” แทบจะเป็นตอนเดียวที่คำว่า ‘ชี้แนะ’ หลุดออกจากปาก ร่างของเชิญร่ำสุราก็กลายเป็นเงาเลือนรางสีแดงพุ่งมาทางเยี่ยเว่ยหมิงแล้ว
ขณะเดียวกันนี้เอง ผู้เล่นข้ากำลังหาของที่อยู่อีกด้านก็ประชิดเข้ามาอย่างรวดเร็วเช่นกัน มาทำมุมแหลมกับเชิญร่ำสุรา ขนาบโจมตีมาทางเยี่ยเว่ยหมิงที่ยืนอยุ่หน้าสุดของทีม
สำหรับลูกน้องขี้แพ้สองคนนี้ เยี่ยเว่ยหมิงย่อมไม่กลัวอยู่แล้ว เขาเรียกกระบี่แสงทองไว้ในมือ แล้วพลันหมุนตัวโบกท่า ‘กวาดหิมะต้มชา’ ใน ‘เคล็ดกระบี่ฉวนเจิน’ บีบให้สองคนนี้ล่าถอยไปทันที
ในตอนนี้เอง จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงคากคกร้องดังขึ้น เมฆเคลื่อนเดียวดายที่อยู่อีกด้านโจมตีฝ่ามือออกมาแล้ว เป็นพลังฝ่ามืออันแข็งแกร่งของวิชาคางคก ตบเข้ามาทางหน้าผากของเยี่ยเว่ยหมิง
ขณะเดียวกันนี้เอง…
เยี่ยเว่ยหมิงรู้สึกเสียวสันหลังวาบ ราวกับว่าศัตรูที่อันตรายกว่าไม่ได้อยู่ตรงหน้า แต่มาจากข้างหลังของเขา!
[1] กลิ่นปากแรง อีกความหมายหนึ่งคือพูดจาโอ้อวดเกินจริง