ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ - ตอนที่ 446 วิเคราะห์ทีละขั้น ดรรชนีกระบี่หกชีพจร
ตอนที่ 446 วิเคราะห์ทีละขั้น ดรรชนีกระบี่หกชีพจร
ต้วนอาทิตย์อัสดงไร้ซุ่มเสียงที่ถูกเยี่ยเว่ยหมิงกำจัดออกจากภารกิจไม่ได้ปรากฏตัวต่อหน้าพวกเขาอีก เรื่องนี้ทำให้เยี่ยเว่ยหมิงที่เดิมทีเตรียมจะใช้ประโยชน์จากเจ้าขยะนี่สักรอบรู้สึกผิดหวังอยู่บ้าง
เพียงแต่การหายไปแบบนี้ก็สอดคล้องกับสไตล์ของเชิญร่ำสุราแล้วเช่นกัน ถึงอย่างไรเขาก็คือมือมืดที่อยู่หลังม่านของอีกฝ่าย
หลังจากเล่าเรื่องราวคร่าวๆ ในช่องทีมแล้ว เยี่ยเว่ยก็พาหมิงสองศิษย์จากภูเขาหิมะวิหคทองกลับไปถึงนอกลานบ้านในหุบเขาว่านเจี๋ย นั่งลงบนที่ว่างแห่งหนึ่งที่อยู่ห่างจากสามคนโฉดไม่ไกล รอข่าวความคืบหน้าทางฝั่งซานเย่ว์
ในระหว่างนั้น เยี่ยเว่ยหมิงได้รับพิราบขาวสื่อสารสองตัวที่มาจากเจ้าอ้วนชนะฟ้าและอินปู้คุย พวกเขาอธิบายจากมุมมองที่ต่างกัน ตามต้นฉบับเดิมจิวหมัวจื้อค่อนข้างเก่งกาจ คาดว่าคงด้อยกว่าห้ายอดฝีมือแห่งยุคอยู่ไม่เท่าไร ถึงขั้นเก่งกว่าด้วย!
แต่เพราะตามต้นฉบับเดิม เขากับห้ายอดฝีมือแห่งยุคไม่ได้ปรากฏอยู่ในฉากเดียวกัน ดังนั้นหากจะตัดสินความแข็งแกร่งของฝีมือโดยละเอียด ก็ต้องดูว่านักออกแบบเกมจะกำหนดอย่างไร
เยี่ยเว่ยหมิงรวบรวมข้อมูลที่ทั้งสองคนให้มา แล้วสุดท้ายก็สรุปออกมา
ปฏิบัติกับจิวหมัวจื้อเหมือนเป็นหนึ่งในห้ายอดฝีมือแห่งยุคก็ถูกแล้ว!
มารดาเจ้าเถอะ!
วางกับดักพ่อชัดๆ!
ตอนนี้เลเวลโดยเฉลี่ยของผู้เล่นอยู่ที่ประมาณสี่สิบ แต่ตอนนี้ระบบกลับส่งศัตรูระดับห้ายอดฝีมือแห่งยุคมาให้พวกเจ้า แบบนี้ทำเกินไปหน่อยหรือเปล่า
แต่เพื่อ ‘มังกรผยองได้สำนึก’ ต่อให้เป็นภารกิจที่เหมือนกับดักขนาดไหน เขาก็ต้องทำให้สำเร็จให้ได้อยู่ดี
อย่างไรเสีย ที่ว่างในคอลัมน์สกิลของเขาตอนนี้ก็ไม่พอให้ใช้งานจริงๆ!
หลังจากทั้งสามนั่งลง เยี่ยเว่ยหมิงก็หาก้อนหินที่ค่อนข้างเรียบแถวๆ นั้นมาวางตรงหน้าตัวเองทันที
จากนั้นก็นำกระดาษที่พกติดตัวขึ้นมาปูบนนั้น
เขานำหินก้อนเล็กมาวางทับมุมทั้งสี่ของกระดาษ ป้องกันไม่ให้ลมพัดปลิวไป
สุดท้ายก็นำหมึกและพู่กันขึ้นมา ฝนหมึกจุ่มพู่กัน แล้วเขียนตัวอักษรตัวใหญ่สามคำกลางกระดาษว่า ‘จิวหมัวจื้อ’ จากนั้นวาดวงกลมหนึ่งวงรอบชื่อนี้ ล้อมชื่อของหลวงจีนรูปนี้ไว้
เมื่อเห็นการกระทำแปลกๆ ของเยี่ยเว่ยหมิง เซียนสาวน้อยนักกินก็อดก้าวขึ้นมามองด้วยความอยากกรู้อยากเห็นไม่ได้ นางถามอย่างแปลกใจว่า “สหายเยี่ย นี่เจ้ากำลังทำอะไร วาดวงกลมสาปแช่งเขาหรือ”
ลมกลางคืนหนาวเย็น ตอนนี้เซียนสาวน้อยนักกินยืนอยู่ตรงตำแหน่งที่ลมพัดพอดี ชุดสีแดงตัวโคร่งใหญ่ของนางช่วยบังลมหนาวให้เยี่ยเว่ยหมิงแล้วไม่น้อย
เขารู้สึกว่าสภาพแวดล้อมโดยรอบอบอุ่นขึ้นเล็กน้อย เยี่ยเว่ยหมิงยิ้มบางๆ “ถ้าคำสาปแช่งมีประโยชน์ อย่างน้อยข้าก็จะวาดเป้ารอบๆ ชื่อนี้ให้คำสาปแช่งได้ผลแรงขึ้นสักหน่อย”
เซียนสาวน้อยนักกินย่อมรู้อยู่แล้วว่าเยี่ยเว่ยหมิงไม่ได้เล่นเกม ‘วาดวงกลมสาปแช่ง’ จริงๆ จึงซักไซ้ว่า “เช่นนั้นเจ้ากำลังจะทำอะไรกันแน่”
“วิเคราะห์แรงจูงใจ วิธีการและจุดอ่อนของจิวหมัวจื้อจากข้อมูลที่ข้ารู้มา” เขาหันไปมองสาวน้อยช่างสงสัยข้างกายตัวเองแวบหนึ่งแล้วบอกว่า “ว่ากันว่าสองหัวดีกว่าหัวเดียว หากเจ้าสนใจ ช่วยวิเคราะห์ไปพร้อมกับข้าก็ได้ สหายขุนเขาลำธารก็เช่นกัน ทุกคนมาปรึกษาแผนรับมือด้วยกันสักหน่อย จะได้ป้องกันการตกหล่นที่ข้าวิเคราะห์คนเดียว”
ที่จริงแล้ว ขุนเขาลำธารย่อมพานพบก็สงสัยการกระทำที่เหมือนปั่นหัวเล่นของเยี่ยเว่ยหมิงนานแล้วเช่นกัน แต่ติดที่ต้องรักษาหน้าตา เขาจึงสำรวมอยู่ตลอด ไม่ได้เข้าไปถามตรงๆ เหมือนเซียนสาวน้อยนักกิน
ตอนนี้พอได้ยินเยี่ยเว่ยหมิงเป็นฝ่ายเชิญก่อน เขาจึงไม่เงียบแล้วเช่นกัน ลุกขึ้นมานั่งขัดสมาธิตรงหน้าเยี่ยเว่ยหมิงทันที เซียนสาวน้อยนักกินเลียนแบบเขา นั่งลงตรงอีกฝั่งของก้อนหิน นั่งเป็นสามมุมกับผู้เล่นชายอีกสองคนเหมือนกระถางธูปสามขา เตรียมจะนั่งฟังเงียบๆ ว่าเยี่ยเว่ยหมิงจะวิเคราะห์อย่างไร
ตอนนี้เห็นเขาเขียนคำว่า ‘แรงจูงใจ’ ที่ด้านล่างของกระดาษ แล้วถามว่า “เจ้าคิดว่าเหตุผลอะไรที่ดึงดูดให้ยอดฝีมืออย่างจิวหมัวจื้อยอมลดฐานะมายุ่งเรื่องที่หุบเขาว่านเจี๋ย”
“แรงจูงใจ?” เซียนสาวน้อยนักกินได้ยินแล้วตอบอย่างสมเหตุสมผล “หรือว่าโดนเชิญร่ำสุราหลอก”
จู่ๆ เยี่ยเว่ยหมิงก็นึกเสียใจทีหลังที่ชวนนางมาร่วมวิเคราะห์ด้วยกัน แต่กลับตอบแบบให้เรื่องพ้นๆ ตัวไป “ที่เจ้าพูดมีเหตุผลมาก ไม่น่าเชื่อว่าข้าจะพูดไม่ออก”
ยังดีที่ตอนนี้ขุนเขาลำธารย่อมพานพบยังเอ่ยทันว่า “NPC ระดับสูงไม่ได้ปัญญาอ่อน พวกเขามีบทบาทและกฎการทำงานของตัวเอง อย่ามองพวกเขาเป็น NPC เฉยๆ บางทีวิเคราะห์พวกเขาเหมือนวิเคราะห์คนธรรดาคนหนึ่งยังไม่พอเลย ถ้าเชิญร่ำสุราไม่มีของที่ล่อใจเขามากพอ มีหรือที่จะหลอกเขามาแทรกแซงเรื่องนี้ที่หุบเขาว่านเจี๋ยได้”
พอพูดถึงตรงนี้ ขุนเขาลำธารย่อมพานพบกชะงักเล็กน้อย จากนั้นส่ายหน้าอย่างจนใจ “แต่ของที่มีแรงดึงดูดมากขนาดนั้นคืออะไรกันแน่ ข้ากลับคิดไม่ออก”
“ข้าเองก็คิดไม่ออกเหมือนกัน” เยี่ยเว่ยหมิงตอบหงอยๆ แล้วเปลี่ยนประเด็นสนทนา “ในเมื่อพวกเราคิดไม่ออกว่าจุดประสงค์ของเขาคืออะไร เช่นนั้นพวกเราก็วางคำถามนี้ไว้ก่อน บางทีหลังจากรู้จุดประสงค์ของคนที่เหลือแล้ว อาจจะคลำเครือไปหาแตงจนเจอจุดประสงค์ของจิวหมัวจื้อก็ได้”
ขณะที่พูด เยี่ยเว่ยหมิงก็วาดวงกลมรอบ ‘จิวหมัวจื้อ’ อีก แล้วเขียนชื่อสี่ชื่อ ได้แก่ เชิญร่ำสุรา ข้ากำลังหาของ เมฆเคลื่อนเดียวดาย ต้วนอาทิตย์อัสดงไร้ซุ่มเสียง
จากนั้นก็ถามทั้งสองว่า “แล้วจุดประสงค์ของพวกเขาคืออะไร”
“ต้องวิเคราะห์แรงจูงใจของผู้เล่นให้เยอะๆ หน่อยแล้ว” หลังจากเห็นสี่ชื่อนี้ ขุนเขาลำธารย่อมพานพบก็มองที่ชื่อ ‘ต้วนอาทิตย์อัสดงไร้ซุ่มเสียง’ เงียบๆ สองวินาที เขาปลุกใจให้ฮึกเหิมแล้วบอกว่า “ในฐานะผู้เล่นคนหนึ่ง วางแผนรอบคอบได้ขนาดนี้ จุดประสงค์ไม่ใช่อย่างอื่นนอกจากสามอย่างนี้ รางวัลภารกิจ ไอเทมดรอปจาก BOSS หรือไม่ก็ผลตอบแทนมหาศาลอย่างอื่นที่เขาซ่อนไว้ ยกตัวอย่างเช่นตำรับวิชาศักดิ์สิทธิ์หรือไม่ก็อุปกรณ์ดีๆ”
ครั้งนี้ไม่ต้องให้เยี่ยเว่ยหมิงเตือน เซียนสาวน้อยนักกินที่อยู่ข้างๆ ก็พูดต่อทันที “รางวัลภารกิจไม่น่าจะเป็นไปได้ ในบรรดาพวกเขาสี่คน นอกจากเชิญร่ำสุราแล้ว คนอื่นๆ ก็ไม่มีใครได้รางวัลภารกิจอีก ต่อให้เป็นภารกิจของทีม แต่อย่างน้อยอาทิตย์อัสดงก็ไม่เกี่ยวข้องใดๆ กับภารกิจทางฝั่งหุบเขาว่านเจี๋ยแน่นอน”
ขณะที่พวกเขากำลังคุยกัน เยี่ยเว่ยหมิงก็เขียนความเป็นไปได้สามข้อที่ขุนเขาลำธารย่อมพานพบเอ่ยถึงลงบนกระดาษหมดแล้ว จากนั้นก็ใส่เครื่องหมาย ‘×’ ด้านล่างคำว่า ‘รางวัลภารกิจ’ สื่อว่าตัดความเป็นไปได้ข้อนี้ออก
เขามองอีกสองข้อที่เหลือพลางกล่าวเสียงต่ำ “ไอเทมดรอปมีความเป็นไปได้สูง ถ้าจุดประสงค์ของพวกเขาคือกำจัดต้วนเจิ้งหมิงกับต้วนเจิ้งฉุน ถึงขั้นรวมต้วนเหยียนชิ่งด้วย ก็มีความเป็นไปได้สูงว่าจะดรอปตำราลับ ‘ดรรชนีเอกสุริยัน’ สามเล่ม อุปกรณ์ระดับของล้ำค่าก็ไม่ขาดเช่นกัน บวกกับค่าประสบการณ์และค่าตบะที่ได้หลังจากฆ่า BOSS อีก สอดคล้องกับผลประโยชน์ที่พวกผู้เล่นต้องการมาก…
“แต่ไม่สอดคล้องกับผลประโยชน์ของอาทิตย์อัสดงกับจิวหมัวจื้อ” ขุนเขาลำธารย่อมพานพบโต้แย้ง “จิวหมัวจื้อนั่นไม่ต้องพูดถึงแล้ว ไอเทมดรอปของ BOSS ไม่เกี่ยวกับ NPC ส่วนอาทิตย์อัสดงนั่นก็คงไม่คิดจะทรยศสำนักเช่นกัน ดังนั้นต่อให้จะสู้กับต้วนเจิ้งหมิงและต้วนเจิ้งฉุน แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะลงมือ พอเป็นแบบนี้ก็ไม่เพียงแค่ไม่มีค่าประสบการณ์กับค่าตบะ แม้แต่จะแบ่งไอเทมดรอปก็ยังต้องดูสีหน้าพวกเชิญร่ำสุราก่อนเลย…
…สิ่งที่เรียกว่าผลประโยชน์ น่าจะไม่เพียงพอที่จะทำให้เขายอมทรยศสำนัก ล่วงเกินสหาย ละทิ้งภารกิจ…
…เช่นนั้น ก็เหลือเพียงความเป็นไปได้สุดท้ายแล้ว” เยี่ยเว่ยหมิงเเขียนเครื่องหมาย ‘?’ ใต้คำว่า ‘ไอเทมดรอป’ สื่อว่าไม่ตัดความเป็นไปได้นี้ออก ถึงอย่างไรก็อาจจะเป็นแรงจูงใจของผู้เล่นอีกสามคนก็ได้
พอวิเคราะห์ถึงตรงนี้ พวกเขาก็เรียบเรียงข้อมูลที่มีอยู่ในมือได้พอสมควรแล้ว สุดท้ายเยี่ยเว่ยหมิงวงกลมรอบคำว่า ‘ผลประโยชน์มหาศาลที่ซ่อนอยู่’ จากนั้นบอกว่า “ตอนนี้เหลือแค่ข้อนี้ที่มีความเป็นไปได้มากที่สุด ซึ่งของที่ทำให้จิวหมัวจื้อใจเต้นกับภารกิจแบบนี้ได้ อย่างน้อยก็ต้องเป็นสุดยอดวิชา”
พอได้ยินคำว่าสุดยอดวิชา เซียนสาวน้อยนักกินก็กล่าวอย่างฮึกเหิมทันที “‘วิชาปรานภูตอุดร’ กับ ‘ท่าเท้าท่องคลื่น’ ไง!”
“เป็นไปไม่ได้” เยี่ยเว่ยหมิงส่ายหน้าอย่างมั่นใจมาก “คนที่มีสุดยอดวิชาอยู่กับตัวอย่างต้วนอวี้ แต่ก็ยังเป็นตัวเอกที่ยังไม่เติบโต เป็นตัวละครที่ระบบเน้นปกป้องไว้แน่นอน ในเวลาแบบนี้ เขาไม่ปรากฏตัวในฐานะ BOSS ร่างแท้โหมดปกติแน่ ยังไม่ต้องพูดถึงว่าการสังหารเขายากขนาดไหน ต่อให้ทำสำเร็จจริงๆ แต่ก็ดรอปได้ของไม่ดีแน่นอน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสุดยอดวิชาแล้ว”
หลังจากชะงักไปครู่เดียว เขาก็กล่าวเสริมว่า “ถ้าอยากกจะได้สองสุดยอดวิชานั้น แม้จะมีความเป็นไปได้ แต่กลับต้องเดินตามแนวทางของต้วนอวี้อย่างแน่วแน่ ใช้วิธีทำภารกิจเพื่อรับตำราลับจากมือเขา แต่วิธีการของพวกเชิญร่ำสุรา กลับวิ่งสวนกับแนวทางแรกอย่างชัดเจน…
…ดังนั้น จุดประสงค์ของพวกเขาไม่ใช่ ‘วิชาปรานภูตอุดร’ กับ ‘ท่าเท้าท่องคลื่น’ แน่นอน”
พอได้ยินดังนั้น ขุนเขาลำธารย่อมพานพบก็ยิ้มเจื่อน “ถ้าไม่ใช่ ‘วิชาปรานภูตอุดร’ หรือ ‘ท่าเท้าท่องคลื่น’ เช่นนั้นก็คงเป็นสิ่งที่พวกเราไม่รู้จริงๆ แล้วจะวิเคราะห์อย่างไรดี”
ตอนนี้เอง บนฟ้าก็มีพิราบขาวอีกตัวโผล่มาอีก จากนั้นก็บินเข้ามาในอ้อมอกของเยี่ยเว่ยหมิง
หลังจากเปิดหน้าข้อความ ก็เห็นรูปโปรไฟล์ของอินปู้คุยเด้งไม่หยุดพอดี
เมื่อเปิดอ่าน ในที่สุดเขาก็ยกมุมปากเผยรอยยิ้มที่พึงพอใจแล้ว
[‘กลยุทธ์เนื้อเรื่องทั้งหมดของแปดเทพอสูรมังกรฟ้า’ หึหึ สหาย นี่เป็นตำราลับเฉพาะ หลังจากข้าเขียนมันออกมาแล้วก็ส่งให้เจ้าคนเดียวนะ ตอนนี้ทางฝั่งสหายหลิวอวิ๋นยังไม่มี ถ้าเจ้าอยากจะบอกเนื้อหาบางอย่างในกลยุทธ์ ก็บอกว่าเจ้าขอมาจากข้านะ อย่าบอกว่าข้าเป็นฝ่ายให้เจ้าเอง เอาตามนี้]…อินปู้คุย
เจ้าหมอนี่ เมื่อรู้ว่าเขาต้องการด่วน ไม่น่าเชื่อว่าจะเขียนเนื้อเเรื่อง ‘แปดเทพอสูรมังกรฟ้า’ อยู่ทั้งคืน!
เยี่ยเว่ยหมิงกระปรี้กระเปร่าทันที รีบตอบกลับข้อความแสดงความขอบคุณต่อเขา จากนั้นเปิดอ่านเนื้อหาโดยละเอียดอย่างอดใจรอไม่ไหว
ในเมื่อเป็นกลยุทธ์ แน่นอนว่าต้องบรรยายเนื้อเรื่องคร่าวๆ ไว้ด้วย เป็นไปไม่ได้ที่จะพุ่งประเด็นไปที่กระบวนท่าหรือทักษะยุทธ์ เยี่ยเว่ยหมิงทำได้เพียงใช้เวลาประมาณสิบนาทีเพื่ออ่านให้จบ
เขาที่เดิมทีพลิกอ่านกลยุทธ์ฉบับนี้ด้วยความสงสัย ไม่นานก็เจอสิ่งที่ตามหาแล้ว
หลังจากนั้นพักหนึ่ง เยี่ยเว่ยหมิงก็หยิบพู่กันขึ้นมาอีกครั้งท่ามกลางความสนใจของสหายทั้งสอง เขาวาดวงใหญ่ๆ วงหนึ่งตรงล่างสุดของกระดาษ จากนั้นเขียนห้ารายชื่อเหมือนก่อนหน้านี้ แล้ววาดเส้นยาวๆ ที่มีลูกศรไว้ตรงแต่ละรายชื่อ ชี้ลูกศรไปทางวงกลมที่เขาเพิ่งวาดออกมา
สุดท้าย เยี่ยเว่ยหมิงก็สูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง แล้วเขียนกลางวงกลมไว้สี่คำ…
ดรรชนีกระบี่หกชีพจร!