ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ - ตอนที่ 478 เรือของเจ้าราคาเท่าไร ข้าจะชดใช้ให้!
ตอนที่ 478 เรือของเจ้าราคาเท่าไร ข้าจะชดใช้ให้!
กลัว?
ข้ากลัวเจ้ากับผีน่ะสิ!
ล้อเล่นอะไรกัน ผู้เล่นที่ฟื้นชีพได้ไม่จำกัดอย่างข้าจะกลัวอย่างนั้นหรือ
ต่อให้ถูกจิวหมัวจื้อเผาตรงหน้าหลุมศพมู่หรงปั๋วจริงๆ ก็เสียแค่ค่าค่าประสบการณ์ ค่าตบะ แล้วส่วนหนึ่งของสุดยอดวิชาอย่าง ‘กระบี่จงชง’ ถูกล้างทิ้งก็เท่านั้นเอง
ที่จริงสำหรับเยี่ยเว่ยหมิงแล้ว แม้ ‘ดรรชนีกระบี่หกชีพจร’ จะดีมาก แต่ไม่ใช่ของจำเป็นที่ขาดไม่ได้สำหรับเขาแน่นอน
อย่างไรเสีย ตอนนี้เยี่ยเว่ยหมิงก็ไม่ได้ขาดแคลนวิธีการโจมตีอันทรงพลัง
ไม่ว่าจะเป็น ‘สิบแปดฝ่ามือพิชิตมังกร’ หรือ ‘กระบี่เก้าสะท้านฟ้า’ ก็ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของสุดยอดวิชาที่มีอานุภาพน่าตกตะลึงทั้งนั้น
สองสุดยอดวิชานี้แม้จะเทียบกับ ‘ดรรชนีกระบี่หกชีพจร’ ที่มีพลังทำลายล้างมหาศาลไม่ติด แต่ก็มีข้อดีที่พลังป้องกัน อีกทั้งเยี่ยเว่ยหมิงก็มีวิธีการและช่องทางที่จะเรียนรู้มันได้ทั้งหมดด้วย
ไม่เหมือน ‘ดรรชนีกระบี่หกชีพจร’ ตั้งแต่ถือกำเนิดขึ้นมาก็กระจัดกระจายอยู่ทั่วทุกที่ หลายส่วนยังอยู่ในมือของผู้เล่นที่แตกต่างกันแล้วด้วย
ถ้าอยากจะรวบรวมก็ยากกว่าปีนขึ้นฟ้าเสียอีก!
หลังจากนี้ถ้าไม่มีโอกาสพิเศษ ก็มีความเป็นไปได้แปดส่วนว่ามันจะเป็นเพียง ‘กระบี่จงชง’ เท่านั้น
ตอนนี้ อาปี้แจวเรือเข้ามาเพราะจิวหมัวจื้อเรียกแล้ว
จิวหมัวจื้อเห็นแล้วดีใจ รีบก้าวขึ้นไปข้างหน้าและเริ่มตีสนิทกับอีกฝ่าย พอเอ่ยปากก็เรียกว่า ‘แม่นางน้อย’ ทันที ปากหวานเหมือนชามะลิน้ำผึ้ง ยังดีที่ตอนนี้เยี่ยเว่ยหมิงกำลังคิดหาแผนรับมือโดยดูกลยุทธ์ตามต้นฉบับเดิมของอินปู้คุย จึงไม่มีเวลาไปพูดแขวะเขา
หลังจากพูดคุยกันประเดี๋ยวเดียว อาปี้ก็ยอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่าตัวเองคือสาวใช้ในจวนของมู่หรงฟู่ พร้อมตอบรับที่จะพาทั้งสองไปที่หมู่บ้านชานเหอ
หลังจากจิวหมัวจื้อขอบคุณอีกฝ่ายอย่างมีมารยาทแล้ว ก็คว้าบ่าเยี่ยเว่ยหมิงกระโดดขึ้นเรือเหมือนหิ้วไก่
หลังจากทั้งสองเท้าเหยียบพื้นแล้ว เรือน้อยนั่นก็จมลงเล็กน้อย แต่กลับไม่สั่นคลอนเลยสักนิด
เยี่ยเว่ยหมิงเห็นดังนั้นก็อดขมวดคิ้วไม่ได้
ในกลยุทธ์ที่อินปู้คุยให้เขาเขียนไว้ชัดเจนแล้วว่าจิวหมัวจื้อกลัวน้ำ นอกจากจะว่ายน้ำไม่เป็นแล้ว แม้แต่เรือก็ไม่พายด้วย อาจเป็นเพราะเขามีพื้นเพมาจากถู่ปัว ไม่ค่อยได้พบเจอแม่น้ำ
เป็นเพราะจุดนี้ด้วยเช่นกัน สองวันหนึ่งคืนที่จิวหมัวจื้อจับตัวเขาจากต้าหลี่มาซูโจว เยี่ยเว่ยหมิงจึงไม่ได้บุ่มบ่ามทดลองหลบหนี เพราะเขารอการสัญจรททางน้ำในช่วงต่อไป
แต่ดูจากการแสดงออกของจิวหมัวจื้อตอนอยู่บนเรือ แม้เขาจะว่ายน้ำไม่เป็น แต่ตราบใดที่ตัวยังอยู่บนเรือ ก็ยังทำตัวสุขุมใจเย็นได้
ประกอบกับนิสัยของนักออกแบบเกม เยี่ยเว่ยหมิงแทบจะตัดสินได้เลยว่า ถ้าอยากจะหนีพ้นเงื้อมมือของจิวหมัวจื้อ คงไม่ได้ง่ายอาศัยเรื่องที่จิวหมัวจื้อว่ายน้ำไม่เป็นเท่านั้น ไม่อย่างนั้นก็มีแต่ตัวเองที่จะลำบาก
ขณะที่กำลังครุ่นคิด กลับเห็นอาปี้ใช้ไม้พายยันเรือออกจากฝั่งไปแล้ว จึงเริ่มเข้าสู่ช่วงท้าทายจิวหมัวจื้อประจำวัน “พระอย่างท่านช่างไร้เหตุผล แม่นางอาปี้รับปากว่าจะพาพวกเราสองคนไปหมู่บ้านชานเหอ แต่ท่านกลับนั่งบนเรืออย่างสบายใจ ปล่อยให้สตรีอย่างนางมาพายเรือ ข้าไม่ได้บอกให้ท่านไปช่วยหรอก แต่ท่านก็ทำตัวสมกับเป็นคนต่างแดน ไม่เข้าใจมารยาทเลยสักนิด!”
ตลอดทางที่ทั้งสองเดินทางจากต้าหลี่มาถึงซูโจว ใช้เวลาไปแล้วสามวัน ในระหว่างนั้นขอเพียงคลายจุดตรงปากให้เขา เขาก็จะสรรหาวิธีการมาพูดจาทำร้ายพระรูปนี้ คิดเสียว่าเป็นการฆ่าเวลาแก้เบื่อ
จิวหมัวจื้อถูกถูกพูดจาทำร้ายจิตใจไปเยอะขนาดนั้น จึงมองเป็นเรื่องปกติแล้ว เมื่อได้ยินแล้วกลับไม่เหลือบหนังตาขึ้นสักนิด เพียงพูดแขวะกลับด้วยความเคยชิน “เจ้าเด็กนี่รู้จักถนอมสาวงาม เช่นนั้นเจ้าก็ไปช่วยนางพายเรือสิ”
“ไปก็ไป” เยี่ยเว่ยหมิงตอบอย่างคล่องปาก “ท่านคลายจุดให้ข้าก่อนสิ แล้วข้าจะไปช่วย”
จิวหมัวจื้อได้ยินแล้วอดขมวดคิ้วไม่ได้ แต่ตอนนี้อาปี้มองมาที่เขากับเยี่ยเว่ยหมิงด้วยสายตาสงสัยใคร่รู้แล้ว หลังจากลังเลนิดหน่อย เขาก็ดีดลมดรรชนีออกมาสายหนึ่ง คลายจุดบางจุดให้เยี่ยเว่ยหมิงแล้ว
เยี่ยเว่ยหมิงตัวสั่นทันที รู้สึกได้ว่าร่างกายที่ถูกตรึงไว้ก่อนหน้านี้กลับมาเป็นอิสระแล้ว เพียงแต่ยังโคจรกำลังภายในไม่ได้
เยี่ยเว่ยหมิงรู้ว่านี่คือเส้นตายของจิวหมัวจื้อแล้ว จึงมองอีกฝ่ายด้วยสายตาเหยียดหยามแวบหนึ่งแล้วออกแรงที่เท้า ร่างกระโดดสูงขึ้นมาประมาณหนึ่งฉื่อ ตอนที่ตกกลับลงมาบนเรืออีกครั้ง เรือก็โคลงเล็กน้อย
ซึ่งเมื่อจิวหมัวจื้อเห็นเขาเป็นอย่างนี้ ก็ย่อตัวให้ต่ำลงโดยจิตใต้สำนึก ใช้สองมือจับขอบเรือสองข้างไว้แน่น ตอนนี้ถึงได้เงยหน้าขึ้นมามองเยี่ยเว่ยหมิงอย่างเดือดดาล “เจ้าเด็ดเปรต นี่เจ้ากำลังเล่นลูกไม้อะไร”
พระรูปนี้กลัวน้ำอย่างนี้คาดไว้!
เมื่อเห็นปฏิกิริยาของจิวหมัวจื้อ เยี่ยเว่ยหมิงก็เข้าใจหมดแล้ว ตอบกลับเรื่อยเปื่อยว่า “ข้าถูกสกัดจุดชีพจรมาก่อน ร่างกายยังค่อนข้างเชื่องช้า จะยืดเส้นยืดสายสักหน่อยไม่ได้หรือ”
พอเย่ยเว่ยหมิงพูดจบก็ไม่สนใจจิวหมัวจื้อที่กำลังเผยสีหน้าระแวดระวังอีก เอาแต่เดินไปทางหัวเรือ แล้วกุมหมัดคารวะอาปี้ “แม่นางอาปี้เชิญพักผ่อนสักครู่ก่อน งานใช้แรงอย่างการพายเรือ ส่งต่อให้ข้าเถอะ ท่านแค่คอยบอกทางอยู่ข้างๆ ก็พอ”
อาปี้ได้ยินแล้วในดวงตาอมยิ้มเล็กน้อย แต่ปากกลับบอกว่า “คุณชายเยี่ยไม่เพียงแค่สง่ามีเมตตา จิตใจลึกๆ ยังงดงามมากด้วย เพียงแต่บ่าวเป็นสาวใช้ข้างกายคุณชาย ทำงานหยาบพวกนี้จนชินแล้ว ไม่ใช่เรื่องใหญ่เจ้าค่ะ”
เยี่ยเว่ยหมิงได้ยินแล้วกลับทำสีหน้าขื่นขม “ที่จริงข้าก็ไม่ได้ทำเพื่อจะช่วยเหลืออย่างเดียวหรอก เจ้าเองก็เห็นแล้ว ก่อนหน้านี้ข้าถูกพระนั่นจี้สกัดจุด หากเจ้าไม่ให้ข้าช่วย เขาก็จะจี้สกัดจุดข้าอีก ถ้าเทียบกับความรู้สึกที่ขยับมือไม่ได้ ให้ข้าไปพายเรือยังจะผ่อนคลายกว่าเสียอีก
อาปี้เพิ่งจะพยักหน้า แต่กลับส่งไม้พายให้เยี่ยเว่ยหมิงเพียงเล่มเดียว “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ คุณชายเยี่ยก็พายร่วมกับข้าก็แล้วกัน ข้าเป็นสาวใช้ ไม่คุ้นชินเวลามีคนอื่นมาพายเรือให้ข้านั่งเลยจริงๆ”
เยี่ยเว่ยหมิงยังอยากจะโน้มน้าวอีก แต่อาปี้กลับดึงดันมาก สุดท้ายก็เป็นอย่างที่อาปี้บอก ทั้งสองพายเรือด้วยกัน
ที่จริงแล้ว แม้จิวหมัวจื้อจะว่ายน้ำไม่เป็น แต่เยี่ยเว่ยหมิงก็ไม่ใช่ฟองขาวในเกลียวคลื่นที่เติบโตอยู่ริมแม่น้ำ เรือแบบนี้ก็เคยพายในสวนสาธารณะหรือไม่ก็สวนสนุกริมแม่น้ำไม่กี่ครั้งเท่านั้น พายได้ไม่คล่องมือเลย แต่ยังดีที่มีมืออาชีพอย่างอาปี้คอยชี้แนะอยู่ข้างๆ จากเดิมทีที่ไม่คุ้นเคย ตอนนี้จึงเริ่มชำนาญขึ้นอย่างรวดเร็ว ถือไม่พายคนละเล่มกับอาปี้ ถือว่าให้ความร่วมมือกันอย่างดีเช่นกัน
เมื่อเห็นฉากที่เยี่ยเว่ยหมิงกับอาปี้พูดคุยเคล้าเสียงหัวเราะกัน ชายโสดที่อยู่ข้างๆ อย่างจิวหมัวจื้อก็ไม่สบอารมณ์เท่าไรนัก
แต่ตอนนี้เขายังต้องอาศัยอาปี้พายเรือนำทาง คงไม่ดีถ้าระเบิดอารมณ์ ทำได้เพียงหลับตาสวดมนต์ ตาไม่เห็นใจก็ไม่รำคาญ
ตอนนี้เอง จู่ๆ เยี่ยเว่ยหมิงที่นั่งอยู่ตรงหัวเรือก็ถามอาปี้ว่า “แม่นางอาปี้ เรือลำน้อยนี้ของเจ้า ถ้าจะซื้อที่ตลาดอีกสักลำ ต้องใช้เงินประมาณเท่าไร”
“คุณชายเยี่ยก็อยากซื้อเรือเหมือนกันหรือเจ้าคะ” อาปี้สงสัยเล็กน้อย แต่ก็ยังตอบตามความจริง “หากผู้เล่นอย่างพวกท่านต้องการซื้อ ราคาก็ประมาณหนึ่งร้อยเหรียญทองกระมัง อย่างไรเสียแม้เรือลำนี้จะดูธรรมดา แต่ตระกูลมู่หรงก็จ้างช่างฝีมือดีมาทำ ความเร็วเหนือกว่าเรือทั่วไปประมาณสิบส่วน”
เยี่ยเว่ยหมิงได้ยินแล้วพยักหน้า “หนึ่งร้อยเหรียญทองหรือ จะว่าแพงก็แพง แต่ก็อยู่ในขอบเขตที่ข้ารับได้ เดี๋ยวกลับไปข้าชดเชยให้เจ้าสองเท่า”
อาปี้ได้ยินแล้วงง ไม่รู้ว่าเยี่ยเว่ยหมิงพูดแบบนี้หมายความว่าอย่างไร
ทว่าวินาทีต่อมา นางกลับรู้สึกได้ว่ามีพลังปราณอันแข็งแกร่งกลุ่มหนึ่งปะทุออกมาจากตัวเยี่ยเว่ยหมิง