ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ - ตอนที่ 485-2 เรือนหอมริมน้ำ
ตอนที่ 485 เรือนหอมริมน้ำ
ตอนที่จัดการตำราลับตระหนักรู้เจ็ดเล่มที่เหลืออยู่ เล่มแรกที่เยี่ยเว่ยหมิงหยิบออกมาก็คือ ‘ตระหนักรู้เคล็ดกระบี่’ ที่ได้จากต้วนเจิ้งฉุน
แม้ตอนนี้เยี่ยเว่ยหมิงเลเวลสี่สิบเก้า อยู่ห่างจากเลเวลห้าสิบอีกเพียงก้าวเดียว แต่เขาก็ไม่ได้เลือกเก็บ ‘ตระหนักรู้เคล็ดกระบี่’ นี้ไว้ใช้กับ ‘กระบี่เก้าสะท้านฟ้า’ แต่เพิ่มมันไปที่หลุมดำที่ถมให้เต็มลำบากอย่าง ‘เคล็ดกระบี่ฉวนเจิน’ โดยตรง
แม้ยังอีกยาวไกลกว่าจะเพิ่มเลเวลของวิชาหลุมดำนี้ให้ถึงระดับสมบูรณ์ แต่เยี่ยเว่ยหมิงก็เชื่อว่าเมื่อเพิ่มเลเวลของมันให้ถึงระดับสมบูรณ์อย่างแท้จริงแล้ว เคล็ดกระบี่นี้จะต้องสร้างความประหลาดใจให้เขาอย่างยิ่งใหญ่แน่นอน
หลังจากเคล็ดกระบี่ก็เป็นเคล็ดฝ่ามือ
เยี่ยเว่ยหมิงใช้ ‘ตระหนักรู้วิชาหมัดฝ่ามือ’ ของทั้งสองคนจนหมด เพิ่มค่าตบะได้อีกสามแสนกว่าแต้ม สุดท้ายก็เพิ่มเลเวล ‘มังกรบินอยู่สวรรค์’ และ ‘มังกรผงาดกลางทุ่ง’ จนถึงระดับสมบูรณ์ ค่าสเตตัสเปลี่ยนเป็นดังนี้
[มังกรบินอยู่สวรรค์]
เลเวล: 10
ค่าประสบการณ์: …
โจมตี +700%
แม่นยำ +700%
กำลังภายในที่ใช้: 500 แต้ม
โจมที่จากที่สูง: ก่อนปล่อยฝ่ามือยิ่งทะยานร่างขึ้นสูงเท่าไร ประสิทธิภาพของเคล็ดฝ่ามือก็จะยิ่งแข็งแกร่งเท่านั้น
……
[มังกรผงาดกลางทุ่ง]
เลเวล: 10
ค่าประสบการณ์: …
ป้องกัน +1000%
โจมตี +200%
แม่นยำ +600%
กำลังภายในที่ใช้: 500 แต้ม
ไม่โลภใจย่อมแกร่ง: 30% ของค่าสเตตัสความแข็งแกร่ง จะกลายเป็นพลังป้องกันพื้นฐานที่มั่นคงให้พลังฝ่ามือ
……
ส่วนตำราลับตระหนักรู้สองเล่มสุดท้ายที่เหลือ เยี่ยเว่ยหมิงใช้วิธีการเรียนรู้ผ่านเรื่องทำนองเดียวกันทั้งหมดในคราเดียว
ใช้วิธีเรียนรู้ผ่านเรื่องทำนองเดียวกันเรียน ‘ตระหนักรู้วิชาดรรชนี’ ของต้วนเจิ้งฉุน แล้วเพิ่มค่าประสบการณ์ไปที่ ‘อรูปฌาณ’ ทำให้ค่าประสบการณ์ของวิชากำลังภายในนี้เพิ่มขึ้นเล็กน้อย
ใช้วิธีเรียนรู้ผ่านเรื่องทำนองเดียวกันเรียน ‘ตระหนักรู้อาวุธสั้น’ ของเสวียนเปย แลวเพิ่มไปบน ‘ไท้ซัวเป็นไฉน’ ทำให้สุดยอดวิชานี้เพิ่มขึ้นหนึ่งเลเวล!
[ไท้ซัวเป็นไฉน (สุดยอดวิชา)]
เลเวล: 8
ค่าประสบการณ์: 7020/200000
โจมตี +80%
แม่นยำ +80%
คริติคอลดาเมจ +80%
โจมตีถูกจุดสำคัญมีโอกาสปลิดชีพ 15%!
……
ตอนนี้ตำราลับตระหนักรู้ทั้งหมดถูกใช้หมดแล้ว
เยี่ยเว่ยหมิงถึงได้บิดขี้เกียจ หลังจากเลือกรายชื่อเพื่อนของตัวเองครู่หนึ่ง เขาก็ส่งลิงก์ไอเทมของ ‘บันทึกลับหลี่ว์กง’ เข้าไปในกลุ่ม
หลังจากผ่านไปครู่เดียว ก็ได้รับข้อความตอบกลับจำนวนหนึ่ง
[ข้าไม่สนใจสิ่งนี้ แต่ก็ยินดีด้วย]…เฟยอวี๋
[พี่ใหญ่เยี่ยสนใจทักษะงานช่างอีกแล้วหรือ ให้ข้าช่วยรวบรวมวัสดุหายากให้ไหม]…สะพานสวรรค์คริสตัล
[ถ้าเรียนสิ่งนี้แล้ว ก็จะเลี่ยงชะตากรรมโดนฝังไปพร้อม BOSS ได้ใช่ไหม]…ถังซานไฉ่
[อาหมิงเตรียมจะลงมือประดิษฐ์โลงศพด้วยตัวเอง! จะว่าไปแล้ว สินค้าของร้านขายโลงศพฉีหลิงเติมเติมความต้องการของเจ้าไม่ได้แล้วหรือ?]…ซานเย่ว์
……
เพื่อนๆ ตอบกลับข้อความกลับมามากมาย
ในจำนวนนั้นส่วนใหญ่พูดหยอกล้อ มีส่วนน้อยที่ยินดีด้วย แต่ทุกคนก็เหมือนไม่สนใจตำราลับเล่มนี้เท่าไรนัก
อย่างไรเสีย เจตนาที่เยี่ยเว่ยหมิงอยากส่งต่อตำราลับเล่มนี้ ก็แค่เพราะหวังว่าจะหาคนมาประดิษฐ์โลงศพชั้นดีแทนตัวเองก็เท่านั้น
รายละเอียดการดำเนินการก็คือ…เขาขายตำราลับให้คนอื่น ให้คนอื่นไปฝึก พอคนอื่นฝึกแล้ว เขาก็จ่ายเงินซื้อโลงศพสำเร็จรูปที่อีกฝ่ายประดิษฐ์กลับมา ทำแบบนี้ประหยัดแรงและเวลาของตนได้มาก
แต่พอมาดูตอนนี้แล้ว เหมือนคนอื่นจะไม่ได้มีความต้องการต่อตำราลับเล่มนี้สูงกว่าตน…
ถ้าโยนไปขายในร้านประมูลวั่นซาน ในภายหลังจะติดต่อสั่งซื้อโล่งศพกับผู้ขายอย่างไรก็เป็นปัญหาที่แก้ยากอีก
ถึงอย่างไร กติกาของการประมูลก็คือปิดบังความลับเรื่องตัวตนของผู้ซื้อและผู้ขาย
หรือไม่ก็เจรจาล่วงหน้าได้ อยู่ในสถานการณ์ที่ทั้งสองฝ่ายยินยอมก็น่าจะยืดหยุ่นได้?
……
[เจ้าส่งลิงก์ไอเทมของตำราเล่มนี้ให้ข้า เจ้าอยากจะขายหรืออยากจะอวดล่ะ]…โหยวโหยว
เมื่อเห็นข้อความตอบกลับของศิษย์พี่หญิงใหญ่สำนักถังเหมินที่ไม่ได้ติดต่อกันมานานแล้ว เยี่ยเว่ยหมิงก็ตาเป็นประกายทันที หากจะถามว่าในบรรดาสหายของตน ใครที่เหมาะสมกับตำราลับเล่มนี้ที่สุด ก็เป็นใครไปไม่ได้นอกจากสาวน้อยสตรีเหล็กคนนี้
คนที่มีพื้นเพเป็นทหารแบบนาง นอกจากปืนผาหน้าไม้แล้ว นางก็ยังใช้อุปกรณ์กลไกชนิดต่างๆ ในการเอาชีวิตรอดในป่าและสู้รบบนสนามจริงได้อย่างชำนาญด้วย ทำให้ความสามารถในการต่อสู้ของเธอเพิ่มขึ้นเยอะมาก
อาวุธพิเศษพวกนั้น แม้จะพบเห็นได้ยากในเกมที่มีฉากหลังเป็นนิยายแนวจอมยุทธ์คุณธรรม แต่ถ้าได้รู้ทักษะการสร้างเครื่องกลระดับสูง หลักการหลายอย่างในนั้นไม่ได้ซับซ้อนมาก ไม่แน่ว่าจะถูกนำกลับมาใช้ได้อีกครั้ง
ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อมีเลเวลของทักษะและวัสดุระดับสูงในเกมเพิ่มมา ประสิทธิภาพของมันก็อาจดีกว่าอุปกรณ์ในชีวิตจริงก็ได้!
ตำราลับเล่มนี้ถ้าตกอยู่ในมือโหยวโหยว ก็จะทำให้ทักษะบูรณาการของนางได้ก้าวขึ้นสู่ระดับใหม่จากพื้นฐานเดิมแน่นอน
เป็นอย่างที่คาดไว้ หลังจากเยี่ยเว่ยหมิงตอบกลับข้อความว่ายินดีขาย โหยวโหยวก็ถามราคาทันที
สำหรับราคาของประเภทนี้ เยี่ยเว่ยหมิงยังไม่เคยพิจารณาเลย ถ้าอิงตามสัญชาตญาณ เขาจะไม่คิดเงินก็ได้ ก็เหมือนกับกลยุทธ์ภารกิจที่มีราคาเท่ากัน เขาเองก็มอบให้หนิวจื้อชุนอย่างไรเงื่อนไขเช่นกัน
[รอให้ทักษะเลเวลของเจ้าเพิ่มขึ้นแล้ว ก็ช่วยทำโลงศพให้ข้ายี่สิบโลงโดยไม่คิดเงินก็แล้วกัน ข้าเป็นคนหาวัสดุ ส่วนเจ้าเป็นคนทำ]…เยี่ยเว่ยหมิง
[เจ้าให้ราคาต่ำเกินไปแล้ว ต่อให้เป็นราคาของมิตรภาพ แต่ก็ไม่ควรจะถูกขนาดนี้ เปลี่ยนสักหน่อยดีไหม โลงศพยี่สิบโลง ข้าเป็นคนออกวัสดุเอง เจ้าแค่บอกความต้องการมาก็พอแล้ว หรือไม่ก็เพิ่มจำนวนโลงศพเป็นห้าสิบโลงเลยก็ได้]…โหยวโหยว
โหยวโหยวคิดว่าราคาที่ตัวเองเสนอถือว่าสมเหตุสมผลแล้ว จะไปรู้ได้อย่างไรว่าเยี่ยเว่ยหมิงมีความต้องการต่อคุณภาพของโลงศพเกินกว่าปกติไปมากขนาดไหน
อีกทั้งเมื่อเลเวลเพิ่มขึ้น เลเวล BOSS ที่เขาเจอก็เพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน ความต้องการที่มีต่อโลงศพจึงเพิ่มสูงขึ้นไม่หยุดอย่างเป็นจังหวะและขั้นตอน
ดังนั้นหากอิงตามความต้องการของเยี่ยเว่ยหมิงจริงๆ ให้โหยวโหยวเป็นคนออกวัสดุและประดิษฐ์โลงศพแทนเขายี่สิบโลง ก็ถือเป็นการบีบให้ขูดเลือดขูดเนื้อตัวเองโดยไม่ได้อะไรตอบแทนแน่นอน!
ถึงแม้แต่ไหนแต่ไรมาเยี่ยเว่ยหมิงจะไม่ยอมเป็นใครเสียเปรียบใคร แต่เขาก็ทำเรื่องที่เอาเปรียบเพื่อนไม่ลงอยู่ดี
สุดท้ายเยี่ยเว่ยหมิงก็เลือกใช้วิธีการเจอกันคนละครึ่งทาง รอให้เลเวลทักษะของโหยวโหยวเพิ่มขึ้นแล้ว ก็ให้นางทำโลงศพให้เขาโดยไม่คิดเงินจำนวนห้าสิบโลง โดยที่เขาจะเป็นคนรับผิดชอบเรื่องวัสดุเอง
หากต้องการมากกว่านั้น ก็ต้องให้ค่าแรงนางจำนวนหนึ่งอยู่แล้ว อย่างไรเสีย หากนางใช้เวลานี้ไปตีมอนสเตอร์เพิ่มเลเวล ไม่แน่ว่าอาจจะฆ่า BOSS ได้หลายตัว
เขาส่งพิราบสื่อสารโดยแนบ ‘บันทึกลับหลี่ว์กง’ ไปให้โหยวโหยว จากนั้นก็ยืนขึ้นแล้วเดินมาที่หัวเรือ เริ่มพูดคุยตีสนิทกับหวังอวี่เยียนที่เพิ่งเปลี่ยนจากศัตรูกลายเป็นมิตร
อิงตามบันทึกกลยุทธ์ของอินปู้คุย แม้น้องสาวคนนี้จะไม่เป็นวรยุทธ์เลย แต่นางกลับรู้ถึงทักษะยุทธ์ของสำนักต่างๆ ในใต้หล้าเป็นอย่างดี
ซึ่งตอนที่อยู่หมู่บ้านชื่อสยาก่อนหน้านี้ เยี่ยเว่ยหมิงก็ได้เห็นความสามารถของอีกฝ่ายกับตาตัวเองแล้ว
เมื่อได้เจอผู้เชี่ยวชาญแล้ว มีหรือที่เขาจะปล่อยผ่าน
ถึงอย่างไรก็กำลังว่าง เยี่ยเว่ยหมิงไม่ถือสาที่จะฉวยโอกาสนี้คุยเรื่องนี้กับอีกฝ่ายสักหน่อย จะได้เพิ่มพูนความรู้ด้านวิทยายุทธ์ของตัวเอง
ทว่าตอนที่ยังไม่คุยก็ยังไม่รู้ พอได้คุยแล้วถึงพบว่า หวังอวี่เยียนไม่สนใจพูดคุยประเด็นเกี่ยวกับวิทยายุทธ์เลย
ส่วนประเด็นที่หวังอวี่เยียนสนใจ เยี่ยเว่ยหมิงกลับไม่สนใจเลยสักนิด
สาเหตุก็ไม่ใช่เพราะอะไร เพราะประเด็นสนทนาที่หวังอวี่เยียนสนใจก็คือมู่หรงฟู่!
เรื่องของคนคนนี้มีอะไรน่าคุย
ในสายตาของเยี่ยเว่ยหมิง หนุ่มน้อยหน้าขาวในใต้หล้านี้ นอกจากเขาแล้วก็ไม่มีใครดีสักคน
อะไรนะ คุณบอกว่าเขาไม่ใช่หนุ่มน้อยหน้าขาว?
ไท้ซัวเป็นไฉนแจ้งเตือน!
สายลมอ่อนพัดโชยสัมผัสใบหน้า เขานอนเงยหน้ามองฟ้าอยู่บนหัวเรือ ใช้มือซ้ายเป็นหมอนหนุนศีรษะ มองปุยเมฆบนท้องฟ้าเงียบๆ พร้อมเสพสุขกับเสียงเพลงที่ไพเราะของอาจูและอาปี้
เรือน้อยลอยอยู่ในน้ำครึ่งวัน พอเห็นสีของท้องฟ้าใกล้ค่ำ เหนือทะเลสาบมีหมอกหนา อาจูก็หันมาคุยกับหวังอวี่เยียน “แม่นาง ที่นี่ใกล้กับที่พักของบ่าว คืนนี้ท่านพักที่นี่ชั่วคราวก่อน แล้วค่อยปรึกษากันอีกทีเรื่องตามหาคุณชาย ดีไหมเจ้าคะ”
หวังอวี่เยียนตอบว่า “อืม ตามนั้นก็ได้” หลังจากผ่านบทสนทนาที่น่าอึดอัดก่อนหน้านี้มาแล้ว หวังอวี่เยียนก็เปลี่ยนเป็นพูดน้อยลงเรื่อยๆ
จากนั้นอาจูก็หันมาพูดกับเยี่ยเว่ยหมิงว่า “จอมยุทธ์น้อยเยี่ย แม้บ้านข้าจะสร้างอยู่ริมทะเลสาบ แต่ก็เชื่อมต่อกับถนนบนแผ่นดินข้างนอก เพียงแต่วันนี้ท้องฟ้าใกล้มืดแล้ว ข้าจึงขอเชิญให้จอมยุทธ์น้อยเยี่ยพักที่บ้านข้าสักคืน แล้วพรุ่งนี้ค่อยคิดอีกทีว่าจะอยู่หรือไป อย่างนี้ดีหรือไม่”
ที่จริงถ้าอิงตามความคิดของเยี่ยเว่ยหมิง หลังจากจบเรื่องนี้แล้ว แน่นอนว่าต้องไปทำธุระของตัวเองทันที
การเดินทางตอนกลางคืน สำหรับผู้เล่นส่วนใหญ่ถือเป็นเรื่องธรรมดามาก
สำหรับเยี่ยเว่ยหมิงก็ยิ่งไม่สำคัญอยู่แล้ว
แต่ในเมื่ออาจูเอ่ยปาก เขาก็ไม่สะดวกจะหักหน้าอีกฝ่ายเช่นกัน จึงพยักหน้าตอบตกลงทันที
ทั้งยังพายเรือมานาน ท้องฟ้ายิ่งมืดลงเรื่อยๆ จุดที่สายตามองเห็นสั้นลง ใบหน้าของสตรีทั้งสามกลายเป็นเลือนราง มีเพียงแสงของโคมไฟที่กะพริบอยู่ทางขอบฟ้าฝั่งตะวันออกที่ดูสะดุดตาเป็นพิเศษ
“ที่โคมไฟทางด้านนั้นก็คือเรือนหอมริมน้ำของพี่อาจูเจ้าค่ะ” อาปี้กล่าว
เรือน้อยมุ่งหน้าไปยังโคมไฟตรงนั้น
จู่ๆ ภาพตรงหน้าก็สว่างขึ้นมา เป็นดาวตกดวงหนึ่งวาดผ่านท้องฟ้า ทิ้งหางไว้ยาวมาก
เยี่ยเว่ยหมิงเห็นแล้วรีบประสานนิ้วมือทั้งสิบตั้งตรงหน้าผากพร้อมหลับตาเงียบๆ เพียงพยักหน้าเล็กน้อยไปทางทิศที่มีดาวตก
อาปี้เห็นแล้วแปลกใจมาก รีบถามว่า “คุณชายเยี่ย นี่ท่านกำลังทำอะไรเจ้าคะ”
เยี่ยเว่ยหมิงวางสองมือลงแล้วยิ้มบางๆ ตอบว่า “ในเมื่อมีดาวตกก็ต้องอธิษฐานสิ ที่บ้านเกิดของข้ามีตำนานที่งดงามอยู่เรื่องหนึ่ง ตำนานบอกว่าหากอธิษฐานตอนที่มีดาวตกผ่านท้องฟ้า ดาวตกก็จะทำให้ความปรารถนาของเจ้าเป็นจริง”
อาปี้กะพริบตาปริบๆ พร้อมถามว่า “เช่นนั้นคุณชายเยี่ยกำลังอธิษฐานอะไรอยู่เจ้าคะ”
เยี่ยเว่ยหมิงเงยหน้าเล็กน้อย มองขึ้นไปบนฟ้า ราวกับต้องการจะมองทะลุทะเลดาวหลายชั้นเพื่อให้เห็นดาวโลกสีน้ำเงินดวงนั้นที่อยู่ในความทรงจำ เขาพูดเบาๆ ว่า “ความปรารถนาของข้าก็คือขอให้พ่อแม่ที่อยู่บ้านเกิดอันไกลแสนไกลมีความสุข อายุยืนยาว”
พอได้ยินคำพูดของเยี่ยเว่ยหมิง อาจูกับอาปี้ก็เงียบไปพร้อมกัน พวกนางอิจฉาอยู่ในใจลึกๆ ที่เยี่ยเว่ยหมิงยังมีพ่อแม่ให้คิดถึง แต่พวกนางกลับไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพ่อแม่ของตัวเองเป็นใคร
ส่วนหวังอวี่เยียนกลับยังไม่พูดไม่จาเหมือนเดิม สำหรับนางที่กำลังอยู่ในช่วงมีความรัก ต่อให้ฟ้ากว้างแผ่นดินใหญ่อย่างไรก็ไม่สำคัญไปกว่าความรัก เมื่อเทียบกับมารดาที่เพิ่งจากมาเมื่อครู่นี้ หวังอวี่เยียนคิดถึงความปลอดภัยของมู่หรงฟู่มากกว่า
เรือน้อยลอยเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ อาจูพลันกล่าวเสียงต่ำว่า “อาปี้ เจ้าดูสิ แบบนี้ดูไม่ค่อยปกตินะ”
อาปี้พยักหน้า “ใช่แล้ว ทำไมมีโคมไฟเยอะขนาดนั้น”
ผ่านไปอีกพักหนึ่ง จู่ๆ อาจูก็อุทาน “แม่นางหวัง ที่บ้านข้ามีศัตรูโผล่มาแล้ว กลิ่นสุราแรงเช่นนี้ แสดงว่ามีพวกอันธพาลมาก่อกวนเยอะแน่นอน แย่แล้วเจ้าค่ะ!”
“หา! พวกเขาคว่ำน้ำค้างดอกมะลิกับน้ำค้างดอกกุหลาบของข้าหมดเลย ไอ๊หยา แย่แล้ว น้ำค้างดอกเหมยก็ถูกพวกเขาย่ำเละเหมือนกัน…” พอพูดถึงตอนท้าย นางก็แทบจะร้องไห้ออกมาแล้ว
“พวกเขาไม่เพียงแค่กินดื่มในบ้านเจ้า ทั้งยังพังข้าวของในบ้านเจ้าด้วย?” เยี่ยเว่ยหมิงได้ยินแล้วอดถามไม่ได้
อาจูส่ายหน้า “ข้าทุ่มกำลังความคิดตั้งมากมายกว่าจะได้น้ำค้างดอกไม้พวกนี้มา พวกคนอันธพาลนำมาดื่มเป็นสุราแน่เลย!”
[ติ๊ง! พบภารกิจ ‘เรือนหอมริมน้ำ’]
เรือนหอมริมน้ำ
มีอันธพาลมาบุกและก่อเรื่องวุ่นวายที่เรือนหอมริมน้ำของอาจู กรุณาช่วยอาจูไล่ศัตรูออกไป
ระดับภารกิจ: 5 ดาว
รางวัลภารกิจ: หวังอวี่เยียนจะชี้แนะทักษะยุทธ์ให้คุณหนึ่งวิชา (ชี้แนะวิชาที่เป็นระดับสุดยอดวิชาขึ้นไปไม่ได้) เพิ่มค่าประสบการณ์ 100000 แต้ม
บทลงโทษภารกิจล้มเหลว: ค่าความรู้สึกดีของอาจู อาปี้และหวังอวี่เยียนลดลง 10 แต้ม
จะรับภารกิจหรือไม่?
ใช่/ปฏิเสธ
ก่อนหน้านี้เยี่ยเว่ยหมิงได้รับความช่วยเหลือจากอาจู แม้จะตอบแทนน้ำใจที่หมู่บ้านภูเขาม่านถัวแล้ว แต่ก็ทนเห็นนางได้รับความลำบากไม่ไหวอยู่ดี
ยังไม่ต้องพูดถึงว่าจะได้รับรางวัลภารกิจด้วย ต่อให้ไม่มีรางวัล เขาก็ตัดสินใจว่าจะไม่นิ่งดูดายเช่นกัน
แม้อาจูจะเป็นเพียง npc คนหนึ่งก็ตาม
สิ่งเดียวที่น่าเสียดายก็คือ โลงศพเลเวลสูงที่สั่งไว้ยังมาไม่ถึง…
เขากดเลือกรับภารกิจเหมือนไม่ได้ตั้งใจ จากนั้นก้าวมาข้างหน้าหนึ่งก้าวแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเยียบเย็น “ในเมื่อเป็นอันธพาล เช่นนั้นก็ไม่มีเหตุผลที่จะปล่อยให้พวกเขาเที่ยวก่อความวุ่นวาย แม่นางอาจูวางใจได้ พวกเขาทำลายของอะไรของเจ้า ข้ารับรองว่าจะทำให้คนพวกนั้นคายออกมาทั้งต้นทั้งดอก!”
อาจูได้ยินแล้วกลับส่ายหน้า “น้ำค้างดอกไม้พวกนั้นทำยากมาก แต่คนชั่วพวกนั้นนำไปดื่มเป็นสุรา จะชดเชยได้อย่างไรเจ้าคะ…
…แต่หากคุณชายเยี่ยช่วยอาจูโจมตีให้คนอันธพาลถอยไปได้ อาจูก็จะซาบซึ้งใจมากค่ะ”
เยี่ยเว่ยหมิงส่ายหน้าเล็กน้อย จากนั้นคว้าแขนซ้ายของอาจูแล้วพูดเบาๆ ว่า “ในเมื่อต้องเผชิญหน้ากับคนชั่ว ก็ต้องให้เจ้าของบ้านอย่างเจ้าออกหน้า ถึงจะเจรจาได้สะดวก อีกประเดี๋ยวหลังจากเจอคนพวกนั้นแล้ว เจ้าก็พูดจาให้แข็งกร้าวหน่อยนะ จำไว้ว่าพวกเรากำลังยืนอยู่บนจุดสูงสุดของเหตุผลและการใช้กำลัง ไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้น”
เมื่อเห็นว่าอยู่ห่างจากฝั่งไม่ถึงห้าจั้งแล้ว เยี่ยเว่ยหมิงก็ออกแรงที่เท้าทันที พาอาจูเหาะขึ้นฟ้าไปทางเรือนหอมริมน้ำ
ตอนที่ตัวลอยอยู่กลางอากาศ เขาก็เปลี่ยนกลับมาใส่เครื่องแบบทางการที่เคยถอดออกก่อนเข้าต้าหลี่ก่อนหน้านี้ เพียงชั่วพริบตาเดียว ก็เปลี่ยนลักษณะจากชาวยุทธ์ธรรมดาเป็นขุนนนางสำนักมือปราบเทพที่ชาวยุทธ์ไม่ชอบและหวาดกลัวที่สุดแล้ว
เมื่อมาถึงนอกลานบ้านของเรือนหอมริมน้ำ เยี่ยเว่ยหมิงก็พบว่าที่นี่มีคนสองกลุ่มกำลังรวมตัวกัน ระหว่างคนสองกลุ่มนี้ไม่ได้มีความขัดแย้งใดๆ เหมือนเตรียมจะร่วมมือกันก่อเรื่องมากกว่า
คิดว่าคงจะเป็นใครคนนั้นกับใครบางคนในกลยุทธ์ที่อินปู้คุยส่งมาให้…
ส่วนรายละเอียดว่าชื่ออะไร เยี่ยเว่ยหมิงก็ขี้เกียจเปิดกลยุทธ์อ่านอีกรอบ อย่างไรเสีย ขอเพียงคนที่มาไม่ใช่จิวหมัวจื้อ คนอื่นก็คุยง่ายทั้งนั้น
ซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่จิวหมัวจื้อจะมาโผล่อยู่ในภารกิจระดับห้าดาว
การปรากฏตัวของเยี่ยเว่ยหมิงกับอาจู ย่อมดึงดูดความสนใจของคนที่กำลังรุกล้ำอยู่ในลานบ้าน ฝั่งนั้นมีคนตะโกนถามทันที
เยี่ยเว่ยหมิงจะมีอารมณ์ไปสนใจพวกลูกกระจ๊อกขยะพวกนี้ได้อย่างไร
เขาแสดงท่าร่าง ‘ชั่วอึดใจหมื่นลี้’ พาอาจูฝ่าคนกลุ่มนั้นไปทันที ตอนที่พวกเขายังไม่ทันไหวตัว ทั้งสองก็ฝ่าเข้ามาถึงในโถงใหญ่แล้ว
ในโถงใหญ่มีคนรวมตัวกันอยู่เจ็ดแปดคน คนที่เป็นหัวหน้าคือชายชราที่ถือดาบและชายวัยกลางคนที่สวมเครื่องแบบสำนักชิงเฉิง
เมื่อเห็นทั้งสองบุกเข้ามาในโถงใหญ่ ชายชราคนนั้นก็ตะคอกถามเสียงต่ำทันที “พวกเจ้าเป็นใคร”
ขณะที่ถาม พวกชาวยุทธ์ข้างนอกที่เยี่ยเว่ยหมิงเพิ่งฝ่ามาก็กรูกันเข้ามาแล้ว พวกเขามารวมอยู่กับคนตรงหน้า ล้อมเยี่ยเว่ยหมิงกับอาจูไว้ตรงกลาง
เห็นอยู่ตำตาว่าตัวเองถูกศัตรูล้อมไว้แล้ว แต่สีหน้าของเยี่ยเว่ยหมิงกลับไม่เผยความกังวลเลยสักนิด
อย่างไรเสีย หลังจากเสือวิ่งเข้าฝูงแกะแล้ว ฝ่ายที่รู้สึกกังวลต้องไม่ใช่เสือตัวนี้แน่นอน
เยี่ยเว่ยหมิงไม่สนใจคนอื่นเช่นกัน จ้องตาชายชราคนนั้นโดยพร้อมบอกว่า “ข้าคือเยี่ยเว่ยหมิง มือปราบขั้นห้าของสำนักมือปราบเทพ เมื่อครู่เพิ่งได้รับรายงานจากแม่นางอาจู บอกว่าพวกเจ้าบุกรุกพื้นที่ส่วนตัว ปล้นทรัพย์สินในบ้าน รวมตัวกันก่อเรื่อง มีเจตนาไม่ซื่อ!…
…ตอนนี้จับได้ทั้งคนทั้งของกลาง ยังมีอะไรจะอธิบายกับข้าหรือไม่”