ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ - ตอนที่ 544 ตู๋กูเจี้ยน
ตอนที่ 544 ตู๋กูเจี้ยน
พอเกิดเสียงดังชัดเจนสองครั้ง บนผนังหินที่เดิมทีเรียบลื่น ตรงสองตัวอักษรที่สองฝ่ามือของเยี่ยเว่ยหมิงกดไว้ก็เว้าลงไปเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสที่ใหญ่กว่าฝ่ามือของเขาเล็กน้อย
ที่แท้บนผนังหินที่ดูเหมือนราบเรียบแผ่นนี้ ก็ซ่อนกลไลที่แม้แต่ผู้อาวุโสสำนักกระบี่เหิงซานแต่ละยุคก็ยังไม่เคยค้นพบ!
เมื่อกลไลถูกเปิดใช้งาน ในห้องก็มีเสียงกลไกลหมุนแกร๊กๆ ดังสองครั้ง
สิ่งที่ตามมาติดๆ ก็คือบนผนังด้านข้างของห้องลับ จุดที่ใหญ่เท่าบานประตูพลันยุบลงไปใต้ดิน เผยให้เห็นอุโมงค์สีดำมืดที่นำทางไปสู่ห้องศิลาอีกแห่ง
“นี่มัน!…” เมื่อเห็นฉากนี้ คนที่มีปฏิกิริยามากที่สุดก็ย่อมเป็นหลิวเจิ้งเฟิง
เขามองเยี่ยเว่ยหมิงราวกับมองปีศาจ พร้อมถามด้วยน้ำเสียงหวาดระแวง “จอมยุทธ์น้อยเยี่ย ท่านเคยมาที่ห้องศิลาแห่งนี้หรือ”
เยี่ยเว่ยหมิงส่ายหน้าเล็กน้อย “หากก่อนหน้านี้ข้าพอจะรู้จักที่นี่อยู่บ้าง ก็คงไม่ถามขุนพลหลิวแล้วว่าใครเป็นผู้สลักผนังหินเหล่านี้”
หลิวเจิ้งเฟิงได้ยินแล้วนอกจากจะไม่ปล่อยวาง กลับเผยสีหน้าตื่นตะลึงยิ่งกว่าเดิม “เช่นนั้นเหตุใดปราชญ์แต่ละยุคของสำนักเหิงซานจึงไม่เคยพบประตูลับบานนี้เลย แต่จอมยุทธ์น้อยเยี่ยมองปราดเดียวก็มองทะลุแล้ว”
“อาจจะเป็นเพราะพวกท่านไม่กล้าทดลองซี้ซั้วกระมัง” เยี่ยเว่ยหมิงกล่าวเสียงเรียบ “ในเมื่อห้องลับนี้เป็นห้องที่บรรพาจารย์บางท่านของสำนักเหิงซานค้นพบก่อน ทั้งยังรู้แล้วว่าบนผนังหินเหล่านี้แฝงขอบเขตกระบี่ที่ล้ำลึกเอาไว้ ถึงขั้นตระหนักรู้สลักหินเหล่านี้จนนำมาช่วยปรับปรุงวิทยายุทธ์ของสำนักเหิงซานในปัจจุบัน…
…เช่นนั้นคนสำนักเหิงซานที่เคยได้ยินความลับของที่นี่ผ่านหู ก็ย่อมต้องปกป้องที่นี่อย่างระมัดระวัง ต่อให้มาที่นี่เพื่อศึกษาก็จะทำอย่างระวัง เพราะกลัวว่าจะทำลายผนังหินเหล่านี้เสียหายแม้เพียงนิดเดียว…
…ส่วนข้าตอนที่สัมผัสกับกลไกก่อนหน้านี้ หากไม่ออกแรงสองมือกดดูว่าสองจุดนั้นคือผนังหิน ก็คงเปิดไม่ออกแน่นอน” เยี่ยเว่ยหมิงยักไหล่ แล้วกล่าวสรุปตอนท้าย “ดังนั้น หากคนนอกอย่างข้าไม่บังเอิญมาที่นี่ ต่อให้ผ่านไปอีกร้อยปี ก็ไม่มีใครค้นพบความลับในนี้อยู่ดี”
หลิวเจิ้งเฟิงฟังพลางพยักหน้าเหมือนเข้าใจแต่ก็ไม่เข้าใจ แม้จะรู้สึกว่ามีบางอย่างแปลกๆ แต่ชั่วขณะนั้นก็บอกไม่ถูกเช่นกันว่าแปลกตรงไหนกันแน่
ในเมื่อบอกไม่ถูก เขาก็ทำได้เพียงเก็บความสงสัยไว้
เยี่ยเว่ยหมิงพูดแค่ไม่กี่คำก็ปิดปากหลิวเจิ้งเฟิงได้แล้ว แต่พวกเพื่อนๆ ในทีมไม่ได้ปิดปากง่ายขนาดนั้น เฟยอวี๋ซักไซ้ต่อในช่องทีมทันที [ไม่ถูกสิ ถ้าจะบอกว่ายอดฝีมืออาวุโสเหล่านั้นของสำนักเหิงซานเคารพยำเกรงผนังหิน นั่นก็แล้วไป แต่พวกเราไม่ได้เป็นอย่างนั้นนี่ ทำไมมีแค่เจ้าที่ค้นพบ แต่พวกเรากลับไม่ค้นพบล่ะ]
เยี่ยเว่ยหมิงไม่ตอบแต่ถามกลับ [แล้วทำไมถึงมีแต่เจ้าที่หาจุดหมายปลายทางของภารกิจเจอได้เร็ว แต่พวกเราทำไม่ได้ล่ะ]
เมื่อเห็นคำตอบ เฟยอวี๋เข้าใจทันที ซานเย่ว์เข้าใจฉับพลัน
คนอื่นๆ ก็พอจะเดาได้คร่าวๆ แล้วเช่นกัน มีเพียงมั่วหร่านที่ไม่เข้าใจ แต่ถามใจตัวเองแล้วพบว่าไม่ได้สนิทกับเยี่ยเว่ยหมิงขนาดนั้น จึงไม่ได้ถามอะไรมากอย่างรู้กาลเทศะ เฟยอวี๋ถือตะบันไฟเดินนำทางอยู่ข้างหน้า พวกเขาเดินตามเข้าไปในห้องศิลาอีกห้อง
เพิ่งจะเข้ามาในห้องศิลาอีกห้อง พวกเขาก็เห็นโครงกระดูกร่างหนึ่งนั่งอยู่ที่มุมหนึ่งของผนังหินทันที ดูเงียบเหงาเป็นพิเศษ
สายตาของเยี่ยเว่ยหมิงมองไปบนกระดูกร่างนั้น เพิ่งคิดจะตรวจสอบว่าจะเจอเบาะแสอื่นหรือไม่ จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงประหลาดดังมาจากข้างหลังพักหนึ่ง
“ย้า!”
ตามด้วยเสียงกรีดร้องอย่างหวาดกลัวสุดขีด เยี่ยเว่ยหมิงรู้สึกได้ทันทีว่ามีมือหกมือโผล่มาจากมุมที่ต่างกัน มาโอบแขนฝั่งซ้ายฝังขวารวมทั้งหลังเอวของเขาเอาไว้ในชั่วพริบตาเดียว
ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกะทันหัน ทำให้เยี่ยเว่ยหมิงที่เคยสุขุมเยือกเย็นรู้สึกหลอนไปเองว่ามีผีร้ายมาเกาะแกะรอบตัว แต่ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกได้ถึงอุณหภูมิของร่างกายตรงจุดที่ถูกโอบ พอหันกลับไปมอง คนที่โอบแขนไว้ไม่ใช่ผีร้ายปริศนาที่ไหน แต่เป็นซานเย่ว์กับสะพานสวรรค์น้อยที่ตกใจหลังจากเห็นโครงกระดูก
เขาพยายามหันไปมองข้างหลัง แต่กลับพบว่าเงาร่างน้อยๆ สีเขียวกอดเอวเขาจากข้างหลังเอาไว้แน่น มุดศีรษะอยู่บนชุดขุนนางของเขา ตัวสั่นระริก ดูจากความสูงและรูปร่างของอีกฝ่ายก็รู้แล้ว เป็นฉวี่เฟยเยียนไม่ผิดแน่
เป็นอย่างที่คาดไว้ จู่ๆ มาเจอของที่มืดครึ้มน่าสะพรึงกลัวแบบนี้ เด็กผู้หญิงย่อมเกิดความหวาดกลัวง่ายอยู่แล้ว
ต่อให้เป็นผู้ที่แข็งแกร่งอย่างซานเย่ว์กับสะพานสวรรค์น้อย ก็ยังไม่ใช่ข้อยกเว้นจากเรื่องธรรมดาสามัญในโลก
เยี่ยเว่ยหมิงถูกผู้หญิงสามคนควบคุมการเคลื่อนไหวทั้งหมด ทำได้เพียงอธิบายอย่างจนใจว่า “พวกเจ้าอย่ากลัวเลย เป็นเพียงโครงกระดูกเท่านั้น ไม่มีของสกปรกอะไร อย่าลืมนะว่าพวกเราล้วนเป็นผู้ฝึกยุทธ์”
เมื่อได้ยินดังนั้น ซานเย่ว์กับสะพานสวรรค์น้อยถึงได้ปล่อยมืออย่างเคอะเขินนิดหน่อย แต่หางน้อยๆ ที่อยู่ข้างหลังเขานอกจากจะไม่ปล่อยมือแล้ว กลับกอดเขาแน่นกว่าเดิมด้วย ทั้งยังพูดอย่างเต็มปากเต็มคำอีกว่า “แต่ข้าไม่ใช่ ข้าไม่เคยฝึกยุทธ์มาก่อน ข้ายังเป็นเด็กน้อยคนหนึ่ง ข้ากลัว!”
เยี่ยเว่ยหมิงจนใจ ส่งสายตาขอความช่วยเหลือไปยังพวกผู้ชายที่อยู่ข้างกาย แต่กลับพบว่าเฟยอวี๋กับถังซานไฉ่กำลังมองเขาด้วยสายตาอิจฉาริษยา
เดิมทีเวลาเจอฉากที่เหมือนในหนังผี ก็ควรจะทำให้ฝนตกทั่วฟ้าสิถึงจะถูก!
มีสิทธิ์อะไร สาวๆ ทุกคนไปพิงอยู่บนตัวเจ้าคนกระบี่ (พ้องเสียงกับคนต่ำช้า) กันหมด!?
แม่งเอ๊ย!
อะไรนะ เจ้าบอกว่าในทีมยังมีสาวจากสำนักสุสานโบราณอีกคนที่ชื่อมั่วหร่าน?
สาวคนนั้นกอดแขนสะพานสวรรค์น้อยไว้ตลอด จนป่านนี้ยังหลบอยู่หลังบ่าของศิษย์พี่หญิงใหญ่ของนางอยู่เลย นางโผล่ศีรษะออกมามองอย่างระมัดระวัง ในดวงตาฉายแววตื่นเต้นอย่างปิดบังไม่อยู่…
นี่คือน้องสาวที่ชอบแสวงหาความตื่นเต้น
จบการประเมิน!
ส่วนโหยวโหยว…
น้องสาวคนนี้นิ่งยิ่งกว่าเยี่ยเว่ยหมิงเสียอีก!
ในบรรดาคนเหล่านี้ คนที่เห็นโครงกระดูกแล้วนิ่งที่สุด เกรงว่าจะเป็นนางแล้ว
เมื่อเห็นเยี่ยเว่ยหมิงปลีกตัวออกมาไม่ได้ไปชั่วขณะ ยังเป็นผู้ที่เข้าอกเข้าใจผู้อื่นอย่างฉวี่หยางที่เอ่ยปากแก้สถานการณ์ก่อน “เฟยเยียน มาหาปู่ตรงนี้”
“อื้อ” พอได้ยินเสียงฉวี่หยางเรียก ฉวี่เฟยเยียนถึงได้ปล่อยมือจากเยี่ยเว่ยหมิง แล้วมาจูงมือท่านปู่ของนางแทน
เยี่ยเว่ยหมิงที่กลับมามีอิสระอีกครั้งถึงได้ถอนหายใจยาวเฮือกหนึ่ง อาศัยแสงสว่างของตะบันไฟในมือเฟยอวี๋เดินไปยังห้องศิลาอีกห้องหนึ่ง
กลับเห็นว่าห้องศิลาห้องนี้ใหญ่กว่าห้องแรกเยอะมาก แต่ว่างเปล่าเหมือนกัน มีเพียงผนังสี่ด้านที่ถูกคนใช้กระบี่คมสลักลายมือไว้เยอะมาก
ข้าคือคนบาป!
อักษรสี่ตัวนี้แข็งแรงมีพลัง ขอบเขตกระบี่ที่แฝงอยู่ในนั้นชัดเจนว่าที่อยู่ในกวี ‘แดงทั้งแม่น้ำ’ อยู่หลายส่วน แต่ขอบเขตของตัวอักษรกลับลทำให้คนรู้สึกหดหู่เศร้าโศกยากจะลบเลือน ทำให้หลังจากเห็นแล้ว เกิดการกล่อมเกลาทางอารมณ์อย่างเลี่ยงไม่ได้ ทำให้อารมณ์ดิ่งลงดฮณ๊ฯดฯฌซ,
พอมองต่อไปอีก ก็จะเป็นชีวประวัติของผู้บันทึกตัวอักษร
เนื่องจากอักษรบนนั้นเขียนด้วยภาษาจีนโบราณ เวลาอ่านจึงรู้สึกว่าคลุมเครือเข้าใจยาก
อย่างไรเสีย นอกจาก NPC สามคนที่อยู่ตรงนี้ ผู้เล่นทั้งเจ็ดก็ล้วนเป็นคนยุคปัจจุบัน แม้ว่าจะอ่านภาษาจีนโบราณออกอยู่บ้าง แต่เวลาอ่านขึ้นมาก็รู้สึกว่ามีอุปสรรคทางการอ่านนิดหน่อย เกิดจากความแตกต่างทางวัฒนธรรมของแต่ละยุค
แต่ยังดีที่แม้จะมีอุปสรรคทางการอ่าน แต่ก็ไม่ได้แปลว่าอ่านไม่ออก
คนยุคปัจจุบันถ้าอยากจะอ่านภาษาจีนโบราณออกก็ง่ายมาก
พูดให้ชัดก็คือมีแค่ห้าคำ
เสพมัน! จงเสพมันให้ละเอียด!
ขอเพียงเจ้าเสพรสชาติความหมายแฝงของทุกตัวอักษร เจ้าก็จะพบว่า ที่จริงการอ่านภาษาจีนโบราณก็ไม่ได้ยากขนาดนั้น
พวกเยี่ยเว่ยหมิงใช้วิธีการอ่านแบบ ‘เสพมัน! จงเสพมันให้ละเอียด’ ค่อยๆ ทำความเข้าใจกับความหมายแฝงทั้งหมดที่อยู่บนผนัง ประกอบกับผู้ที่สลักตัวอักษรเป็นชาวยุทธ์ ภาษาจีนโบราณที่เขียนออกมาจึงค่อนข้างเรียบง่าย ทุกคนใช้เวลาไม่นานก็เข้าใจความหมายที่อยู่ในนั้นแล้ว
ที่แท้ผู้ที่สลักอักษรก็แซ่ตู๋กู ชื่อเจี้ยน
บิดาของเขาคือตู๋กูอวิ๋น ฉายา ‘มือกระบี่เซียน’ เป็นหนึ่งในสี่นักกระบี่ใหญ่แห่งใต้หล้าในเวลานั้น ส่วนเขาก็ถือเป็นทายาทยอดยุทธ์รุ่นที่สองโดยแท้
เนื่องจากบิดาหายตัวไปตั้งแต่ยังเด็ก ตู๋กูเจี้ยนจึงเรียนวิชาที่สำนักเหิงซานมาตั้งแต่เด็ก จนกระทั่งมีอยู่วันหนึ่ง เขาเข้าไปพัวพันกับบุญคุณความแค้นในยุทธภพเพราะตำราเลือดเล่มหนึ่ง
เพื่อล้างเลือดให้กับความแค้นของแว่นแคว้นและวงศ์ตระกูล ตู๋กูเจี้ยนจึงเริ่มตะลุยยุทธภพ ในระหว่างนั้นเกิดเรื่องราวประหลาดหักมุมมากมาย ตู๋กูเจี้ยนไม่ได้สลักไว้ละเอียดมากนัก พวกเยี่ยเว่ยหมิงย่อมไม่มีทางรู้ได้
สรุปก็คือหลังจากเติบโตและผ่านอันตรายมามากมาย ตู๋กูเจี้ยนถูกกลุ่มวีรบุรุษกดดันที่งานชุมนุมชาวยุทธ์ไท่ซาน จึงกลายเป็นประมุขสมาพันธ์บู๊ลิ้มในเวลานั้น นำชาวยุทธ์ซ่งใต้อุทิศตนให้กับงานใหญ่อย่างการต่อต้านแคว้นจิน ถึงขั้นร่วมงานอย่างใกล้ชิดกับเย่ว์เฟยด้วย
ทว่าทิวทัศน์อันงดงามอยู่ได้ไม่นาน
ในระหว่างการปฏิบัติการครั้งหนึ่ง เนื่องจากหนอนบ่อนไส้แอบบอกความลับ ตู๋กูเจี้ยนจึงถูกยอดฝีมือกลุ่มใหญ่ของแคว้นจินล้อมโจมตี หลังจากผ่านศึกอันยากลำบาก สังหารยอดฝีมือแคว้นจินไปนับร้อย สุดท้ายเนื่องจากหัวเดียวกระเทียมลีบ จึงได้รับบาดเจ็บสาหัสและถูกจับตัวไป
ส่วนยอดฝีมือแคว้นจินที่จับตัวเขาก็ใช้วิชาแปลงโฉมแปลงร่างเป็นเขา เรียกรวมยอดฝีมือบู๊ลิ้มมากมายในตอนนั้นมาแล้วสังหารทิ้งเรียบ!
แม้ตอนหลังยอดฝีมือแคว้นจินคนนั้นจะไม่ได้มีจุดจบที่ดีอะไร และตู๋กูเจี้ยนก็ถูกสาวงามที่เคยรู้จักกันตอนเด็กช่วยชีวิตไว้ แต่เหล่าวีรบุรุษชาวยุทธ์ที่ถูกยอดฝีมือแคว้นจินแอบอ้างเป็นเขาวางแผนทำร้ายพวกนั้น กลับกลายเป็นฝันร้ายที่ตู๋กูเจี้ยนมิอาจลืมเลือนไปทั้งชีวิต!
ประกอบกับหลังจากเขาหนีออกมาได้ เย่ว์เฟยก็ถูกหนอนบ่อนไส้ฆ่าตายไปหลายปีแล้ว ทักษะยุทธ์ที่เขาเรียนมาก็ถูกศัตรูทำลายตอนถูกจับตัวแล้วเช่นกัน
แม้จะใช้ความพยายามแล้วพอจับกระบี่ได้บ้าง แต่ก็ไม่ได้องอาจเกรียงไกรเหมือนในปีนั้นอีกแล้ว
ต่อให้ตั้งใจจะทำตามความมุ่งมาดปรารถนาดั้งเดิม แต่ความจริงปัจจัยไม่เอื้ออำนวยแล้วเช่นกัน
เขาตั้งใจจะถ่ายทอดทักษะยุทธ์ที่โลกตะลึงให้แก่คนรุ่นหลัง แต่ตอนนั้นทั้งยุทธภพล้วนไร้ผู้ที่มีความสามารถ หาคนเก่งๆ มาสืบทอดความสามรารถของเขาต่อไม่ได้เลย
อีกด้านหนึ่งของผนังหินสลักวิทยายุทธ์ต่างๆ ที่ตู๋กูเจี้ยนเคยฝึกตอนมีวิทยายุทธ์ ดูคล้ายกับที่ฝังกระดูกของตู๋กูฉิวไป้มาก
หลังจากอ่านถึงตรงนี้ เยี่ยเว่ยหมิงก็สงสัยแล้วเช่นกัน
อย่าบอกนะว่าสไตล์การทิ้งข้อความของยอดฝีมือในยุทธภพก็มีความเกี่ยวข้องกับชื่อแซ่ของเขาเหมือนกัน ขอเพียงใช้แซ่ตู๋กู ก็ชอบเล่นแบบนี้กันหมด?
พอย้ายสายตาไปบนผนังหินอีกด้านที่ตู๋กูเจี้ยนสลักทักษะยุทธ์ไว้ จู่ๆ เยี่ยเว่ยหมิงกลับรู้สึกสะลึมสะลือ จากนั้นร่างกายก็มาปรากฏตัวอยู่บนยอดเขาแห่งหนึ่ง
พอทอดสายตามองออกไปก็เห็นท้องฟ้าสดใสหมื่นลี้ ลมแรงบนยอดเขาพัดกระทบบนตัวเขา ทำให้เขารู้สึกหนาว
แต่ตรงหน้ากลับมีชายชราผมขาวที่สวมชุดคลุมสีเทาคนหนึ่งยืนหันหลังให้เขา กำลังมองขุนเขาที่อยู่ไกลๆ
แม้ตัวเองจะยืนอยู่บนยอดเขาเช่นกัน แต่คนตรงหน้ากลับทำให้เยี่ยเว่ยหมิงรู้สึกว่ามีคุณธรรมสูงส่งน่านับถือ
สลักหินของที่นี่ ไม่น่าเชื่อว่าจะเชื่อมต่อกับแดนมายาได้?
ส่วนชายชราที่อยู่ตรงหน้า อย่าบอกนะว่าเป็นยอดฝีมือสำนักเหิงซานท่านนั้น…ตู๋กูเจี้ยน!?