ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ - ตอนที่ 547 สี่ปฏิญาณพิฆาตหมาป่า มารสวรรค์ทลาย!
ตอนที่ 547 สี่ปฏิญาณพิฆาตหมาป่า มารสวรรค์ทลาย!
[ติ๊ง! ได้รับ ‘ตระหนักรู้เคล็ดกระบี่’ x1!]
[ติ๊ง! ได้รับ ‘ตระหนักรู้วิชากำลังภายใน’ x1!]
[ติ๊ง! ได้รับ ‘ตระหนักรู้วิชากรงเล็บ’ x1!]
นี่ก็คือสิ่งที่เรียกว่าทำดีได้ดี พอเก็บกระดูกให้วีรบุรุษแห่งยุคตู๋กูเจี้ยนแล้ว ก็ทำให้ปราชญ์จอมยุทธ์ผู้รักความยุติธรรมไร้ความเห็นแก่ตัวได้รับตำราลับตระหนักรู้สามเล่ม อีกทั้งคุณภาพของแต่ละเล่มก็ล้วนคัดสรรมาแล้ว!
[ตระหนักรู้เคล็ดกระบี่: บันทึกการฝึกเคล็ดกระบี่ของเจ้าสำนักเหิงซานเดิม ประมุขสมาพันธ์บู๊ลิ้มตู๋กูเจี้ยน ใช้งานเคล็ดกระบี่ที่กำหนดจะได้ค่าประสบการณ์เพิ่ม 2100000 แต้ม!]
[ตระหนักรู้วิชากำลังภายใน: …ใช้แล้วจะเพิ่มค่าประสบการณ์ 1500000 แต้ม!]
ตระหนักรู้วิชากรงเล็บ: … เพิ่มค่าประสบการณ์ 750000 แต้ม!]
เขาเก็บโลงหยกขาวอีกครั้ง เตรียมกลับไปหาสถานที่ที่ฮวงจุ้ยดีเพื่อให้ตู๋กูเจี้ยนพักผ่อนอยู่ในหลุมอย่างสงบสุข แล้วเยี่ยเว่ยหมิงก็นำตำรา ‘มารสวรรค์ทลาย’ ออกมา
แม้ตัวเขาเองจะไม่ได้หวังอะไรมากกับความลับของตำราเล่มนี้ แต่ในเมื่อของมาอยู่ในมือแล้ว ก็แสดงว่าเขามีวาสนากับของสิ่งนี้ มองคอลัมน์สกิลของตัวเองยังถือว่าเหลือเฟือ เยี่ยเว่ยหมิงจึงตัดสินใจเก็บไว้ใช้
หากไม่รับโอกาสที่ฟ้าประทานกลับจะเหนื่อยเปล่า
ยิ่งไปกว่านั้น หากเขาคาดการณ์ไม่ผิด ‘มารสวรรค์ทลาย’ เล่มนี้อาจไม่ยึดพื้นที่คมลัมน์สกิลหนึ่งช่องก็ได้
พอคิดได้ก็ทำเลย เยี่ยเว่ยหมิงอาศัยแสงไฟอ่อนๆ ที่ส่องมาจากตะบันไฟของเฟยอวี๋เพื่อเริ่มอ่านตำรา
พออ่านแล้วถึงได้รู้ ว่าวิชา ‘มารสวรรค์ทลาย’ นอกจากจะฝึกไม่ยากแล้วยังง่ายมากอีกด้วย ถึงขั้นง่ายกว่า ‘มังกรซ่อนกบดาน’ ที่ต้องบันทึกไว้หนึ่งหน้ากระดาษอีก วิชานี้ง่ายและหยาบกว่าเยอะมาก
[ติ๊ง! คุณอ่านศึกษาตำรา ‘มารสวรรค์ทลาย’ อย่างตั้งใจ ตระหนักรู้วิทยายุทธ์ระดับสูง ‘มารสวรรค์ทลาย’ สำเร็จ]
[มารสวรรค์ทลาย (ระดับสูง)]
เทพขวางฆ่าเทพ มารสวรรค์ทลาย!
(เคล็ดวิชาพิเศษ เพิ่มเลเวลไม่ได้)
โจมตี +1000% แม่นยำ +500% มองข้ามการป้องกัน!
พลังชีวิตที่ใช้: กำลังภายในสูงสุด 60%!
กำลังภายในที่ใช้: ทั้งหมด!
หลังจากใช้มารสวรรค์ทลาย ผู้ที่ใช้จะติดสถานะบาดเจ็บสาหัส ความแข็งแกร่ง พละกำลัง ท่าร่าง ความว่องไวจะลดลงครึ่งหนึ่ง!
……
แม่งเอ๊ย!
โหดขนาดนี้เลยเหรอ
ก่อนเห็นท่านี้ เยี่ยเว่ยหมิงรู้สึกมาตลอดว่า ‘สามปฏิญาณพิฆาตหมาป่า’ ของตนโหดมากแล้ว จนกระทั่งได้เห็นท่านี้ เขาถึงต้องยอมรับว่าไม่มีสิ่งที่โหดที่สุด มีแต่สิ่งที่โหดกว่า!
ภายใต้การโจมตีนี้ เสียกำลังภายในรวมทั้งพลังชีวิตทั้งหมด 60% ตอนหลังยังเพิ่มสถานะบาดเจ็บสาหัสอีกด้วย!
เมื่อตบฝ่ามือนี้ออกไป ยังไม่ต้องพูดถึงว่าจะทำให้ศัตรูตายหรือไม่ ผู้ที่ใช้จะถูกท่านี้ทำให้พิการก่อน
นี่ยังเป็นผลจากการใช้ตอนที่ค่าพลังชีวิตยังเต็มอยู่
ถ้าค่าสเตตัสยังไม่เต็ม ยกตัวอย่างเช่นตอนลงมือ พลังชีวิตของผู้ที่ใช้ยังไม่ถึงหกสิบเปอร์เซ็นต์ เช่นนั้นเมื่อตบฝ่ามือนี้ออกไป คาดการณ์ในแง่บวกที่สุดก็คือแลกพลังชีวิตกับศัตรูแบบหนึ่งแต้มต่อหนึ่งแต้ม!
ขอเพียงเกิดเหตุไม่คาดคิดแม้แต่นิดเดียว นี่ก็คือการแลกเปลี่ยนที่ขาดทุนแบบควักเลือดควักเนื้อ!
แต่เมื่อเทียบกับผลข้างเคียงตอนที่เขาใช้ พลังโจมตีของท่านี้เหมือนจะโหดจนเหลือเชื่อเช่นกัน
โบนัสพลังโจมตี 1000% ถ้าตบบนจุดสำคัญของร่างกาย เกรงว่าต่อให้เป็น BOSS เลเวลหนึ่งร้อยขึ้นไปก็รับได้ยากเหมือนกัน?
ประสิทธิภาพข้อเสียชัดเจนขนาดนี้ ดูท่าแล้วคงทำได้เพียงใช้ท่านี้เป็นไพ่ลับสุดท้าย เมื่อเทียบกับ ‘สามปฏิญาณพิฆาตหมาป่า’ ถึงขั้น…
[ติ๊ง! วิทยายุทธ์ ‘มารสวรรค์ทลาย’ ที่คุณเรียนมาสอดคล้องกับ ‘สามปฏิญาณพิฆาตหมาป่า’ มาก รวมกันเป็นหนึ่งเดียวได้ คุณจะรวมหรือไม่]
ใช่/ปฏิเสธ
ไม่ได้ยินเสียงแจ้งเตือนของระบบ บนใบหน้าเยี่ยเว่ยหมิงก็เผยรอยยิ้มปล่อยวาง
เรื่องจริงก็เป็นอย่างที่เขาคาดไว้ กระบวนท่าที่ใช้สู้ตายวิชานี้ นำมารวมกับ ‘สามปฏิญาณพิฆาตหมาป่า’ ที่ใช้สู้ตายของเขาได้เช่นกัน
ไม่มีความลังเลใดๆ เยี่ยเว่ยหมิงเลือก ‘ใช่’ ทันที
[ติ๊ง! รวม ‘มารสวรรค์ทลาย’ กับ ‘สามปฏิญาณพิฆาตหมาป่า’ ของคุณสำเร็จ ตอนนี้อัปเกรดจาก ‘สามปฏิญาณพิฆาตหมาป่า’ เป็น ‘สี่ปฏิญาณพิฆาตหมาป่า’!
หลังจากรวมกันแล้ว ท่าไม้ตายสี่ท่าไม่ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงใดๆ เพียงประหยดคอลัมน์สกิลให้เยี่ยเว่ยหมิงได้หนึ่งช่องเท่านั้น
หลังจากมองคอลัมน์สกิลที่เป็นระเบียบเรียบร้อยอย่างพึงพอใจแวบหนึ่ง เยี่ยเว่ยหมิงก็เปลี่ยนหยิบตำรารับตระหนักรู้ที่ได้จากไห่ต้าฟู่ เฝิงซีฟ่าน หงอันทงและอ๋าวป้ายออกมา จากนั้นเริ่มอ่านศึกษาทีละเล่ม
เทียบกับของที่ได้จากตู๋กูเจี้ยน แม้ตำราลับตระหนักรู้จาก BOSS สามคนนี้จะค่อนข้างต่างกันเหมือนน้ำหนึ่งแก้วกับรถขนฟืนที่ไฟไหม้ แต่เยี่ยเว่ยหมิงก็ตัดสินใจว่าจะเริ่มย่อยจากของเล็กๆ ก่อน
เริ่มจากประหยัดไปฟุ่มเฟือยนั้นง่าย เริ่มจากฟุ่มเฟือยไปประหยัดนั้นยาก!
เขากลัวว่าหลังจากอ่านตำราลับตระหนักรู้ของตู๋กูเจี้ยนหมดแล้ว ก็จะไม่เกิดความสนใจที่จะอ่านตำราลับของพวกเขาสี่คนอีก
รายละเอียดของแต้มที่เพิ่มจะเขียนข้ามไป หลังจากใช้ตำราตระหนักรู้ทั้งหมดรวมทั้ง ‘ตระหนักรู้เคล็ดกระบี่’ และ ‘ตระหนักรู้วิชากรงเล็บ’ ที่ได้ตอนเก็บกระดูกตู๋กูเจี้ยนแล้ว ค่าประสบการณ์ ‘เคล็ดกระบี่ฉวนเจิน’ ของเยี่ยเว่ยหมิงก็เพิ่มถึง 3774665/5000000 แล้ว ขาดอีกแค่ล้านสองแสนกว่าแต้มแล้ว
นี่ก็เป็นสาเหตุที่เขาล้มเลิกเลิกแผนที่จะเพิ่มเลเวล ‘เคล็ดกระบี่วีรสตรี’ ก่อน อย่างไรเสียหากดูจากสถานการณ์ตอนนี้ ก็ยังมีหวังว่าจะดันเลเวล ‘เคล็ดกระบี่ฉวนเจิน’ ให้ถึงระดับสมบูรณ์ก่อนงานประลองยุทธ์ใหญ่หอหมอกพิรุณได้!
ถึงอย่างไรก็ต้องใช้ค่าประสบการณ์ห้าล้านแต้ม ถึงจะเพิ่มเลเวลให้วิชาที่เหมือนหลุมดำวิชานี้ถึงระดับสมบูรณ์ได้ เยี่ยเว่ยหมิงเชื่อว่าหลังจาก ‘เคล็ดกระบี่ฉวนเจิน’ ถึงระดับสมบูรณ์แล้ว จะต้องนำความประหลาดใจอย่างใหญ่หลวงมาให้เขาแน่นอนดฮณ๊ฯดฯฌซ,
ส่วนวิทยายุทธ์รายการอื่น ใช้วิธีการเรียนรู้ผ่านเรื่องทำนองเดียวกันกระจายแต้มอย่างทั่วถึง ค่าประสบการณ์ก็เพิ่มขึ้นแล้วเช่นกัน แต่ไม่มีวิชาไหนที่เพิ่มเลเวลได้จากการอ่านครั้งนี้เลย จึงไม่หยิบยกขึ้นมาเอ่ย
สุดท้ายของสุดท้าย เยี่ยเว่ยหมิงก็เก็บ ‘ตระหนักรู้วิชากำลังภายใน’ สามเล่มที่ได้จากตู๋กูเจี้ยน อ๋าวป้ายและหงอันทงโหมด BOSS ไม่ได้ใช้ในทันที
อย่างไรเสีย สำหรับวิทยายุทธ์ประเภทกระบวนท่า เยี่ยเว่ยหมิงก็ไม่คิดว่าตัวเองจำเป็นต้องเรียนเสมอไป แต่ด้านวิชากำลังภายในเขายังต้องปรับตำแหน่งว่างไว้สิบช่อง จะต้องกลายเป็นเป้าหมายให้เขาเติมในขั้นต่อไปแน่นอน
เขาเก็บตำราลับตระหนักรู้เหล่านี้ไว้ก่อน รอให้ได้ตำราลับวิชากำลังภายในที่พอใจมาไว้ในมือก่อน เขาก็จะเพิ่มให้ถึงระดับสมบูรณ์อย่างรวดเร็ว ทำให้พลังต่อสู้ปะทุขึ้นมามากมายในชั่วพริบตาเดียว แบบนั้นไม่ชื่นฉ่ำหรอกหรือ
หลังจากจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เยี่ยเว่ยหมิงก็บิดขี้เกียจหนึ่งที กลับพบว่าคนอื่นๆ เก็บสายตากลับมาจากผนังหินตั้งนานแล้ว จากนั้นพวกเขาก็นั่งด้วยกันตามระดับความพันธ์ แต่สายตาของทุกคนกลับมารวมอยู่บนตัวเขา
เมื่อเห็นทุกคนกำลังรอตนอยู่ เยี่ยเว่ยหมิงก็อดขำไม่ได้ “เมื่อครู่ตอนพวกเจ้าอยู่ในเขตลับผนังหิน ก็ได้เก็บเกี่ยวอะไรไม่น้อยเลยใช่ไหมล่ะ”
“แน่นอนอยู่แล้ว” ซานเย่ว์พูดก่อน ให้คำตอบที่ถูกต้อง “อาหมิงไม่อยากรู้หรือว่าข้าได้อะไรจากเขตลับ”
“เรื่องนี้รอกลับไปก่อนแล้วค่อยว่ากัน” เยี่ยเว่ยหมิงลุกขึ้นแล้วบอกว่า “ที่จริงชั้นสองของห้องลับนี้ยังมีของดีอีกอย่าง พวกเรารออยู่ที่นี่ นอกจากมีก๊าซออกซิเจนให้เพียงพอ ยังกั้นไอพิษของหรวนกู่เซียงได้ด้วย…
…ตอนนี้ข้าจะออกเดินทางแล้ว จะฝ่าวงล้อมศัตรูกลับเมืองเหิงซานเพื่อผสมยาถอนพิษ…
…พวกเจ้าแค่รอข่าวชัยชนะของข้าก็พอ”
“ช้าก่อน! ” ตอนนี้เอง ถังซานไฉ่กลับลุกขึ้นบอกว่า “การเดินทางครั้งนี้อันราย ให้ข้ากับเจ้าไปด้วยกันเถอะ พวกเจ้าอย่ามองข้าด้วยสายตาสงสัยอย่างนั้น เลเวลวิชาพิษของข้าแม้จะไม่สูงเท่าสหายเยี่ยกับศิษย์น้องโหยวโหยว แต่บนตัวข้าก็มีอุปกรณ์ที่ให้โบนัสต้านพิษ ค่าสเตตัสต้านพิษรวมกันเกินห้าร้อยแต้ม น่าจะพอต้านพิษของหรวนกู่เซียงได้”
เมื่อเห็นถังซานไฉ่มีท่าทางแน่วแน่ สุดท้ายเยี่ยเว่ยหมิงก็ปฏิเสธไม่ลง พยักหน้าบอกทันทีว่า “ในเมื่อสหายถังยืนยันที่จะไป เช่นนั้นก็ไปด้วยกันเถิด แต่ตอนที่ออกจากถ้ำชิงอิน พวกเราสองคนอย่าออกไปพร้อมกัน ให้ข้าโผล่ไปเบี่ยงเบนความสนใจของพวกนั้นก่อน แล้วเจ้าก็หาที่ซ่อนตัว รอเคลื่อนไหวตอนสบโอกาส”
“ไม่มีปัญหา!”
ถังซานไฉ่ตอบรับอย่างสบายใจ แล้วทั้งสองก็ลุกขึ้นออกจากห้องลับชั้นสอง
หลังจากกลับถึงห้องลับชั้นหนึ่งแล้ว เยี่ยเว่ยหมิงเปิดใช้งานกลไล ปิดผนึกห้องลับชั้นสองอีกครั้ง พอเป็นแบบนี้ ห้องลับชั้นหนึ่งก็กลายเป็นเขตกั้นที่ดีมาก แม้ตอนที่ทั้งสองออกไปจะต้องเปิดประตูใหญ่ระหว่างห้องลับชั้นหนึ่งกับด้านนอก ไอพิษของหรวนกู่เซียงอย่างมากก็กระจายมาถึงห้องลับชั้นหนึ่งเท่านั้น ไม่มีทางซึมขึ้นไปทำร้ายพวกซานเย่ว์ที่ชั้นสอง
หลังจากปิดประตูหินของห้องลับชั้นสองแล้ว เยี่ยเว่ยหมิงก็เรียนรู้จากหลิวเจิ้งเฟิงก่อนหน้านี้ บิดกลไกบนผนังให้ประตูใหญ่ของห้องลับชั้นหนึ่งที่เชื่อมกับภายนอกเปิดออกเสียงดังครืน
เมื่อเห็นว่านอกห้องลับว่างเปล่าไร้คน ถังซานไฉ่ก็อดถามอย่างสงสัยไม่ได้ว่า “แปลกจัง อีกฝ่ายมีโอกาสมากกว่าแท้ๆ ทำไมท่าทางเหมือนไม่รีบร้อนเลยสักนิด ตรงนี้เกิดความเคลื่อนไหวใหญ่โต แต่ไม่เห็นพวกเขาไล่ตามมาตรวจสอบสถานการณ์เลย
เยี่ยเว่ยหมิงบิดกลไกลเพื่อปิดห้องศิลาชั้นหนึ่งอีกครั้ง พร้อมเอ่ยว่า “เพราะเป้าหมายของอีกฝ่าย ไม่ได้ต้องการฆ่าฉวี่หยางหรือหลิวเจิ้งเฟิงอย่างไรล่ะ อีกฝ่ายต้องการขังพวกเราไว้ที่นี่ต่างหาก”
……
เยี่ยเว่ยหมิงกับถังซานไฉ่เตรียมตัวใช้กำลังตะลุยด่านเรียบร้อยแล้ว แต่กลับไม่รู้ว่านอกถ้ำชิงอิน มีผู้เล่นมาล้อมร้อยกว่าคนแล้ว พวกผู้เล่นกำลังนั่งจับกลุ่มทีละสองสามคน พูดคุยกันเรื่อยเปื่อย บ้างก็เล่นไพ่โป๊กเกอร์ บางก็กินอาหาร…มีหลายกิจกรรม ท่าทางเหมือนรอต่อสู้มานานมากแล้ว
ตรงหน้าสุดของคนกลุมนี้ ตรงจุดซ้ายขวาที่ห่างจากปากถ้ำประมาณสามจั้ง กลับมีคนหกคนนั่งกับพื้นและหันหน้ามาทางถ้ำชิงอิน
คนพวกนี้แตกต่างกับพวกผู้เล่นที่กินดื่มเล่นกัน ดูจากท่าทางฮึกเหิมของพวกเขา เห็นได้ชัดว่าเตรียมสู้ศึกใหญ่มานานแล้ว
พอมองไปที่ใบหน้าของคนพวกนี้ ก็พบว่าสองคนในนั้นเป็นคนรู้จักเก่าของเยี่ยเว่ยหมิง!
หนึ่งในนั้นคือเมฆเคลื่อนเดียวดาย ศิษย์สำนักอูฐขาว อีกคนคือต้วนอาทิตย์อัสดงไร้ซุ่มเสียงศิษย์จากสกุลต้วนต้าหลี่
นอกจากสองคนนี้แล้ว อีกสี่คนก็เป็นคนแปลกหน้า
หนึ่งในนั้น หญิงสาวในชุดชนเผ่ารูปร่างอรชรอ้อนแอ้นท่าทางเหมือนอดทนรอไม่ไหว นางบ่นว่า “ก็แค่สู้กับคนไม่กี่คนเอง จำเป็นต้องยกพวกมาใหญ่โต รวบรวมยอดฝีมืออย่างพวกเรามาด้วยหรือ”
“เจ้าก็รู้ว่าเยี่ยเว่ยหมิงนั่นร้ายกาจ” ต้วนอาทิตย์อัสดงไร้ซุ่มเสียงกล่าวเสียงต่ำ “รับมือกับเจ้าคนกระบี่ (พ้องเสี่ยงกับคนต่ำทราม) นั่น ระวังตัวไว้หน่อยก็ไม่ถือว่าทำเกินไป”
“แต่ต่อให้เขาร้ายกาจกว่านี้แล้วอย่างไรล่ะ” ตอนนี้เอง คนที่นั่งอยู่กึ่งกลางที่สุดในบรรดาหกคนกล่าวเสียงเย็น “ขอเพียงเป็นเป้าหมายที่พวกเรากำหนดแล้ว ก็จะต้องทำตามแผนที่พวกเราวางไว้แต่โดยดี ไม่มีข้อแม้ ไม่มีข้อยกเว้น นี่ก็คือสิ่งที่เรียกว่า…”
“บัญชาสวรรค์มิอาจฝืน!”
“เหอะๆ บัญชาสวรรค์มิอาจฝืน?” จู่ๆ เสียงหัวเราะเหยียดหยามก็ดังมาจากถ้ำชิงอิน ทั้งหกมองตามเสียง เห็นเยี่ยเว่ยหมิงในชุดขุนนางสีน้ำเงินเดินเนิบนาบออกมาจากถ้ำพอดี “ก็แค่พวกผู้เล่นที่รวมฝูงกันชั่วคราวเท่านั้น ไม่น่าเชื่อว่าจะกล้าเรียกตัวเองว่าบัญชาสวรรค์ พวกเจ้าคิดจะกบฏหรือ”