ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ - ตอนที่ 554 ซากวัตถุโบราณของราชวงศ์ก่อน
ตอนที่ 554 ซากวัตถุโบราณของราชวงศ์ก่อน
หลังจากถามสิ่งที่ทำให้เขาไม่เข้าใจเลยออกมา ถามว่าฝ่ายสำนักฉวนเจินเสนอผลประโยชน์อะไรกันแน่ ถึงทำให้พวกเลี้ยงบาสลงห่วงยอมจ่ายทุกอย่างเพื่อตั้งทีมกับตน เยี่ยเว่ยหมิงก็ส่ายหน้าอีกครั้ง “อย่าหาว่าข้าคำถามเยอะเลย ที่จริงเรื่องนี้ก็แปลกโดยตัวมันเองอยู่แล้ว จุดที่ไม่สมเหตุสมผลที่สุดก็คือ เรื่องแบบนี้ทำให้เป็นจริงได้ยากมาก…
…ถึงอย่างไร คู่ต่อสู้ของพวกเราก็มีทั้งหมดเจ็ดคน ต่อให้พวกเขาเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องร่วมสำนัก แต่ก็อาจจะไม่ใช่กลุ่มที่มีผลประโยชน์ร่วมกัน อย่างไรเสียศิษย์พี่ศิษย์น้องก็ไม่ใช่พี่น้องที่แท้จริง เมื่ออยู่ในสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของตัวเอง เกรงว่าคงไม่มีใครหลีกทางให้กันง่ายๆ…
…อีกทั้งผลประโยชน์ที่แต่ละคนต้องการในเรื่องนี้ ก็ไม่มีทางเหมือนกันแน่นอน! ยกตัวอย่างเช่น…
…การได้รับชัยชนะในการประลองใหญ่หอหมอกพิรุณ แม้ประสบการณ์นี้จะทำให้คนใจเต้น แต่ในบรรดาพวกเขามีใครยินดีจ่ายและไม่ยินดีจ่ายบ้าง ต่อให้พวกเขายินดีจ่ายอะไรบางอย่างแลกมา แต่ราคาที่แต่ละคนยินดีจ่ายก็ไม่เท่ากันหมดหรอกมั้ง…
…แล้วอีกอย่าง รางวัลภารกิจของทั้งเจ็ดคนก็ไม่เท่ากันด้วย รางวัลชนะเลิศ รองชนะเลิศและรองชนะเลิศอันดับสามแตกต่างกับรางวัลของทั้งเจ็ดคนอย่างเห็นได้ชัด ในบรรดาพวกเขา ใครบ้างที่มั่นใจว่าจะช่วงชิงรางวัลชนะเลิศจากศิษย์ร่วมสำนักได้ ใครบ้างที่รู้ตัวว่าเป็นได้เพียงอันดับโหล่ในบรรดาเจ็ดคน…
…ในด้านความต้องการ ใครบ้างที่รีบร้อนเพิ่มเลเวลทักษะ ใครบ้างที่ไม่รีบร้อน…
…ในจำนวนนั้นมีหลายอย่างที่ไม่มีทางคำนวณได้เลย ประกอบกับแต่ละคนให้ความสำคัญกับผลได้ผลเสียต่างกัน ข้าจินตนาการไม่ออกเลยจริงๆ ว่าต้องทำอย่างไรถึงจะทำให้ทุกคนมีความเห็นพ้องกันได้…
…ทุกคนมีเรื่องให้คิดเล็กคิดน้อยอยู่ในใจอยู่แล้ว โดยเฉพาะถ้าอยากให้พวกเลี้ยงบาสลงห่วงเสียสละเยอะขนาดนี้ ราคาที่ต้องจ่ายคงสูงมากแน่นอน บางทีอาจมีคนยอมสละทุกอย่างเพื่อรางวัลของหอหมอกพิรุณครั้งนี้ แต่ข้าไม่คิดว่าพวกเขาทุกคนจะคิดแบบนี้!”
พอได้ยินเยี่ยเว่ยหมิงโยนคำถามมาเป็นชุด เชิญร่ำสุราก็ยิ้มเล็กน้อย จากนั้นยักไหล่ “นี่ก็คือสิ่งที่ข้าอยากจะพูดต่อไป”
เขาหยุดพักครู่หนึ่งแล้วเริ่มเผยสีหน้าจริงจัง “ที่จริงแล้ว สำหรับการประลองใหญ่หอหมอกพิรุณครั้งนี้ ฝั่งสำนักฉวนเจินใส่ใจกว่าพวกเรามาก ถึงอย่างไรคนที่เห็นความสำคัญของเรื่องนี้ก็คือ NPC เลเวลสูงของสำนัก ส่วนฝั่งพวกเรา ส่วนใหญ่ถ้าออกจากหมู่บ้านมือใหม่แล้ว ก็ไม่มีใครติดต่อกับเจ็ดประหลาดแห่งเจียงหนานมากเท่าไร…
…ดังนั้น หากเทียบกับพวกเรา พวกเขาต้องเห็นความสำคัญของการประลองครั้งนี้มากกว่าแน่นอน…
…ซึ่งเมื่อไม่นานก่อนหน้านี้ เพื่อที่จะเรียนค่ายกลฟ้าดาวเหนือ ตัวแทนเจ็ดคนฝั่งสำนักฉวนเจินตั้งทีมกันทำภารกิจระดับความยากสูงด้วย…
…เรื่องรายละเอียดข้าไม่รู้ชัดเจน ข้ารู้เพียงว่ารางวัลภารกิจของพวกเขาคือแผนที่ที่บันทึกเกี่ยวกับซากวัตถุโบราณที่ถ่ายทอดวิทยายุทธ์ของราชวงศ์ก่อน!…
…ถ้าถือแผนที่ฉบับนี้ ก็จะมีโอกาสหาซากที่ถ่ายทอดวิทยายุทธ์จากสมัยก่อน จะได้รับวิทยายุทธ์ที่ในอดีตเคยหายสาบสูญ!”
ซากของวิทยายุทธ์ที่มาจากสมัยก่อน?
เยี่ยเว่ยหมิงได้ยินแล้วอดขมวดคิ้วไม่ได้ นึกขึ้นได้ถึงสมบัติตกทอดของนักกระบี่ที่ตู๋กูเจี้ยนทิ้งไว้ในถ้ำชิงอินก่อนหน้านี้ทันที
บางทีซากที่เชิญร่ำสุราพูดถึงอาจจะเป็นของที่คล้ายๆ กับการถ่ายทอดวิชาของตู๋กูเจี้ยน?
ตอนที่เยี่ยเว่ยหมิงกำลังสงสัย ก็ได้ยินซูไตจื่อพูดต่อ “ที่จริงนอกจากซากนั่นแล้ว ในบรรดาเจ็ดคนของสำนักฉวนเจินอาจจะมีคนได้ตำราลับวิทยายุทธ์สำเร็จรูปเล่มหนึ่งก็ได้ ว่ากันว่า NPC ที่แจกภารกิจนำมาจากซากวัตถุโบราณของราชวงศ์ก่อน”ดฮณ๊ฯดฯฌซ,
ขณะที่พูด ซูไตจื่อก็ย้ายสายตาไปที่ท้องฟ้ายามค่ำคืนนอกหน้าต่าง ราวกับกำลังนึกย้อนถึงฉากต่อสู้ตอนนั้น พร้อมกล่าวด้วยความรู้สึกกลัวที่ค้างอยู่ในใจ “วิชาของพวกเขาเรียกว่า ‘หัตถ์ผลักภูเขา’ อานุภาพน่าทึ่งมาก แม้ตอนนั้นจะประมือกันเพื่อหยั่งเชิงเฉยๆ แต่หากสู้กันเอาเป็นเอาตายจริงๆ ข้าเกรงว่าจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา”
พอฟังถึงตรงนี้ ในที่สุดโหยวโหยวที่นั่งอยู่ข้างกายก็อดพูดแทรกไม่ได้ “ในเมื่อซากวัตถุโบราณนั่นมีอยู่จริง อีกทั้งแผนที่ก็เหมือนจะมีค่ามากด้วย เช่นนั้นพวกเขาไปสำรวจเองไม่ดีกว่าหรอกหรือ ทำไมต้องนำออกมาแลกเปลี่ยนกับคนอื่น อย่างอื่นยังไม่ต้องพูดถึง อย่าบอกนะว่าถ้าไม่มีสหายเยี่ยเข้าร่วมประลอง อาศัยแค่พวกเราหกคนแล้วจะพลิกผลการประลองไม่ได้?…
…พวกเขาไม่กลัวทุ่มทุนแล้วไม่ได้กลับมาเลยหรือ”
เชิญร่ำสุรายักไหล่ แล้วเผยรอยยิ้มหยอกล้อ “เพราะเจ็ดคนของสำนักฉวนเจินที่เข้าร่วมการประลองยุทธ์หอหมอกพิรุณมีความสัมพันธ์ที่ไม่ดีต่อกัน ถึงขั้นมีความขัดแย้งกันใหญ่โตมาก…
…สาเหตุที่ครั้งนี้เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันได้ ก็เพราะมี NPC สำนักคุมอยู่ พวกเขาแค่สามัคคีกันชั่วคราวในการประลองใหญ่หอหมอกพิรุณเท่านั้น…
…ดังนั้น การแบ่งแผนที่ซากวัตถุโบราณฉบับนี้ เดิมทีก็เป็นปัญหาที่ยากมากสำหรับพวกเราอยู่แล้ว ในเมื่อวันนี้นำมันมาแลกเป็นผลประโยชน์ที่ทุกคนมีร่วมกันได้ ก็ย่อมไม่มีใครคัดค้าน”
เยี่ยเว่ยหมิงพยักหน้า จากนั้นบอกว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ สหายเชิญร่ำสุรารู้เรื่องราวละเอียดขนาดนี้ได้อย่างไร”
เชิญร่ำสุรายิ้มบางๆ “ก็เพราะเป้าหมายแรกที่พวกเขาเลือกจะแลกเปลี่ยนแผนที่นั่นด้วย ที่จริงแล้วก็คือข้าไง!…
…หลังจากถูกข้าปฏิเสธ ถึงได้นำแผนที่ของซากวัตถุโบราณของราชวงศ์ก่อนฉบับนั้นไปจ้างคนของเมืองเทียนอี้ให้ลงมือจัดการเจ้า”
เมื่อได้ฟังคำอธิบายของเชิญร่ำสุรา เยี่ยเว่ยหมิงก็พลันเข้าใจ
เพราะถ้าพูดจากมุมมองของอีกฝ่าย เชิญร่ำสุราเป็นเป้าหมายที่ดีที่สุดในการแลกเปลี่ยนจริงๆ
เมื่อเทียบกับเยี่ยเว่ยหมิงที่จัดการยากกว่า เชิญร่ำสุราขอเพียงมีผลประโยชน์ลงตัว ก็จะไม่ถือสาที่จะแกล้งต่อสู้แพ้ อีกทั้งตัวเขาเองก็เป็นยอดฝีมือที่มีสุดยอดวิชาอยู่แล้ว ถ้าใช้เขาควบคุมเยี่ยเว่ยหมิง เช่นนั้นก็เท่ากับควบคุมยอดฝีมือฝั่งเจ็ดประหลาดแห่งเจียงหนานได้คราเดียวสองคน ไม่ว่าจะมองอย่างไร ก็ดีกว่าให้พวกเมืองเทียนอี้อย่างเลี้ยงบาสลงห่วงลงมือเอง โอกาสชนะมีเยอะกว่ามาก
หลังจากคลายปริศนาทุกอย่างแล้ว เยี่ยเว่ยหมิงก็จดจำชื่อ ‘เมืองเทียนอี้’ ไว้ในสมุดเล่มเล็กเงียบๆ จากนั้นก็เรียกให้ทุกคนดื่มสุราและรับประทานอาหารด้วยกัน
เพื่อเพิ่มความสามารถให้ก้าวหน้าขึ้นอีกก้าวก่อนต่อสู้ วันต่อมาเยี่ยเว่ยหมิงกก็ตั้งทีมเจ็ดคนไปโจมตีดันเจี้ยนที่เหลือของจวนลู่ติ่งกงด้วยกัน
ในเมื่อเตรียมตัวเพื่อการประลองใหญ่หอหมอกพิรุณแล้ว สมาชิกที่เข้าร่วมก็ย่อมยึดเพื่อนร่วมทีมของการประลองใหญ่หอหมอกพิรุณเป็นหลัก นอกจากเยี่ยเว่ยหมิง โหยวโหยว เชิญร่ำสุรา ฉางซิงอวี่และซูไตจื่อ ห้าคนที่เป็นผู้ประลองของหอหมอกพิรุณ เยี่ยเว่ยหมิงก็ยังพาสะพานสวรรค์น้อยกับซานเย่ว์ไปด้วย
เป้าหมายแรกที่เขาท้าสู้ แน่นอนว่าเป็น BOSS ที่ฝีมือแย่ที่สุดในสี่ดันเจี้ยนใหญ่ ไห่ต้าฟู่นั่นเอง
สิ่งที่ทำให้เยี่ยเว่ยหมิงคิดไม่ถึงก็คือ ไห่ต้าฟู่ที่พวกเขาเจอครั้งนี้ท่าทางเหมือนอายุน้อยกว่าที่เจอครั้งก่อนประมาณยี่สิบกว่าปี ตอนนี้อายุประมาณยี่สิบ เป็นช่วงเวลาที่ร่างกายสมบูรณ์แข็งแรงที่สุดในชีวิต!
เมื่อเทียบกับยอดฝีมือคนอื่น แม้บนตัวไห่ต้าฟู่จะขาดอวัยวะไปอย่างหนึ่ง แต่ตอนนี้เขากลับไม่มีโรคภัยอะไร เป็นช่วงเวลาที่ศักยภาพแข็งแกร่งที่สุดอย่างแท้จริง
อีกทั้งข้างกายเขาก็ยังมีองครักษ์ในพระราชวังอีกห้าสิบคน องครักษ์พวกนี้ล้วนเป็นมอนสเตอร์อีลิทที่เลเวลหกสิบขึ้นไป แม้จำนวนคนจะไม่เยอะเท่าของน้องเล็กอ๋าวป้าย แต่ด้านคุณภาพกลับเหนือกว่าหนึ่งระดับ
ค่าสเตตัสของไห่ต้าฟู่ก็น่ากลัวสุดๆ เช่นกัน
[ไห่ต้าฟู่]
ยอดฝีมือในพระราชวัง ผู้สืบทอดของสำนักคงต้ง นิสัยชั่วร้าย ถนัดใช้พิษ
เลเวล: 95
พลังชีวิต: 1200000/1200000
กำลังภายใน: 310000/310000
…
ไห่ต้าฟู่ในช่วงที่ร่างกายสมบูรณ์ เลเวลและค่าสเตตัสไม่ด้อยกว่าอ๋าวป้าย!
ดังนั้น เขาจึงกุมหมัดคารวะอีกฝ่ายก่อน แล้วกล่าวอย่างสุภาพว่า “ไห่กงกง จุดประสงค์ของพวกเราครั้งนี้คงไม่ต้องพูดอะไรมากแล้ว แต่ก่อนที่จะลงมืออย่างเป็นทางการ ผู้น้อยยังมีจุดหนึ่งที่ไม่กระจ่าง หวังว่าผู้อาวุโสจะชี้แนะ”
“อ้อ?” ไห่ต้าฟู่ในวัยหนุ่ม ผู้ที่พบเห็นมองไม่ออกถึงความมืดครึ้มตอนวัยชราใกล้เข้าโลงกลับเหมือนขันทีส่วนใหญ่ในละครทีวีที่สายตาเฉียบคม ความสามารถสูงส่ง เชิดหน้าสูงเหมือนใช้รูจมูกมองคน ถามอย่างดูถูกว่า “คำถามอะไร”
เยี่ยเว่ยหมิงพยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นถามคำถามที่อีกฝ่ายคาดคิดไม่ถึง “ทำไมเจ้าไม่ใส่แมสก์! ”
เมื่อเยี่ยเว่ยหมิงตะโกนถามออกมา ผู้เล่นทั้งเจ็ดคนก็เคลื่อนไหวพร้อมกัน!
……
รายละเอียดตอนต่อสู้ไม่มีอะไรควรค่าให้บรรยาย
แค่ดูจากตัวเลขอย่างเดียวก็รู้แล้วว่าไห่ต้าฟู่ร่างแท้กับอ๋าวป้ายร่างแท้ฝีมือต่างกันไม่มาก ไม่ว่าจะเป็นศักยภาพเดิมของตัวเองหรือพลังต่อสู้โดยรวมของพวกน้องๆ ข้างหลังเขา
ตอนโจมตีอ๋าวป้ายก่อนหน้านี้ ก็มีเพียงเยี่ยเว่ยหมิงกับโหยวโหยวสองคน แน่นอนว่าต้องรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องล่วงหน้า และกำหนดกลยุทธ์แบบพุ่งเป้าหมาย แล้วค่อยร่วมมือกันอย่างรู้ใจเพื่อบรรลุเป้าหมายในการฆ่าศัตรู
แต่ตอนนี้ เพื่อนร่วมทีมที่มีศักยภาพเหมือนโหยวโหยว เยี่ยเว่ยหมิงมีหกคน!
องครักษ์พระราชวังพวกนั้นที่ไห่ต้าฟู่พามา มีหรือที่จะเป็นคู่ต่อสู้ของยอดฝีมือเจ็ดคนที่ร่วมมือกัน
ตัวเขาเอง นอกจากทักษะยุทธ์ของตัวเองแล้ว สิ่งเดียวที่ควรค่าให้คนหวาดกลัวก็คือกระบี่ยาวอาบยาพิษหนึ่งเล่ม
แต่ผู้เล่นฝั่งนี้ยังมีเยี่ยเว่ยหมิงที่หมื่นพิษไม่กล้ำกรายไม่ใช่หรอกหรือ
หลังจากเยี่ยเว่ยหมิงค้นพบความร้ายกาจของกระบี่พิษก็ก้าวขึ้นมาข้างหน้าเพื่อรับมือกับ BOSS คนนี้ทันที ให้คนอื่นๆ ไปจัดการพวกลูกสมุนก่อน
อาศัยฝีมืออันน่าทึ่งและค่าสเตตัสต้านพิษที่เรียกได้ว่าเป็น BUG ของตัวเอง ต่อให้เยี่ยเว่ยหมิงสู้กับไห่ต้าฟู่ตัวต่อตัวก็เป็นฝ่ายได้เปรียบทุกอย่างอยู่ดี กระทั่งเพื่อนๆ ในทีมกำจัดพวกลูกสมุนตายเกลี้ยงแล้ว ยอดฝีมือทั้งเจ็ดถึงได้ล้อมโจมตีพร้อมกัน
ไห่ต้าฟู่ ไปสู่สุคติ!
[ติ๊ง! ทีมของคุณสังหารไห่ต้าฟู่ BOSS เลเวล 95 สำเร็จ ผ่านทุกด้านของดันเจี้ยน ‘ขันทีผู้แข็งแกร่ง’ โดยสมบูรณ์ ได้รับรางวัล: ค่าประสบการณ์ 3000000 แต้ม ค่าตบะ 300000 แต้ม!]
[ประกาศระบบ: ผู้เล่นสำนักมือปราบเทพ เยี่ยเว่ยหมิง ผู้เล่นสำนักถังเหมิน โหยวโหยว ผู้เล่นสำนักดาวดึงส์ เชิญร่ำสุรา…]
……
หลังจากผ่านการต่อสู้ครั้งนี้ เยี่ยเว่ยหมิงก็รับรู้ถึงศักยภาพของเพื่อนร่วมทีมชั่วคราวได้อย่างตรงไปตรงมามากขึ้น
ในจำนวนนั้น เชิญร่ำสุรากับฉางซิงอวี่เขาค่อนข้างคุ้นเคย ตอนนี้ก้าวหน้าขึ้นจากพื้นฐานเดิมเยอะมาก ส่วนซูไตจื่อคนนั้นกลับเป็นยอดฝีมือวิชาดาบที่ไม่ธรรมดาคนหนึ่ง อีกทั้งวิชาดาบที่เขาถนัดยังมีมากถึงสามวิชา!
แบ่งเป็น
วิชาที่ถนัดใช้โจมตี ‘วิชาดาบศีลแตก’
วิชาที่ถนัดใช้ป้องกัน ‘วิชาดาบเสวียนเปย’
รวมทั้งวิทยายุทธ์ระดับสูงที่เรียนมาตั้งแต่แรก ‘วิชาดาบเผาไม้’ !
วิชาดาบทั้งสามล้วนเป็นสุดยอดทักษะของสำนักเส้าหลิน ส่วน ‘วิชาดาบเชือดวัว’ ที่เขาเรียนมาจากจางอาเซิงกลับไม่ได้ตั้งใจฝึกเลย หลังจากเรียนวิชาดาบเส้าหลินที่คุณภาพสูงกว่า เขาก็ทิ้งมันไปโดยสิ้นเชิง ตอนนี้เลเวลของมันยังต่ำที่สุดอีกด้วย
หลังจากการต่อสู้จบลง หลวงจีนที่เชี่ยวชาญวิชาดาบคนนี้ก็มีจิตวิญญญาณของผู้ที่ไม่อายที่จะเอ่ยถาม เป็นฝ่ายขอคำชี้แนะจากเยี่ยเว่ยหมิงก่อน “สหายเชิญร่ำสุรากับสหายฉางกล่าวชมมาตลอดว่าเจ้ามีวิสัยทัศน์ที่ไม่เหมือนใคร ตอนนี้พอเห็นศึกใหญ่กำลังจะมาถึง เจ้าคิดว่าข้าควรนำค่าตบะที่ได้จากการบุกดันเจี้ยนไปใช้กับวิชาไหนจะเหมาะกว่า”
“วิชาดาบเผาไม้!” เยี่ยเว่ยหมิงตอบอย่างตรงไปตรงมา “ความเห็นของข้าก็คือ ถ้าเจ้าเพิ่มเลเวลวิชาดาบให้ถึงเลเวลเก้าได้ก่อนการประลองใหญ่ เช่นนั้นก็จะสมบูรณ์แบบมากแล้ว”
ซูไตจื่อได้ยินแล้วตาเป็นประกายทันที “สหายเยี่ยมั่นใจในชัยชนะครั้งนี้เต็มที่เลยหรือ”
เยี่ยเว่ยหมิงได้ยินแล้วยิ้มเย้ย “ในเมื่ออีกฝ่ายใช้กลอุบายกับข้าขนาดนั้น มีหรือที่ข้าจะปล่อยให้พวกเขาสมปรารถนา” ขณะที่พูด เยี่ยเว่ยหมิงก็เตะบนร่างของไห่ต้าฟู่แล้ว เสร็จขั้นตอนการคลำศพ
ของที่ดรอปจากตัวศพครั้งนี้ก็ทำให้เยี่ยเว่ยหมิงตาลุกวาวเช่นกัน
มองไม่ออกเลยว่าขันทีน่าตายคนนี้จะรวยมาก!