ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ - ตอนที่ 64 สำนักคุ้มภัย
ตอนที่ 64 สำนักคุ้มภัย
พลังงานด้านบวกบนตัวคนคนหนึ่งส่งต่อได้ อารมณ์ด้านลบก็ติดต่อกันได้เช่นกัน
หกคนนี้เพิ่งจะก้าวเข้าประตูใหญ่ของสำนักคุ้มภัยฝูเวย เพราะได้รับผลกระทบจากบรรยากาศอึมครึมในสำนักคุ้มภัย อารมณ์กระหยิ่มยิ้มย่องจากการเป็นสุนัขวางอำนาจจึงเริ่มเปลี่ยนเป็นหนักใจแล้ว
ในสำนักคุ้มภัยฝูเวยที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ จำนวนคนย่อมไม่น้อยอยู่แล้ว ทว่าบนใบหน้าของคนเหล่านี้กลับมองไม่เห็นความโกรธแม้แต่น้อย บนใบหน้าทุกคนเขียนไว้เพียงอารมณ์ด้านลบ อย่างเช่นหวาดกลัว เศร้าสลด สิ้นหวัง ด้วยสีหน้าอารมณ์เหล่านี้ ทำให้บรรยากาศทั้งสำนักคุ้มภัยดูหดหู่ไร้ชีวิตชีวา ราวกับว่าท้องฟ้าที่อยู่เหนือศีรษะจะพังทลายลงมาได้ทุกเมื่อ
สิ่งเดียวที่แตกต่างก็คือ ชายหนุ่มรูปงามคนหนึ่งที่ถูกมัดไว้บนเสาธงในลานสำนัก
หน้าตาของเขาสะอาดบริสุทธิ์มาก ลักษณะใบหน้าเผยความมีสติปัญญา ดูจากลักษณะภายนอกอย่างเดียวก็แทบจะจับผิดอะไรไม่ได้ หนุ่มน้อยเยาว์วัยอย่างเขา ถ้าเติบโตอยู่ในวงการบันเทิง ต่อให้ไม่มีทักษะการแสดง อาศัยใบหน้าหล่อเหลาขาวใสอย่างเดียวก็ทำเงินได้เกินร้อยล้านอยู่ดี
ทว่าหนุ่มน้อยสุดหล่อที่ดูเหมือนฝีมืออ่อยด้อยคนนี้ ในเวลานี้กลับแสดงความกล้าหาญที่เหนือกว่าทุกคนออกมา แม้ร่างจะถูกมัดอยู่บนเสาธง แต่กลับตะโกนใส่ชายวัยกลางคนที่พุ่งมาตรงหน้าเขาด้วยเสียงดังไม่หยุดว่า “ท่านพ่อ! ท่านปล่อยข้าออกไปเถอะ ข้าจะไปสู้กับสารเลวพวกนั้นสักตั้ง! พวกเขาไม่เพียงแค่ฆ่าคน ทั้งยังเดิมพันว่าประตูใหญ่ของสำนักคุ้มภัยฝูเวยจะต้องมีเสียงด่าไม่หยุดด้วย รังแกกันเกินไปแล้ว!”
“หุบปาก! เจ้ามักลูกอกตัญญู!” ชายวัยกลางคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาถลึงตาจ้องหนุ่มน้อยสุดหล่ออย่างดุดัน จากนั้นก็สะบัดชายเสื้อ หันไปต้อนรับพวกเยี่ยเว่ยหมิง ใบหน้าที่เดิมทีหงุดหงิดเริ่มเจียดรอยยิ้มที่ไม่น่ามองออกมา “ผู้น้อยหลินเจิ้นหนานแห่งสำนักคุ้มภัยฝูเวย ไม่ทราบว่าท่านขุนนางทั้งหลายมาที่นี่เพราะมีอะไรจะกำชับขอรับ”
เมื่อเห็นท่าทางกร้านโลกของหลินเจิ้นหนาน ซานเย่ว์มีความคิดอยากถอยหลังและปล่อยให้เยี่ยเว่ยหมิงรับหน้าที่เจรจาแทน แต่พอนึกถึงสถานะหัวหน้าทีมของตัวเองตอนนี้ นางก็แข็งใจกล่าวว่า “พวกเราคือมือปราบจากสำนักมือปราบเทพ มาที่นี่เพราะได้ยินว่าสำนักคุ้มภัยฝูเวยเกิดคดีฆาตกรรมต่อเนื่อง จึงได้รับคำสั่งให้มาสืบหาความจริง เพียงแต่เพิ่งมาครั้งแรก ยังไม่เข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้น หวังว่าเจ้าสำนักคุ้มภัยหลินจะให้ความร่วมมือสักหน่อย”
“เฮ้อ…” เมื่อได้ฟังจุดประสงค์ในการมาของพวกเขา หลินเจิ้นหนานก็ถอนหายใจยาวเฮือกหนึ่ง ก่อนจะบอกว่า “แต่ไหนแต่ไรมา สำนักคุ้มภัยฝูเวยของพวกเราทำธุรกิจที่ช่วยเหลือผู้อื่นมาตลอด ไม่เคยมีเรื่องมีราวกับใคร จู่ๆ ครั้งนี้ก็ประสบภัยพิบัติเช่นนี้…”
ไม่รอให้หลินเจิ้นหนานพูดจบ ซานเย่ว์ก็ตัดบทเขาเสียก่อน “เจ้ากำลังโกหก!”
หลินเจิ้นหนานได้ยินแล้วอึ้งไปชั่วขณะ ในที่สุดก็ซานเย่ว์ที่ได้แสดงความสามารถที่ตนถนัดก็กล่าวต่อว่า “พวกเราในฐานะมือปราบของสำนักมือปราบเทพ ย่อมเข้าใจทักษะการสังเกตพฤติกรรมมนุษย์มาบ้าง สิ่งที่ผู้อื่นกล่าวจะจริงหรือเท็จ แค่ข้าฟังก็รู้แล้ว”
เยี่ยเว่ยหมิงแอบกดไลก์ให้ซานเย่ว์ในใจ ก่อนจะกล่าวเสริมอยู่ข้างๆ อย่างถูกจังหวะ “เจ้าสำนักคุ้มภัยหลินเองก็ทราบดีว่าตัวเองไปมีเรื่องกับศัตรูที่ร้ายกาจเข้าแล้ว หากตอนนี้ยังไม่กล่าวออกมาอีก เกรงว่าพวกเราก็คงช่วยเจ้าไม่ได้เช่นกัน”
“เอ่อ…”
เมื่อถูกซานเย่ว์เปิดโปงคำโกหก หลินเจิ้นหนานแทนที่จะตกใจกลับดีใจ
ก่อนหน้านี้เขายังนึกว่าคนจากสำนักมือปราบกับจวนว่าการที่บุกเข้ามาเหล่านี้จะจับโจรไม่ได้ ไม่ต่างอะไรกับพวกปาท่องโก๋เฒ่าที่เก่งแต่รังแกประชาชน จึงไม่คาดหวังอะไรกับพวกเขาเลย แต่นึกไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะมีความสามารถในการแยกแยะจริงเท็จได้ คาดว่าสำนักมือปราบเทพจะต้องแตกต่างจากสำนักอื่นแน่นอน
หลังจากลังเลไม่ถึงหนึ่งวินาที หลินเจิ้นหนานก็ตัดสินใจแล้ว “ทุกท่านตามข้ามาคุยกันที่โถงรับแขก” พูดจบก็มองหลินผิงจือที่ถูกมัดอยู่บนเสาธงพริบตาหนึ่ง พร้อมกำชับคล้ายไม่ใส่ใจว่า “ปล่อยเจ้าลูกอกตัญญูคนนี้ลงมาด้วย เรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นเพราะเขา บางเรื่องก็มีเพียงเขาที่พูดได้กระจ่างที่สุด”
หลังจากหลินเจิ้นหนานเชิญพวกเขาเข้าโถงรับแขก ก็ไม่ได้นั่งบนเก้าอี้ไท่ซือ[1]ที่เดิมทีเป็นของเขา แต่เชิญทุกคนไปนั่งทางฝั่งซ้ายของโถงรับแขกอย่างถ่อมตัว ก่อนจะพาบุตรชายไปนั่งบนเก้าอี้ฝั่งขวาของโถงรับแขก
ตั้งแต่สมัยโบราณ ล้วนมีหลักการฝั่งซ้ายอยู่บน ฝั่งขวาอยู่ล่างมาตลอด หลินเจิ้นหนานผ่านการเข้าสังคมมานาน จึงจัดการปัญหาเรื่องศักดิ์ศรีหน้าตาได้อย่างรอบคอบไร้ช่องโหว่
ใช้เวลาประเดี๋ยวเดียว หลินเจิ้นหนานเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้พวกเขาฟังรอบหนึ่ง สถานการณ์คร่าวๆ ก็เป็นไปตามบรรทัดฐานในนิยายยอดยุทธ์คุณธรรมดั้งเดิม
หลินผิงจือ หนุ่มน้อยสุดหล่อระดับไอดอลซึ่งเป็นบุตรชายของหลินเจิ้นหนาน ตอนขากลับหลังจากออกไปรับงานคุ้มกัน ก็เจอหญิงชาวบ้านถูกคนชั่วลวนลาม เขาลงมือช่วยเหลือด้วยเพราะเคืองแค้นต่อความไม่เป็นธรรม แต่กลับถูกเหยียดหยามเนื่องจากสู้อีกฝ่ายไม่ได้
บทแรกของเรื่องราวก็เป็นไปตามแบบฉบับของงานเขียน นั่นก็คือวิจารณ์ก่อนแล้วค่อยชมเชย ในบรรดาคนที่อยู่ตรงนี้ นอกจากเยี่ยเวี่ยหมิงที่พอจะเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดมาบ้างแล้ว สายตาของผู้เล่นคนอื่นที่มองหลินผิงจือก็ราวกับกำลังมองต้นขาทองคำเหลืองอร่ามระยิบระยับ
นี่ก็คือโหมดการเติบโตอันราบรื่นสุขสบายของตัวเอกในเค้าโครงเรื่อง ขาดแค่คำว่า ‘อย่าดูถูกเด็กหนุ่มที่ยากจน’ ก็จะก้าวเข้าสู่เส้นทางที่ผงาดขึ้นมาโดยวิธีการผิดธรรมชาติแล้ว
ทว่าการกระทำของหลินผิงจือกลับเจ๋งกว่าตัวเอกส่วนใหญ่ คนที่หล่อเหลาอย่างเขา ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นตัวละครโหดที่พอลงมือขึ้นมาก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง
หลังจากถูกเหยียดหยาม คุณชายหลินก็ไม่ได้กล่าวบทพูดประมาณว่ายอมแบกรับความอัปยศ แต่ระเบิดอารมณ์ออกมาตรงนั้นเลย
ก็เลยใช้วิธี ‘หันกลับมา ไม่พบดาบผี’ ลอบแทงอันธพาลพวกนั้นตายแล้ว
ทว่าพวกเขาได้ก่อหายนะใหญ่โตแล้ว
สำนักคุ้มภัยฝูเวยมีคนตายต่อเนื่องกันหลายคน มีทั้งผู้คุ้มภัยทั้งคนงาน อีกฝ่ายถึงขั้นทิ้งตัวอักษรเลือดไว้นอกประตูใหญ่ว่า ออกจากประตูสิบก้าว ตาย!
เมื่อหายนะใหญ่มาเยือน แต่จนกระทั่งตอนนี้หลินเจิ้นหนานยังไม่มีทางยืนยันได้ว่าอีกฝ่ายเป็นเทพปราชญ์มาจากที่ใด จึงถูกความกลัวจากความไม่รู้ครอบงำ ทั้งสำนักคุ้มภัยฝูเวยล้วนตกอยู่ในความหวาดกลัว
จะว่าไปแล้ว เยี่ยเว่ยหมิงเข้าเกมมาได้ไม่นาน ภารกิจขนาดใหญ่สองครั้งที่ได้รับล้วนเป็นสำนักคุ้มภัยที่ถูกเล่นงานอย่างสาหัส
ในยุทธภพนี้ ทำไมสำนักคุ้มภัยถึงดวงซวยขนาดนั้น?
หลังจากเล่าสถานการณ์จบแล้ว หลินเจิ้นหนานก็บ่นลูกชายหน้าหล่อของตัวเองอีกครั้งอย่างอดไม่ได้ “ข้าเคยสอนเจ้าเด็กนี่ไว้แล้ว ว่าถ้าทำอาชีพสำนักคุ้มภัย หลักทำนองคลองธรรมสำคัญกว่าทักษะยุทธ์ แต่เขาดันไม่เชื่อฟัง ครั้งนี้ก่อหายนะใหญ่ขาดนี้ ช่างเป็นเคราะห์ร้ายของตระกูลจริงๆ!”
หลินผิงจือไม่มีเหตุผลมากพอให้โต้แย้ง แต่ยังอดเถียงไม่ได้ “ดูอย่างสำนักคุ้มภัยทงเทียน ข้าก็ไม่เคยเห็นเขาส่งของขวัญให้สำนักไหน ก็ยึดหลักการ ‘ทุกการคุ้มภัยต้องถึงจุดหมาย’ เหมือนกันไม่ใช่หรือ”
สำนักคุ้มภัยทงเทียน ชื่อนี้เยี่ยเว่ยหมิงก็เคยเห็นข้อมูลมาจากสำนักมือปราบเทพเช่นกัน บรรยายรายละเอียดไว้เยอะมาก พูดให้ฟังง่ายๆ ก็คือ เก่งกาจมาก!
ดูจากข้อมูลภูมิหลังก็รู้แล้วว่าอีกฝ่ายไม่ได้อยู่ในระดับพื้นๆ เหมือนสำนักคุ้มภัยหลงเหมินกับสำนักคุ้มภัยฝูเวยที่เอะอะก็เจอภัยฆ่าล้างสำนัก
แน่นอน สำนักคุ้มภัยทงเทียนก็เคยเผชิญกับการฆ่าล้างสำนักมาก่อนเช่นกัน
ตามข้อมูลที่สืบค้นได้ บันทึกกล่าวไว้ว่ามีโจรภูเขาปล้นขบวนคุ้มกันทงเทียนสิบเจ็ดครั้ง ถึงขนาดว่าแม้แต่โจรม้าทุ่งหญ้าก็เคยแตะต้องสินค้าที่สำนักคุ้มภัยทงเทียนคุ้มกันส่งเช่นกัน แต่พวกที่กล้ากระตุกหนวดเสือแตะต้องฝ่ายอำนาจในยุทธภพ ตอนนี้ก็เหลือเพียงข้อมูลในบันทึกโบราณแล้ว
พูดถึงการฆ่าล้างสำนัก ที่สำนักคุ้มภัยทงเทียนเผชิญเรียกว่าฆ่าล้างสำนักอื่นต่างหาก ส่วนสำนักคุ้มภัยหลงเหมินกับฝูเวยเป็นประเภทที่ถูกฆ่าล้างสำนัก
ต่างกันอักษรเดียว ผิดกันพันลี้!
สไตล์การทำงานของสำนักคุ้มภัยทงเทียนก็เป็นอย่างนี้ ไม่สวามิภักดิ์ต่อใคร ไม่เคารพกฏที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษรใดๆ ในยุทธภพ
หากอยากจะลงมือก็ต้องให้ข้ากับเจ้าได้รู้จักกันสักหน่อย แล้วข้าก็จะส่งเจ้าไปรู้จักกับยมทูตสิบขุมนรก!
เมื่อได้ยินบุตรชายเถียง หลินเจิ้นหนานก็โมโหจนหนวดตั้ง “เจ้าเด็กทราม ทักษะอ่อนด้อยเหมือนแมวสามขาของเจ้า ยังกล้าไปเทียบกับสำนักคุ้มภัยทงเทียนอีกหรือ ทำไมไม่บินขึ้นฟ้าไปเสียเลยล่ะ”
“แค่กๆ”
เมื่อได้ยินชื่อของสำนักคุ้มภัยทงเทียน เยี่ยเว่ยหมิงกลับตาเป็นประกาย แต่เขาต้องยืนยันเรื่องบางอย่างก่อน จึงกระแอมขัดจังหวะ หลังจากดึงดูดความสนใจของทุกคนมาไว้ที่ตัวเองแล้ว ก็บอกหลินเจิ้นหนานว่า “เจ้าสำนักคุ้มภัยหลินบอกว่าการตายของคนในสำนักคุ้มภัยมีเงื่อนงำ ดูจากภายนอกไม่เห็นอาการบาดเจ็บอะไร จะอนุญาตให้ข้าชันสูตรศพเพื่อสืบหามูลเหตุได้หรือไม่”
[1] เก้าอี้ไท่ซือ 太师椅 เก้าอี้แบบโบราณของจีน ด้านหลังมีพนักพิง ด้านข้างมีที่เท้าแขน นิยมใช้ในหมู่ขุนนาง