ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ - ตอนที่ 65 กู้สถานการณ์
ตอนที่ 65 กู้สถานการณ์
“แม้ภายนอกจะมองไม่ออกว่ามีอาการบาดเจ็บใดๆ บนตัวผู้ตาย แต่หัวใจของเขากลับฉีกขาดแล้ว คำอธิบายที่สมเหตุสมผลอย่างเดียวที่ข้านึกออกก็คือ ถูกยอดฝีมือในยุทธภพใช้กำลังภายในระเบิดหัวใจ ตายกะทันหัน!”
ขณะใช้น้ำร้อนที่คนงานเตรียมไว้มาล้างมือให้สะอาด เยี่ยเว่ยหมิงก็ประกาศผลชันสูตรศพให้ทุกคนรู้ไปด้วย
หลังจากล้างมือเสร็จ เขาก็รับผ้าขนหนูสะอาดจากมือคนงานมาเช็ดมือให้แห้ง พอวางผ้าขนหนูลง เยี่ยเว่ยหมิงก็พูดต่อว่า “ในยุทธภพมีทักษะยุทธ์ที่มีพลังทำลายล้างน่ากลัวไม่น้อย แต่ทักษะยุทธ์ที่สร้างบาดแผลประหลาดเช่นนี้ได้กลับมีไม่มาก เชื่อมโยงกับสิ่งที่นายน้อยหลินประสบก่อนหน้านี้ ฝ่ามือทะลวงใจของสำนักชิงเฉิงก็ดูจะเป็นไปได้มากที่สุด”
หลังจากได้รู้เนื้อเรื่องล่วงหน้าจากอินปู้คุย เยี่ยเว่ยหมิงก็ย่อมรู้ว่านี่คือสิ่งที่สำนักชิงเฉิงเขียนเอง แต่เนื่องจากจรรยาบรรณของเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมาย เขาจึงไม่ได้ตัดสินชี้ขาดเพียงเพราะถูกสปอยล์เนื้อเรื่องมา
ก่อนที่จะมีหลักฐานพิสูจน์ว่าผู้ร้ายคือใครสักคนในสำนักชิงเฉิง สำนักชิงเฉิงก็เป็นได้เพียงถูกกำหนดให้เป็นผู้ต้องสงสัย หรือไม่ก็ผู้ต้องสงสัยอันดับหนึ่งเท่านั้น
“ฝ่ามือทะลวงใจ?” ถือคติว่าได้เห็นกับตาถึงจะเชื่อว่าจริง หลินเจิ้นหนานที่ได้เห็นการชันสูตรศพของเยี่ยเว่ยหมิงทั้งกระบวนการ ในที่สุดก็ไม่คิดเพ้อเจ้ออะไรเกี่ยวกับความจริงอีก เขาหย่อนก้นนั่งบนพื้น กล่าวด้วยสีหน้าหดดหู่เหมือนคนตาย “ไม่ผิดหรอก เป็นฝ่ามือทะลวงใจไม่ผิดแน่! เป็นสำนักชิงเฉิง เป็นสำนักชิงเฉิงแน่นอน…นี่…ตกลงควรจะทำอย่างไรกันแน่”
ตอนนี้หนุ่มน้อยสุดหล่อหลินผิงจือกลับเผยสีหน้าเด็ดเดี่ยว กล่าวอย่างไม่ถ่อมตัว หรือแข็งกร้าวเกินไป “ท่านพ่อ ในเมื่อจะนั่งหรือนอนก็ตายเหมือนกัน ไม่สู้พวกเราไปสู้ตายกับเขาสักตั้งดีกว่า!”
“ลูกทรพี หุบปากให้ข้าเดี๋ยวนี้!”
หลินผิงจือไม่เคยเห็นด้านเฉียบขาดขนาดนี้ของบิดามาก่อน พอถูกเขาตะคอกใส่ ก็ห่อเหี่ยวลงทันที
ตอนนี้เยี่ยเว่ยหมิงกล่าวขึ้นข้างๆ อย่างไม่รีบร้อน “หากอีกฝ่ายคือสำนักชิงเฉิง ต่อให้พวกเรารวมกันก็ยังสู้ไม่ได้อยู่ดี ถ้าอยากกู้สถานการณ์ คงเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่ยอมจ่ายอะไรเลย…จัดการยากแล้ว!”
กู้สถานการณ์?!
หลินเจิ้นหนานที่จมอยู่กับความสิ้นหวังจับประเด็นสำคัญในคำพูดของเยี่ยเว่ยหมิงได้ทันที ราวกับคว้าจับเส้นฟางช่วยชีวิตเอาไว้ได้ ในดวงตาชราที่เดิมทีขาดพลังชีวิต ตอนนี้เผยประกายแห่งความหวังขึ้นมาในชั่วพริบตาเดียว เขาลุกพรวดขึ้นจากพื้น แล้วถามอย่างฮึกเหิมว่า “ใต้เท้าเยี่ย ท่านมีวิธีการกู้สถานการณ์แล้วหรือ”
“ขอเพียงท่านช่วยชีวิตทุกคนของสำนักคุ้มภัยเราได้ ข้ายินดีจ่ายทุกอย่างเพื่อการนี้!”
เมื่อเห็นอีกฝ่ายมีท่าทางเช่นนี้ เยี่ยเว่ยหมิงก็รู้สึกเสียดายแทนเจ้าสำนักคุ้มภัยหลินผู้นี้ แม้ฐานะของเขาจะเป็นผู้คุ้มภัยที่เดินทางอยู่ในยุทธภพ แต่ส่วนลึกของจิตใจกลับขาดความเข้มแข็งแบบคนในยุทธภพ กลับเหมือนพ่อค้าคนหนึ่งมากกว่า เขาวางตัวและทำงานโดยยึดความเชื่อมั่นในอัธยาศัยไมตรีและทรัพย์สินเสมอมา
คนประเภทนี้ หากดำรงชีวิตอยู่ในยุคที่สงบสุข จะต้องมีแต่ความเจริญรุ่งเรืองแน่นอน ต่อให้เป็นยุทธภพที่เต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดนี้ เขาก็พัฒนากิจการครอบครัวที่บรรพบุรุษทิ้งไว้ให้เติบโตยิ่งใหญ่ได้เช่นกัน
ต่อให้ไม่มี ‘ตำรากระบี่พิชิตมาร’ เล่มนั้น เพียงอาศัยเพียงทักษะการเข้าสังคมของเขา ก็อาจจะทำได้ดีกว่าก็ได้ แล้วยังใช้ชีวิตไปจนถึงบั้นปลายได้อย่างราบรื่น…
เยี่ยเว่ยหมิงส่ายหน้า ไม่ไปคิดถึงสิ่งที่ไม่มีมูลความจริงเหล่านั้นอีก ถามหลินเจิ้นหนานไปตรงๆ ว่า “ในเมื่อเจ้าสำนักคุ้มภัยหลินยินดีจะจ่าย เช่นนั้นเรื่องราวก็กลายเป็นง่ายขึ้นแล้ว แม้จะยังมีความเสี่ยงอยู่ แต่โอกาสสำเร็จก็สูงมาก”
หลินเจิ้นหนานแสดงท่าทีทันที “ใต้เท้าเยี่ยเชิญกล่าวมาได้เลย”
หลังจากยิ้มบางๆ เยี่ยเว่ยหมิงที่ทำให้อีกฝ่ายอยากรู้เต็มที่แล้วก็ตอบตามตรงว่า “วิธีการของข้าก็คือ…สำนักคุ้มภัยทงเทียน!”
ที่แท้ เยี่ยเว่ยหมิงก็มีอีกหนึ่งแผนการสำหรับภารกิจครั้งนี้ เพียงแต่หลังจากได้ยินว่าสำนักคุ้มภัยทงเทียนคือตัวเลือกที่ดีที่สุด แผนการเดิมที่สุดแสนอันตรายนั่นก็ถูกเขาปัดทิ้งอย่างไม่ลังเลทันที
เมื่อได้ยินเยี่ยเว่ยหมิงเอ่ยถึงสำนักคุ้มภัยทงเทียน หลินเจิ้นหนานก็แทบจะนับถือหนุ่มน้อยมือปราบที่อยู่ตรงหน้านี้แล้ว ต้องทราบไว้ว่าสำนักคุ้มภัยทงเทียนนี้ ไม่ใช่สำนักที่ใครจะปีนป่ายขึ้นไปตีสนิทด้วยก็ได้!
ขณะที่กำลังเฝ้าคอยอย่างใจจดใจจ่อ หลินเจิ้นหนานก็เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงหยั่งเชิง “ใต้เท้าเยี่ยกับสำนักคุ้มภัยทงเทียนมีการไปมาหาสู่กันหรือ”
“เปล่าหรอก!” เยี่ยเว่ยหมิงตอบอย่างตรงไปตรงมา
หลินเจิ้นหนานรู้สึกวู่วามอยากจะด่าแม่เสียตรงนั้นเลย แต่เมื่อเห็นทีมหกคนที่แข็งกร้าวดุดันของเยี่ยเว่ยหมิง เขาก็ไม่ลังเลที่จะดับความคิดอันไม่ปรองดองนี้เสีย แล้วอธิบายด้วยรอยยิ้มจืดเจื่อน “สำนักคุ้มภัยทงเทียนแล้วอย่างไรล่ะ ด้วยฐานะในยุทธภพของสำนักคุ้มภัยฝูเวย แค่บอกว่าอีกฝ่ายคือเพื่อนร่วมอาชีพที่เป็นศัตรูกันก็ยังฟังดูโอ้อวดเกินไปเลย จะเอาความสามารถจากไหนไปทำให้พวกเขาออกหน้าช่วยเหลือ”
เมื่อเห็นว่าเจ้าสำนักคุ้มภัยหลินท่านนี้เจาะเข้ามาถึงทางตันแล้ว เยี่ยเว่ยหมิงก็หัวเราะแห้ง เกลี้ยกล่อมว่า “ข้าถึงได้บอก ว่ามีราคาต้องจ่ายนิดหน่อย”
หลินเจิ้นหนานส่ายหน้าถอนหายใจต่อไป “สำนักคุ้มภัยฝูเวยของพวกเรา นอกจากทรัพย์สินในตระกูลจำนวนเล็กน้อยแล้ว จะมีสิ่งใดที่เข้าตาสำนักคุ้มภัยทงเทียนได้ แล้วสำนักคุ้มภัยทงเทียนก็ขาดเงินเสียที่ไหนกัน”
“นี่ไม่ใช่ปัญหาว่าขาดเงินหรือไม่ขาดเงิน” เยี่ยเว่ยหมิงกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “สำนักคุ้มภัยทงเทียนเปิดประตูทำการค้า ขอเพียงพวกเรามีเงินค่าจ้างคุ้มภัยก็เป็นลูกค้าได้แล้ว พวกเขาไม่มีทางปฏิเสธกำไรที่อุตส่าห์มาส่งให้ถึงหน้าประตู เพียงแต่มือปราบเล็กๆ อย่างพวกเราไม่มีทรัพย์สินอะไร เงินค่าจ้างคุ้มภัยนี้ต้องให้เจ้าสำนักคุ้มภัยหลินคิดหาวิธีการเอง”
จนกระทั่งตอนนี้ หลินเจิ้นหนานก็เพิ่งเข้าใจเจตนาของเยี่ยเว่ยหมิง “ท่านหมายความว่า พวกเราต้องใช้ฐานะผู้จ้างเพื่อไหว้วานให้สำนักคุ้มภัยทงเทียนส่งพวกเราไปยังสถานที่ปลอดภัยอย่างนั้นหรือ”
“ไม่ๆๆ…” เยี่ยเว่ยหมิงส่ายนิ้วไปมา “นายน้อยหลินต้องตามพวกเราไปที่สำนักมือปราบเทพสักรอบในฐานะที่เป็นผู้ต้องสงสัยที่ก่อคดีนอกเมือง และในฐานะพยานปากสำคัญคดีฆาตกรรมต่อเนื่องสำนักคุ้มภัยฝูเวย หากเจ้าสำนักคุ้มภัยกับฮูหยินไม่วางใจ ก็ไปพร้อมกันได้ในฐานะพยาน”
เมื่อได้ฟังเยี่ยเว่ยหมิงกล่าวเช่นนี้ หลินเจิ้นหนานก็เรียกได้ว่าแสดงสีหน้าอารมณ์มากมาย “ใต้เท้าเยี่ยหมายความว่า พวกท่านจะจับตัวลูกชายข้า ทั้งยังให้ข้าออกเงินไหว้วานสำนักคุ้มภัยทงเทียนให้ส่งเขาไปที่สำนักมือปราบเทพด้วย?”
สำหรับคำถามของหลินเจิ้นหนาน เยี่ยเว่ยหมิงตอบด้วยสำเถียงภาษาถิ่นแถบเหนือ “แม่นแล้ว!”
หลินเจิ้นหนานพยายามข่มไฟโทสะของตัวเอง เตือนตัวเองไม่หยุดว่า สู้ไม่ไหวก็ต้องใจเย็นเข้าไว้ แล้วถามว่า “หากข้าไม่ยอมออกเงินก้อนนี้ล่ะ”
“เช่นนั้นพวกเราก็อยากช่วยแต่ไร้ความสามารถ” เยี่ยเว่ยหมิงยักไหล่อย่างอันธพาล “แต่ในฐานะเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายของราชสำนัก พวกเราจะต้องสืบขั้นตอนการก่อคดีของอีกฝ่ายให้ละเอียดแน่นอน เขียนรายงานสรุปแปดพันตัวอักษรส่งไปให้หวงโส่วจุน รอให้เขาส่งยอดฝีมือมาปฏิบัติหน้าที่ ล้างความอัปยศให้ทุกคนในสำนักคุ้มภัยฝูเวยของพวกเจ้า”
ตอนนี้เฟยอวี๋ก็กล่าวเสริมเช่นกัน “หรือไม่พวกเจ้าก็ลองเดินออกจากสำนักคุ้มภัยสักสิบก้าว มุ่งหน้าไปหาสำนักคุ้มภัยทงเทียนสาขาเมืองฝูโจว ไปขอการคุ้มครอง”
ครั้งนี้หลินเจิ้นหนานนับว่าสิ้นไร้หนทางโดยสิ้นเชิงแล้ว หากพวกเขามีความสามารถที่จะหนีรอดจากสำนักชิงเฉิง ยังจะมาตกอยู่ในสภาพสิ้นหวังเช่นนี้อีกหรือ
“ก็ได้ จัดการตามที่ใต้เท้าเยี่ยแนะนำ”
เมื่อได้ยินดังนั้น เยี่ยเว่ยหมิงกับเฟยอวี๋ก็ส่งสายตาให้กัน แล้วยกมุมปากยิ้มอย่างพอใจพร้อมกัน
แม้จะเป็นตอนนี้ เฟยอวี๋ก็ยังมองเยี่ยเว่ยหมิงเป็นคู่ต่อสู้คนสำคัญที่สุด แต่สิ่งนี้ก็ไม่เป็นอุปสรรคต่อความร่วมมือในการปฏิบัติงานของพวกเขา
ตอนแรกความคิดของหลินเจิ้นหนานเด็กน้อยไปหน่อย ภารกิจของสำนักมือปราบเทพก็คือให้พวกเยี่ยเว่ยหมิงมาสืบหาความจริงในคดีฆาตกรรมต่อเนื่องของสำนักคุ้มภัยฝูเวย ไม่ได้มาคุ้มครองความปลอดภัยให้คน
แน่นอน หากปกป้องคนพวกนี้ไม่ให้ตายได้ ก็ควรจะมีโบนัสรางวัลภารกิจ แต่ทำได้เพียงนับเป็นรายการเพิ่มเติมเท่านั้น พวกเขาไม่อาจใกล้เกลือกินด่าง ปล่อยให้ทุกคนของตระกูลหลินหลุดจากการควบคุมของพวกเขาอยู่แล้ว
นำตัวผู้เกี่ยวข้องในคดีอย่างหลินผิงจือกลับมาช่วยสืบหาความจริงที่สำนักมือปราบเทพ นี่สิถึงจะเป็นทางเลือกที่มีประโยชน์ต่อพวกเขามากที่สุด
ถึงตอนนั้น ต่อให้สำนักชิงเฉิงอยากจะมาหาเรื่อง แต่ก็มี NPC ระดับสูงของสำนักมือปราบเทพคอยต้านให้
ดูจากความสามารถที่หวงโส่วจุนแสดงก่อนหน้านี้ ก็รู้ว่า NPC ระดับสูงของสำนักมือปราบเทพนั้นไม่ได้ฝีมืออ่อนด้อยแต่อย่างใด และในเมื่อหวงโส่วจุนนั่นกล้าประกาศจัดระเบียบยุทธภพ คาดว่าอย่างน้อยก็น่าจะเก่งกว่าคนที่ชื่อว่าอวี๋ชางไห่อะไรนั่นนิดหนึ่งกระมัง?