ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ - ตอนที่ 70 อวี๋ชางไห่ปรากฏตัว
ตอนที่ 70 อวี๋ชางไห่ปรากฏตัว
[เคล็ดกระบี่กระบี่ลมสน (ไม่สมบูรณ์) (ระดับต้น)]
สุดยอดวิชาของสำนักชิงเฉิง มีทั้งความแข็งแรงและว่องไว เน้นความแข็งแรงดุจต้นสน เบาพลิ้วดุจสายลม
เงื่อนไขการโจมตี:
พละกำลัง 80 แต้ม
ความว่องไว 80 แต้ม
ท่าร่าง 80 แต้ม
ค่าตระหนักรู้ 25 แต้ม (ได้รับเพียงหนึ่งในสี่ท่าไม้ตายที่แกร่งที่สุดในเคล็ดกระบี่เท่านั้น)
…
[เคล็ดกระบี่กระบี่ลมสน (ไม่สมบูรณ์) (ระดับต้น)…(หนึ่งในสี่ท่าไม้ตายที่แกร่งที่สุดในเคล็ดกระบี่)]
[ลมสน…]
ข้อมูลแนะนำของตำราลับสี่เล่มแม้จะเหมือนกัน แต่กลับเก็บซ้อนรวมกันไม่ได้ จะเห็นได้ว่าไม่ใช่ไอเทมที่มีค่าสเตตัสเหมือนกัน
บางทีอาจต้องรวมรวบตำราลับให้ได้สี่เล่มเท่านั้น ถึงจะกลายเป็น ‘เคล็ดกระบี่กระบี่ลมสน’ ที่สมบูรณ์แบบได้?
และหากดูจากข้อมูลคร่าวๆ ของเคล็ดกระบี่ชุดนี้ ก็มีจุดให้บ่นมากมายเช่นกัน
เห็นอยู่ชัดๆ ว่าเป็นเคล็ดกระบี่ระดับต้น แต่ในข้อมูลแนะนำกลับบอกว่าเป็นสุดยอดวิชาอะไรสักอย่าง ดูท่าแล้วสำนักชิงเฉิงที่อยู่ในเกมนี้คงไม่มีทักษะยุทธ์อะไรที่นำออกมาโอ้อวดได้เลยจริงๆ ไม่แปลกใจที่พวกเขาคิดจะช่วงชิง ‘ตำรากระบี่พิชิตมาร’ ของตระกูลหลินอย่างสุดความสามารถ
[กระบี่ลายสน (สีฟ้า): ตัวกระบี่มีลวดลายละเอียดเหมือนเปลือกต้นสน เป็นกระบี่ยาวประจำสำนักชิงเฉิง
โจมตี +40
พละกำลัง +5
ความว่องไว +5
กำลังภายใน 10%]
เป็นรูปแบบของกระบี่ยาวประจำสำนักจริงๆ ค่าสเตตัสทั้งหมดอยู่ในระดับเดียวกับกระบี่หลงเฉวียนของสำนักมือปราบเทพ ไม่มีลักษณะพิเศษแม้แต่น้อย
แต่สิ่งที่ทำให้เยี่ยเว่ยหมิงอดแขวะไม่ได้จริงๆ ก็คือ ไม่น่าเชื่อว่า BOSS ทั้งสี่จะดรอปของเหมือนกันทุกอย่าง แม้แต่เงินก็คนละเก้าเหรียญทองเท่ากัน ไม่มากไม่น้อยไปกว่านี้
แบบนี้ยังจะกล้าเชื่อไหมล่ะ?
ตั้งแต่เกิดเรื่องจนกระทั่งตอนนี้ นอกจากผู้ออกแบบเกมจะขี้เกียจ เยี่ยเว่ยหมิงก็หาเหตุผลอื่นมาอธิบายปรากฏการณ์ประหลาดนี้ไม่ได้แล้ว
แน่นอน สาเหตุที่ผู้ออกแบบเกมกล้าขี้เกียจกับปัญหา คงเป็นเพราะเจ้าสี่คนนี้ไม่ได้สำคัญพอที่จะส่งผลกระทบต่อสถานการณ์ภาพรวม แม้แต่ผู้ออกแบบเกมก็ยังขี้เกียจจะสิ้นเปลืองความคิดไปกับพวกเขาสินะ?
จากนั้น เยี่ยเว่ยหมิงก็เก็บศพ BOSS ทั้งสี่ทีละศพ ได้รับ [‘ตระหนักรู้เคล็ดกระบี่’ ×4!]
คนในทีมของสำนักมือปราบเทพไม่ได้อยากได้ของดรอปนัก ทุกคนตัดสินใจร่วมกันว่าจะส่งให้หัวหน้าทีมซานเย่ว์เก็บรักษาไว้ก่อนชั่วคราว จากนั้นพวกเขาก็ต่างคนต่างกินยาเสริมค่าพลังชีวิตกับกำลังภายใน พาครอบครัวของหลินเจิ้นหนานเร่งเดินทางไปยังสำนักคุ้มภัยทงเทียนต่อไป
เลี้ยวผ่านถนนอีกสองสาย ในที่สุดทุกคนก็เห็นเขตลานบ้านขนาดใหญ่แห่งหนึ่งที่ล้อมด้วยกำแพงหินสีเขียว กำแพงที่ล้อมรอบเขตลานบ้านนี้สูงสองจั้ง มองเข้าไปจากส่วนยอดของกำแพง ก็จะเห็นตึกใหญ่โตรโหฐานสูงสามชั้นหลังหนึ่ง เป็นอาคารโบราณที่มีหลังคาสีแดงอิฐ อาจจะไม่ได้มีความรู้สึกแปลกใหม่มากนัก แต่กลับทำให้คนรู้สึกว่าเคร่งขรึมน่าเกรงขาม
ประตูใหญ่ของเขตลานบ้านกว้างมาก สูงประมาณสามจั้ง กว้างประมาณสองจั้ง รถเทียมม้าขนาดม้าแปดตัวลากยังเข้าไปได้อย่างสบายๆ ประตูใหญ่สีแดงสดสองบานเปิดอ้า บนประตูเลี่ยมหมุดใหญ่สีทอง ทำให้ผู้พบเห็นรู้ว่าเป็นสำนักคุ้มภัยที่จวนท่านอ๋องมาใช้บริการบ่อย
รูปปั้นสัตว์มงคลที่อยู่สองข้างประตูใหญ่ก็เป็นสิ่งที่พวกเขาไม่เคยเห็นมาก่อนเช่นกัน
หากเป็นสถานที่ทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นโรงเตี๊ยม ร้านน้ำชา หรือเรือนขุนนางชั้นสูง ปกติรูปปั้นสัตว์มงคลที่อยู่นอกประตูใหญ่จะมีสองตัว บางทีก็เป็นสิงโต บางทีก็เป็นปี่เซียะ หรือไม่ก็เป็นสัตว์มงคลอย่างอื่น แต่ของสำนักคุ้มภัยทงเทียนที่อยู่ตรงหน้านี้กลับแตกต่างกัน สัตว์มงคลที่อยู่ตรงประตูใหญ่หน้าพวกเขามีทั้งหมดสี่ตัว เป็นสองเท่าของเรือนอื่นพอดี นี่ไม่ใช่นิมิตหมายมงคลตามความหมายทั่วไป แต่เป็นสัตว์อสูรเลื่องชื่อสี่ตัว
ฮุ่นตุ้น![1]
ฉยงฉี![2]
เถาอู้![3]
เทาเที่ย![4]
สองฝั่งของประตูใหญ่ มีโคลงคู่ที่นุ่มนวลทว่าแข็งแกร่ง ความหมายน่าเกรงขาม ตัวอักษรมีกลิ่นอายสังหารพวยพุ่ง!
ข้อความฝั่งซ้าย: เบื้องบนส่งถึงตำหนักหลิงเซียว![5]
ข้อความฝั่งขวา: เบื้องล่างส่งถึงประตูนรก!
บนขื่อด้านบนประตูแขวนป้ายทองแดงไว้แผ่นหนึ่ง เขียนตัวอักษรขนาดใหญ่ไว้ว่า ‘สำนักคุ้มภัยทงเทียน’
เมื่อเห็นตั้งแต่ไกลๆ เยี่ยเว่ยหมิงก็รู้สึกได้ว่าลายมือที่เขียนอยู่บนนั้นเต็มไปด้วยวิทยายุทธ์อันลึกลับ เขาอยากจะมองอีกสักหลายๆ ครั้ง แต่กลับต้องย้ายสายตาหนีอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้ ราวกับว่าหากมองมากกว่านี้ ความรู้สึกแหลมคมเหมือนดาบที่ซ่อนอยู่ในนั้นจะยิงออกมาจนร่างเขาแหลกลาญเป็นชิ้นๆ
ทักษะเขียนอักษรช่างยอดเยี่ยมนัก ทักษะยุทธ์น่ากลัวมาก สำนักคุ้มภัยทงเทียนช่างชั่วร้ายนัก!
แต่สำหรับความสามารถที่สำนักคุ้มภัยทงเทียนแย้มพรายออกมา เยี่ยเว่ยหมิงไม่เพียงแค่ไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวอะไร บนใบหน้ากลับเผยรอยยิ้มโล่งอกด้วยซ้ำ
อย่างไรเสียพวกเขาก็มาที่นี่เพื่อจ้างให้คุ้มภัย ต่อให้อีกฝ่ายจะเกรี้ยวกราดอย่างไร แต่ก็ไม่ถึงขั้นทำอะไรลูกค้าอย่างพวกเขาหรอกกระมัง
ตรงกันข้าม การที่สำนักคุ้มภัยทงเทียนมีศักยภาพแข็งแกร่ง ก็แสดงว่าภารกิจคุ้มกันส่งพวกเขาครั้งนี้มั่นคงปลอดภัยโดยสมบูรณ์แล้ว!
ความคิดของเยี่ยเว่ยหมิงเป็นเช่นนี้ คนอื่นในทีมสำนักมือปราบเทพก็มีความคิดเช่นเดียวกับเขา
ตอนที่พวกเขากำลังโล่งใจ จู่ๆ กลับเห็นเงาดำแวบผ่าน คนรูปร่างเตี้ยม่อต้อคนหนึ่งมาคั่นอยู่ระหว่างพวกเขากับสำนักคุ้มภัยทงเทียนแล้ว
“เจ้าคนโง่พวกนี้ คิดจะอาศัยอิทธิพลของสำนักคุ้มภัยทงเทียนเพื่อหนีไปหรือ ช่างวางแผนได้เก่งเสียจริง” ทันใดนั้น คนชุดดำก็ปรากฏตัวพลางชักกระบี่ออกมาช้าๆ สายตาที่คมกริบดุจมีดก็กวาดมองบนตัวพวกเยี่ยเว่ยหมิง!
ทุกคนตรงนั้นที่ถูกเขากวาดตามองต่างก็รู้สึกอึดอัดไม่สบายตัวอยู่พักหนึ่ง แต่ละคนสายตาลอกแลก ไม่กล้าสบตากับอีกฝ่ายตรงๆ ถึงขั้นว่าคนที่เก่งสุดในทีมอย่างเยี่ยเว่ยหมิง ตอนที่สบตากับเขาก็ยังรู้สึกไม่มั่นใจอยู่เหมือนกัน
แบบนี้ไม่ได้!
ขี้ขลาดทั้งที่ยังไม่ได้ออกรบ แล้วศึกนี้จะสู้ต่อไปได้อย่างไร
ขณะกำลังอดทนหลบแรงดึงดูดอันทรงพลังในสายตาของอีกฝ่าย เยี่ยเว่ยหมิงนึกขึ้นได้ถึงวิธีการรวบรวมกำลังภายในไว้บนดวงตาที่จางชุ่ยซานเคยสอนเขาตอนอยู่บนเขาหวังผาน เขาทำตามวิธีการทันที ทำให้แรงกดดันที่อยู่ในสายตาของอีกฝ่ายหายไปเกินครึ่ง แม้จะยังถูกอีกฝ่ายจ้องไม่ละสายตา แต่ก็ยังพอปกป้องตัวเองได้
เมื่อสังเกตได้ว่าสายตาของเยี่ยเว่ยหมิงที่ตอนแรกหวาดกลัวเปลี่ยนเป็นสงบนิ่งแล้ว แววตาสังหารของคนชุดดำก็ยิ่งชัดเจนกว่าเดิม แต่ปากกลับบอกว่า “เจ้าหนูนี่ก็ไม่เลวนะ ดีกว่าเจ้ากากเดนพวกนั้นนิดหนึ่ง”
หลังจากชะงักไปครู่เดียว เขาก็เอ่ยต่อ “เป็นเจ้าลูกตะพาบนั่นฆ่าพี่น้องของสำนักชิงเฉิง รีบมารับความตาย!”
ก่อนหน้านี้คนอื่นในทีมตกใจลักษณะท่าทางของคนชุดดำ จึงไม่กล้าตอบไปชั่วขณะ ส่วนเยี่ยเว่ยหมิงที่เป็นหนังหน้าไฟก็เงียบไปสองวินาที ก่อนจะบอกว่า “ประเด็นนี้หนักเกินไปแล้ว ให้ผู้ใหญ่บ้านเจ้าออกมาคุยกันดีกว่า”
เมื่อสิ้นเสียงของเยี่ยเว่ยหมิง ทุกคนก็พบว่าเหนือศีรษะของอีกฝ่ายปรากฏข้อมูลคร่าวๆ แถวหนึ่ง
[อวี๋ชางไห่]
เจ้าสำนักชิงเฉิง ผู้เจนจบในยุทธภพ
เลเวล: 40
พลังชีวิต: 25000/25000
กำลังภายใน: 17000/17000
ในเกม ‘วีรบุรุษนิรันดร์กาล’ เป็นไปไม่ได้ที่เหนือศีรษะ NPC จะมีชื่อตัวใหญ่ปรากฏ ก็เหมือนกับผู้เล่นที่ไม่มีทางปรากฏชื่อไว้เหนือศีรษะตัวเอง
เพียงแต่มีอยู่สถานการณ์หนึ่งที่เป็นข้อยกเว้น คือเมื่อกำลังอยู่ในสถานะต่อสู้ ผู้เล่นจะมองเห็นชื่อรวมทั้งค่าสเตตัสพื้นฐานของ BOSS ได้
แน่นอนว่าไม่ใช่ BOSS ทุกคนที่คุณจะมองเห็นได้ ถ้า BOSS เลเวลสูงกว่าคุณมากเกินไป นอกจากชื่อแล้ว อย่างอื่นก็เป็นเครื่องหมายคำถามหมด เหมือนตอนสู้กับเซี่ยซุนที่เขาหวังผาน
การที่ชื่อกับค่าสเตตัสพื้นฐานของของคนชุดดำปรากฏอยู่ตรงหน้าทุกคน เช่นนั้นก็อธิบายอะไรบางอย่างได้แล้ว
ตอนนี้ทุกคนเข้าสู่สถานะต่อสู้แล้ว ส่วนอวี๋ชางไห่ที่อยู่ตรงหน้า ก็เปลี่ยนจาก NPC ที่คุยกันก่อนได้กลายเป็น BOSS ที่อยากจะฆ่าพวกเขาเพื่อความสะใจ!
สาเหตุที่เกิดสถานการณ์อย่างนี้ ที่จริงล้วนเป็นเพราะประโยคที่เยี่ยเว่ยหมิงทักทายอีกฝ่าย
อยู่ต่อหน้าคนตัวเตี้ยไม่ควรพูดอะไรยาวๆ!
เยี่ยเว่ยหมิงพูดเหมือนอีกฝ่ายเป็นเด็กน้อยคนหนึ่ง อวี๋ชางไห่ในฐานะเจ้าสำนักจะรับไหวได้อย่างไร หลังจากรูปแบบสถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว ร่างของเขาก็กลายเป็นเงาเลือนรางโผไปหาเยี่ยเว่ยหมิงทันที กระบี่ล้ำค่าในมือแทงตรงไปยังคอเยี่ยเว่ยหมิง
กระบี่ยังไม่ทันถึงตัว แต่ลมแรงที่กระพือขึ้นมาจากกระบี่ก็กดดันให้เขาหายใจลำบากแล้ว!
[1] ฮุ่นตุ้น 混沌 สัตว์อสูรผู้พิทักษ์แห่งขุนเขาของจีน มีหกขา ไร้หัว ไม่มีหน้า ขนฟูปุกปุย และมีปีกเล็กๆ ติดอยู่บนหลัง
[2] ฉยงฉี 穷奇 มีร่างกายเหมือนเสือและมีปีก ตามความเชื่อจีนเชื่อว่าเป็นสัตว์ที่นำพาความชั่วร้าย
[3] เถาอู้ 梼杌 รูปร่างเหมือนเสือ ใบหน้าแหมือนมนุษย์ มีเขียวหมูป่า
[4] เทาเที่ย 饕餮 มีใบหน้าเป็นคนร่างกายเป็นแพะ ดวงตาอยู่ใต้รักแร้ เขี้ยวพยัคฆ์กรงเล็บมนุษย์
[5] ตำหนักหลิงเซียว 凌霄殿 ตามตำนานของจีนกล่าวว่าเป็นพระราชวังของเง็กเซียนฮ่องเต้