ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ - ตอนที่ 90 การทดสอบของลู่ติ่งกง
ตอนที่ 90 การทดสอบของลู่ติ่งกง
ขายของ?
เขาไม่ได้มาเพื่อทำสิ่งนี้!
เยี่ยเว่ยหมิงส่ายหน้าเล็กน้อย กำลังคิดจะอธิบายให้ชัดเจน แต่กลับเกิดความคิดบางอย่างขึ้นมาอย่างฉับพลัน ถือโอกาสพูดไปตามสถานการณ์ว่า “จะว่าไปแล้ว ในมือข้าก็มีของสิ่งหนึ่งที่ไม่รู้ว่าจะใช้งานมันอย่างไร ไม่สู้ขอให้ลู่ติ่งกงช่วยดูสักหน่อยเป็นอย่างไร”
ขณะที่พูด เยี่ยเว่ยหมิงก็นำกระสอบใบหนึ่งที่เต็มไปด้วยขนสีเขียวออกจากห่อสัมภาระ เมื่อกระสอบใหญ่ใบนี้ปรากฏขึ้น กลิ่นเหม็นเตะจมูกก็อบอวลทั่วทั้งโถงรับแขกทันที
ชั่วขณะนั้น ทุกคนในห้องรวมทั้งลู่ติ่งกงถอยหลังไปหลายก้าวโดยจิตใต้สำนึก รักษาระยะห่างกับเยี่ยเว่ยหมิงแล้ว
แม้แต่เยี่ยเว่ยหมิงเอ็งก็ยังทำอะไรไม่ถูกกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันนี้
ต้องทราบไว้ว่าหลังจากของสิ่งนี้ตกอยู่ในมือเขา ก็ยังไม่เคยนำมันออกมาจากห่อสัมภาระเลย
ห่อสัมภาระของผู้เล่นล้วนเป็นกระเป๋ามิติ มีความมหัศจรรย์มาก ไม่เพียงแต่เก็บรักษาความสดใหม่ได้ตลอดเท่านั้น การปิดกั้นกลิ่นก็ย่อมไม่ต้องพูดถึงเลย
เมื่ออยู่ในกระเป๋ามิติประเภทนี้ เยี่ยเว่ยหมิงย่อมสัมผัสไม่ได้ว่าอานุภาพของสิ่งนี้จะน่ากลัวขนาดนี้
หลังจากยิ้มอย่างเก้อเขิน เยี่ยเว่ยหมิงก็คิดว่าทำพลาดแล้วก็ปล่อยเลยตามเลย อธิบายไปว่า “ตอนที่ข้ากำจัดโจรราคะภมรเด็ดดอกไม้ก่อนหน้านี้ ข้าได้รับมาจากตัวของอีกฝ่าย มันชื่อว่า ‘กระสอบข้าวแสนสาหัส’…
…เดิมทีข้าก็ไม่รู้ว่ามันแสนสาหัสตรงไหนกันแน่ พอมาดูตอนนี้แล้ว ตัวของมันเองเหมือนจะทำให้คนที่อยู่ใกล้ๆ รู้สึกทรมานแสนสาหัสได้”
หลังจาก ‘กระสอบข้าวแสนสาหัส’ ตกอยู่ในมือเยี่ยเว่ยหมิง เขาก็คิดว่าจะทำลายมันอย่างไร แต่บนกระสอบเขียนแนะนำไว้ชัดเจนว่า ‘ห้ามทิ้ง ห้ามขาย’ ทำให้เขาทำอะไรกับกระสอบข้าวใบนี้ไม่ได้เลย
ตอนที่สองสหายกำลังซื้อขายก่อนหน้านี้ จู่ๆ เยี่ยเว่ยหมิงก็ตระหนักได้ว่าการซื้อขายนี้ก็อาจจะถือเป็นภารกิจหนึ่งได้เช่นกัน
ในเมื่อตกลงซื้อขายกันไม่ได้ เช่นนั้นถ้าทำเป็นไอเทมภารกิจมอบให้ NPC ก็น่าจะไม่มีปัญหากระมัง
เพียงแต่พอมาดูตอนนี้ ปัญหาเหมือนจะใหญ่มาก
ลู่ติ่งกงได้ยินแล้วหันไปมองผู้ประเมินสินค้าที่ถูกเรียกว่าอาจารย์เจี่ยนทันที เจ้าตัวเอามือบีบจมูกพร้อม ตอบด้วยน้ำเสียงคลุมเครือว่า “ไม่มีราคาแม้แต่น้อย!”
เมื่อได้ยินอาจารย์เจี่ยนเสนอราคาเช่นนี้ ลู่ติ่งกงก็หันไปมองเยี่ยเว่ยหมิงทันที ให้เขาเก็บของกลับไปอย่างรู้กาลเทศะ
เมื่อได้เห็นท่าทีเช่นนี้ของลู่ติ่งกง เยี่ยเว่ยหมิงก็รู้ว่าความคิดของตัวเองล้มเหลวแล้ว ทำได้เพียงเก็บกระสอบข้าวแสนสาหัสกลับไปอย่างจนใจ “ที่จริงกระสอบข้าวเป็นเพียงสิ่งที่อยู่นอกเหนือความคาดหมาย ที่ข้ามาหาลู่ติ่งกงวันนี้ ที่จริงเป็นเพราะมีเรื่องสำคัญอีกเรื่องหนึ่ง”
ขณะที่พูดก็นำจดหมายแนะนำของโหยวจิ้นออกมา แล้วส่งให้ลู่ติ่งกงที่ยังเป็นชายหนุ่ม “ที่จริงนี่คือจดหมายของหัวหน้าโหยวแห่งสำนักมือปราบเทพ สาเหตุหลักที่ข้ามาวันนี้ก็คือเรื่องนี้”
เมื่อได้ยินชื่อของโหยวจิ้น ลู่ติ่งกงที่มีสีหน้าเย้ยหยันสังคมก็เก็บอาการทันที รีบนำจดหมายมาเปิดออก หลังจากอ่านอย่างละเอียดรอบหนึ่ง ก็พูดกับมือกระบี่เฟิงเหลยและวั่งเหยียนว่า “ต่อไปอาจจะเกี่ยวกับกิจธุระราชการบางอย่าง ถ้าทั้งสองไม่มีธุระอย่างอื่นแล้ว…”
“พวกเราขอกล่าวอำลาตรงนี้!”
เมื่อฟังออกว่าคำพูดของลู่ติ่งกงแฝงความหมายว่าส่งแขก ทั้งสองก็รีบเอ่ยขอตัวอย่างรู้กาลเทศะ ขณะที่กำลังเดินออกไปข้างนอก วั่งเหยียนกลับโค้งมุมปากยิ้มบางๆ “นึกไม่ถึงว่ากระสอบข้าวใบนี้จะตกอยู่ในมือของเขา น่าสนใจ”
มือกระบี่เฟิงเหลยได้ยินสหายรักพึมพำเสียงต่ำ ก็อดถามอย่างแปลกใจไม่ได้ “วั่งเหยียน เมื่อครู่จะพูดอะไร ข้าได้ยินไม่ชัดเจน”
“ไม่มีอะไร เจ้าฟังผิดแล้ว”
……
หลังจากมองคล้อยหลังสองคนนั้นหายไปจากสายตาแล้ว ลู่ติ่งกงก็บอกให้เยี่ยเว่ยหมิงนั่งลงอีกครั้งอย่างมีอัธยาศัยไมตรี แล้วถามว่า “นายท่านโหยวให้สหายเยี่ยมาที่นี่เรื่องอะไรกันแน่”
เยี่ยเว่ยหมิงได้ยินแล้วอึ้งไปชั่วขณะ “เขาพูดไว้ในจดหมายแล้วไม่ใช่หรือ”
“ข้าไม่รู้หนังสือ” ลู่ติ่งกงตอบ
เยี่ยเว่ยหมิง: Σ(っ°Д°;)っ
คนที่รูปลักษณ์ภายนอกดูเหมือนเด็กหนุ่มอันธพาลในตลาดคนหนึ่งกลายเป็นขุนนางบรรดาศักดิ์กงขั้นหนึ่งของราชสำนัก เดิมทีนี้ก็เป็นเรื่องที่เหลวไหลมากอยู่แล้ว ผลปรากฏว่าไม่น่าเชื่อ ขุนนางบรรดาศักดิ์กงท่านนี้ยังไม่รู้หนังสืออีกด้วย!
เรื่องนี้เจ้ากล้าเชื่อไหมล่ะ
เยี่ยเว่ยหมิงข่มความปรารถนาที่จะพูดแขวะในใจเอาไว้ แล้วเล่าจุดประสงค์คร่าวๆ ในการมาครั้งนี้ให้อีกฝ่ายฟัง ก่อนจะแบมือยักไหล่อย่างคนฉลาด “สถานการณ์โดยละเอียดเป็นเช่นนี้ เข้ามาเพื่อขอให้ลู่ติ่งกงช่วย แน่นอนว่าอิงตามที่นายท่านโหยวบอกไว้ หากลู่ติ่งกงประสบปัญหาอะไร ก็มอบหมายให้ข้าจัดการได้”
“ไอ๊หยา!” ลู่ติ่งกงได้ยินแล้วตบต้นขาหนึ่งฉาด ลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้ แล้วบอกว่า “เช่นนั้นก็ดีเลย! หากมีสหายเยี่ยช่วยเหลือ ก็เหมือนบนตัวเสือมีปีกไก่งอกจริงๆ…”
การเปรียบเปรยแบบนี้ทำให้ใบหน้าเยี่ยเว่ยหมิงเต็มไปด้วยขีดดำ
บนตัวเสือมีปีกไก่งอกคืออะไรกัน
เจ้าอยากจะพูดว่าเหมือนเสือติดปีก หรืออยากจะพูดว่ายัดไก่ลงหม้อตุ๋นไม่ไหวกันแน่
เพียงแต่การมาขอร้องให้คนช่วยจัดการธุระให้ ก็ย่อมไม่อาจบ่นต่อหน้าได้ เยี่ยเว่ยหมิงได้แต่ยิ้มรับ
เหอะๆ!
และหลังจากลู่ติ่งกงท่านนี้เยินยอเยี่ยเว่ยหมิงไปสองสามประโยค ก็เปลี่ยนประเด็นสนทนาทันที “ไม่ปิดบังความจริง ก่อนหน้านี้ไม่นานในวังหลวงเกิดเหตุขโมยของล้ำค่า ฝ่าบาททรงมอบหมายเรื่องนี้ให้ข้าจัดการ ข้ากำลังว้าวุ่นใจเพราะเรื่องนี้อยู่พอดีเลย สหาย”
“วังหลวงเกิดเหตุขโมยของ?” เยี่ยเว่ยหมิงคอยส่งบทให้
“ไม่ผิดหรอก” คนหนุ่มลู่ติ่งกงผู้ไม่รู้หนังสือกล่าวอย่างจนใจมาก “ตามคำบอกเล่าขององครักษ์ในวัง พวกเขาถูกคนตบดัง ‘เพียะ’ สลบโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว หลังจากฟื้นขึ้นมาถึงได้พบว่าคลังสมบัติถูกขโมยของแล้ว”
“เสียงดัง ‘เพียะ!’ เลยหรือ” เยี่ยเว่ยหมิงถาม
“ที่จริงแล้วเงียบเชียบไร้เสียง ข้าเพียงรู้สึกว่าพูดเช่นนี้แล้วจะสมจริงขึ้นกว่าเดิมหน่อย อย่าใส่ใจเลย” ลู่ติ่งกงกล่าว
นี่เจ้าแน่ใจนะว่าตอนนี้กำลังเล่ารายละเอียดคดีให้ข้าฟัง
ยังมีอีก นี่ตกลงเจ้าจะให้ข้าสนใจหรือไม่สนใจกันแน่
เยี่ยเว่ยหมิงอ้อมผ่านปัญหาอันน่าสับสนนี้ไป แล้ววิเคราะห์ว่า “ดังนั้น จะบอกว่าหัวขโมยเป็นยอดฝีมือในยุทธภพอย่างนั้นหรือ”
“ยอดฝีมือระดับสูงหลายคนที่ข้ารู้จักก็กล่าวเช่นนี้”
“อ้อ?”
“อย่าสนใจรายละเอียดพวกนี้เลย” ลู่ติ่งกงท่านนี้เหมือนจะรู้สึกได้เช่นกันว่าเยี่ยเว่ยหมิงถามเช่นนี้เพราะรู้สึกรำคาญนิดหน่อย จึงกระแอมปรับเสียงให้ชัดเจนแล้วกล่าวว่า “เข้าประเด็นหลักกันเถอะ เนื่องจากศัตรูมีความสามารถไม่ธรรมดา เพื่อหลีกเลี่ยงการบาดเจ็บล้มตายที่ไม่จำเป็น น้องชายหวังว่าก่อนที่สหายเยี่ยจะรับภารกิจ ก็ต้องพิสูจน์ความสามารถของตัวเองก่อนสักหน่อย”
พูดจาได้น่าฟัง แต่ความจริงก็คือการทดสอบก่อนรับภารกิจนั่นแหละ
หากไม่ผ่านการทดสอบ ก็จะไม่มอบหมายภารกิจให้ อะไรประมาณนั้น
แต่เพื่อหลีกเลี่ยงความยุ่งยากในการเปลี่ยนอุปกรณ์ต่างๆ เยี่ยเว่ยหมิงจึงให้ความร่วมมือ “ลู่ติ่งกงอยากจะให้ข้าพิสูจน์อย่างไร”
“สหายเยี่ยเชิญตามข้ามา”
……
อันธพาลลู่ติ่งกงที่ไม่รู้หนังสือคนนี้พาเยี่ยเว่ยหมิงเดินเข้าไปในลานด้านข้างแห่งหนึ่งในจวนขุนนางบรรดาศักดิ์กง ในลานด้านข้างมีสิ่งปลูกสร้างรูปสี่เหลี่ยมสีดำหลังหนึ่ง ข้างหน้ามีประตูเหล็กขนาดใหญ่สี่บาน บนประตูทุกบานเขียนตัวอักษรตัวใหญ่เอาไว้ ได้แก่
ขันทีผู้แข็งแกร่ง!
ปาถูหลู่!
หนึ่งกระบี่โลหิตสาด!
อายุยืนเทียมฟ้า!
ขณะชี้ประตูบานใหญ่ทั้งสี่ตรงหน้า ลู่ติ่งกงก็กล่าวว่า “ขอเพียงสหายเยี่ยผ่านบททดสอบของประตูบานใดก็ตามในสี่บานนี้ ก็จะถือว่าผ่านด่านแล้ว จะรับภารกิจคดีพระราชวังถูกปล้นได้”
“ส่วนจะบุกตะลุยด่านไหน สหายเยี่ยก็เลือกเองได้เลย”