ผมเป็นเขย(ผู้ไม่ธรรมดา) - บทที่ 45 พวกเธอรีบกลับบ้านไปนอนซะ
“ผมเป็นแค่ลูกเขยของตระกูลเจียง” ฉินเฟยกล่าว เมื่อได้ยินดังนั้นพ่อบ้านซุนก็เต็มไปด้วยความประหลาดใจและสับสน
ลูกเขยของตระกูลเจียง?
เท่าที่เขารู้ ในลูกหลานสายตรงของตระกูลเจียง มีลูกสาวทั้งหมด 3 คน คนแรกคือเจียงเฟิ่งซวงซึ่งเป็นลูกสาวของคุณย่าเจียง ว่ากันว่าเธอได้แต่งงานกับนักธุรกิจธรรมดาในเซี่ยงไฮ้ รุ่นต่อมาคือเจียงเยว่เสี่ยซึ่งเป็นลูกสาวของท่านสองที่เสียชีวิตไปแล้ว เจียงเยว่เสี่ยยังไม่ได้แต่งงาน
สำหรับคนสุดท้าย…
จู่ๆ พ่อบ้านซุนก็เงยหน้าขึ้น สีหน้าเต็มไปด้วยความตกใจและสับสนกว่าเดิม “คุณ คุณก็คือลูกเขยขี้แพ้ของตระกูลเจียงน่ะเหรอ?”
“ใช่ ผมเป็นลูกเขยขี้แพ้ของตระกูลเจียง” ฉินเฟยพยักหน้าโดยไม่หลบเลี่ยง
เมื่อพูดออกมาเช่นนี้ ก็ทำให้คนในตระกูลเจียงทุกคนก้มหน้าด้วยความละอายใจ
นี่คือไอ้ขี้แพ้ที่พวกเขาเยาะเย้ยและด่ากราด แต่ตอนนี้เขากลับใช้ความสามารถอันทรงพลังพลิกสถานการณ์ทวงคืนศักดิ์ศรีของตระกูลเจียงกลับมาได้
ตอนนี้ตระกูลซุนได้ตัดขาดความสัมพันธ์อย่างสมบูรณ์ ไร้ประโยชน์ที่จะร้องขอความเมตตา หากตระกูลซุนทำลายวิลล่าของตระกูลเจียงจริงๆ ตระกูลเจียงก็จะจบลงแล้วจริงๆ!
“ฮ่า ผมดูพลาดไปเอง แต่คุณรู้ไหมว่าสิ่งที่คุณทำในวันนี้มีแนวโน้มที่จะทำลายตระกูลเจียงอย่างย่อยยับ? ตระกูลซุนจะไม่ปล่อยคุณไป!” พ่อบ้านซุนพูดอย่างเย็นชา
ทันทีที่เขาพูดจบ ทุกคนในตระกูลเจียงก็ตกใจ
“ท่านสามที่คุณพูดถึง เป็นเจ้าบ้านตระกูลซุนเหรอ หรือว่าคำพูดของคุณจะเป็นตัวแทนของตระกูลซุนได้? ฉินเฟยพูดยิ้มเยาะ
เท่าที่ฉินเฟยรู้ ผู้นำที่แท้จริงคนปัจจุบันของตระกูลซุน น่าจะเป็นท่านสอง แน่นอน ท่านสองมีทรัพยากรอยู่ในมือมากกว่า แต่ยังเป็นผู้นำตระกูลซุนไม่ได้
กองกำลังและกิจการส่วนใหญ่ของตระกูลซุน มีการควบคุมโดยสองพี่น้อง นอกจากท่านสองและท่านสามแล้ว ตระกูลซุนยังมีระบบจัดตั้งที่สำคัญที่สุด….การประชุมตระกูล
ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นท่านสองหรือท่านสาม สิ่งที่พวกเขาพูดไม่สามารถเป็นตัวแทนของตระกูลซุนทั้งหมดได้ การตัดสินใจที่สำคัญทั้งหมดของตระกูลซุนจะต้องได้รับการอนุมัติจากการประชุมตระกูล
แม้ว่าความแข็งแกร่งของตระกูลเจียงจะสู้ตระกูลซุนไม่ได้ แต่ก็ยังเป็นตระกูลที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานหลายทศวรรษ
หากตระกูลซุนต้องการจัดการกับตระกูลเจียงอย่างเบ็ดเสร็จ ก็จำเป็นต้องได้รับความยินยอมจากการประชุมตระกูล!
“คุณ!” พ่อบ้านซุนเบิกตากว้างและพูดอย่างเย็นชา “ผมเป็นตัวแทนของตระกูลซุนไม่ได้อยู่แล้ว แต่เมื่อล่วงเกินท่านสาม มันแตกต่างกับล่วงเกินตระกูลซุนทั้งหมดยังไง?”
“ฮ่าฮ่า” ฉินเฟยหัวเราะอย่างไม่แยแส “คุณเป็นตัวแทนของตระกูลซุนไม่ได้ และผมก็เป็นตัวแทนของตระกูลเจียงไม่ได้เช่นกัน”
“แต่พ่อของผมไม่อนุญาตให้คุณแขวนนาฬิกาเรือนใหญ่ที่นี่ ผมก็จะไม่อนุญาต!”
ว่าแล้ว ฉินเฟยก็เตะอย่างแรงดัง ‘โครม’ นาฬิกาสีเลือดขนาดเท่าตัวคนกระเด็นออกจากห้องโถง หลังจากลอยไปไกลกว่าสิบเมตร มันก็ตกลงในลานวิลล่าอย่างแรง แตกกระจายเป็นชิ้นๆ!
ในห้องโถงของวิลล่า ได้ยินเพียงเสียงหอบหายใจเท่านั้น
เจ้าหมอนี่เป็นสัตว์ร้ายหรืออย่างไร? เมื่อครู่นาฬิกาเรือนใหญ่นี้ต้องใช้นักสู้สองคนแบกเข้ามา แต่เขาแค่เตะเพียงครั้งเดียวก็กระเด็นออกไปแล้วงั้นหรือ?
เสิ่นหัวอ้าปากค้าง พูดไม่ออกแม้แต่ประโยคเดียว
ถ้าจะพูดถึงเรื่องนี้ เธอยอมรับว่าเธอเป็นคนเดียวที่รู้จักฉินเฟยดีที่สุด!
แต่เขายังเป็นลูกเขยขี้แพ้แบบที่เธอพูด ถูกตนเยาะเย้ยและด่ากราดมาถึงสามปีอยู่ไหม?
สมาชิกในตระกูลเจียงที่อยู่รอบๆ ก็หวาดกลัวเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มเพื่อนซี้ที่เดินตามหลังเจียงเฉิงเย่ ได้หลบซ่อนอยู่ข้างหลังคนอื่นอย่างเงียบๆ อดปาดเหงื่อไม่ได้ อยากจะมุดลงไปหลบในรูเหลือเกิน
บัดซบ นี่คือการทำตัวเงียบๆ ในตำนานงั้นหรือ? อดทนต่อการเยาะเย้ยและทำตัวเงียบๆ มาตลอดสามปี?
พวกเขาดีใจมากที่ตัวเองมีชีวิตอยู่ได้จนถึงตอนนี้
มีเพียงเจียงเฟิ่งหยุนเท่านั้นที่แววตาเต็มไปด้วยความปลื้มอกปลื้มใจ
เขารู้ว่าลูกเขยที่ตัวเองเลือก ไม่มีทางเลวร้ายแน่นอน!
“นี่ นี่…”
พ่อบ้านซุนจ้องมองอย่างว่างเปล่า นาฬิกาเรือนใหญ่กลายเป็นเศษชิ้นเล็กชิ้นน้อยเต็มลานวิลล่า เหงื่อเม็ดใหญ่ไหลลงมาจากหน้าผากของเขา
เจ้าหมอนี่เชี่ยวชาญเรื่องฮ่องกงฟุตเหรอ?
“กลับไปบอกซุนซานเย่ว่า หากคิดแตะต้องตระกูลเจียง พ่อของผมไม่ยอม ดังนั้น…ผมก็ไม่ยอมเช่นกัน!”
บ้าอำนาจ บ้าอำนาจสุดๆ
“ไอ้ ไอ้หนู โหดนัก ฉินเฟยใช่ไหม? ฝากไว้ก่อน!” พ่อบ้านซุนพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ แข็งนอกอ่อนใน
เมื่อเห็นใบหน้าเย็นชาของฉินเฟย พ่อบ้านซุนก็รู้สึกเย็นยะเยือกไปทั้งตัว เขาหันหลังกลับและวิ่งหนีไป
เมื่อวิ่งมาถึงลานบ้านก็หยุดลงอย่างกะทันหัน มองไปที่ฉินเฟยพร้อมกับยิ้มเยาะ “ฉินเฟย คุณย่าเจียง อย่าหาว่าผมไม่เตือนพวกคุณเลยนะ ท่านสามของเราต้องเอาเขาหลีเสวี่ยมาให้ได้ ผมแนะนำให้พวกคุณถอยดีกว่า ถ้าไม่อย่างนั้นพวกคุณต้องคิดถึงผลที่ตามมาให้ดีๆ!”
พูดจบก็กลัวฉินเฟยจะตามออกมาทำร้ายเขา จึงรีบขึ้นรถออฟโรดแล้วหลบหนีไป
สำหรับบอดี้การ์ดในห้องโถง ต่างพากันอ้าปากค้าง ข่มความเจ็บปวด ช่วยกันพยุงกันและกัน เดินกะโผลกกะเผลกออกไป ก่อนไปยังไม่กล้ามองฉินเฟย
“พ่อ พ่อไม่เป็นอะไรใช่ไหม?” เจียงเยว่ถงรีบวิ่งไปหาเจียงเฟิ่งหยุน แล้วช่วยพยุงเขาขึ้นมา
“ฉันไม่เป็นอะไร รีบไปดูสามีของเธอเถอะว่าเป็นอะไรหรือเปล่า” เจียงเฟิ่งหยุนได้เสิ่นหัวมาช่วยพยุง ชำเลืองมองไปที่ลูกสาวแล้วกล่าวขึ้น
“อ้อ” เจียงเยว่ถงพยักหน้า เมื่อเห็นว่าพ่อของเธอไม่เป็นอะไร จึงรีบเดินไปหาฉินเฟย
“เร็วเข้า รีบมารับผมสิ” พอเห็นเจียงเยว่ถงเข้ามา ฉินเฟยก็เร่งรัดเธอด้วยเสียงเบาๆ
สีหน้าของเจียงเยว่ถงเปลี่ยนไปเล็กน้อย รีบเข้าไปช่วยประคองฉินเฟย ใบหน้าที่เต็มไปด้วยคราบน้ำตาเต็มไปด้วยความกังวล มองพิจารณาฉินเฟยขึ้นลง “คุณเจ็บตรงไหนหรือเปล่า?”
“ตอนแรกไม่เจ็บหรอก แต่เมื่อกี้…รู้สึกขาชานิดหน่อย” ฉินเฟยพูดด้วยรอยยิ้มเจื่อนๆ
ใบหน้าของเจียงเยว่ถงชะงักงัน ทันใดนั้นเธอก็นึกถึงภาพที่ฉินเฟยเตะนาฬิกาสีแดงเลือดกระเด็นออกไป พลางพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “ใครให้คุณอวดเก่งอย่างนั้น?”
“ผมก็ไม่มีทางเลือกนี่ ถ้าไม่แสร้งทำแล้วจะข่มตาเฒ่านั่นได้เหรอ?”
“แสร้งทำ! คุณเสแสร้งอยู่ทุกวัน!” เจียงเยว่ถงคอยประคองฉินเฟยอย่างระมัดระวัง พลางพูดด้วยน้ำเสียงไม่เป็นมิตรและโอหัง “คุณยังมีเรื่องอะไรที่ปิดบังฉันไว้อีก?”
“ผมไม่ได้ปิดบังคุณนะ คุณรู้อยู่แล้วไม่ใช่เหรอว่าผมเป็นกังฟูน่ะ?”
เจียงเยว่เสี่ยที่มีท่าทีไม่แยแสอยู่ตลอดเวลา มองไปที่คนสองคนที่ช่วยพยุงกันและกันอยู่ที่ประตูห้องโถง ใบหน้าอันสวยงามของเธอเต็มไปด้วยความซับซ้อนที่ยากจะปิดบัง
ฉินเฟยในตอนนี้ ทำให้เธอตกใจอย่างที่สุด!
เธอกลับประเทศมาเมื่อ 5 ปีก่อน และอีก 2 ปีต่อมาฉินเฟยก็ ‘แต่งงาน’ เข้ามาในบ้าน
เธอแก่กว่าเจียงเยว่ถงหนึ่งปี ฉินเฟยเป็นพี่เขยของเธอ
แต่สำหรับพี่เขยไร้ประโยชน์คนนี้ที่ใครๆ ก็พากันหัวเราะเยาะ เจียงเยว่เสี่ยก็รู้สึกรังเกียจ และด้วยนิสัยใจคอของเธอ ในสามปีที่ผ่านมา ทั้งสองคนไม่เคยพูดอะไรกันเลย
อย่างไรก็ตาม โดยส่วนตัวแล้วเธอมีความสัมพันธ์ที่ดีกับเยว่ถงที่เป็นน้องสาวลูกพี่ลูกน้อง ทั้งสองคนนับว่าเป็นหญิงแกร่ง มีหัวข้อพูดคุยร่วมกัน แต่เจียงเยว่ถงนั้นไม่เหมือนกับเธอ เจียงเยว่ถงเป็นคนใจอ่อน พูดอย่างตรงไปตรงมาก็คือ ภายนอกเย็นชาแต่หัวใจอบอุ่น แล้วยังมีความกตัญญูมาก เธอเคยบอกว่าจะให้เยว่ถงรีบหย่ากับฉินเฟยโดยเร็วที่สุด
เพราะถ้าหากเป็นเธอ เธอทนไม่ได้เลยที่มีสามีขี้แพ้แบบนี้
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ฉินเฟยได้ทำมาในหลายวันนี้ได้เปลี่ยนความรับรู้ที่เธอเคยมีต่อฉินเฟยอย่างสิ้นเชิง!
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องที่ฮั่วจงเหยียนรังแกเยว่ถงคราวก่อน เธอไม่คาดคิดว่าฉินเฟยจะก้าวออกมา แถมยังเอาชนะฮั่วจงเหยียนได้อีกด้วย
เจียงเยว่เสี่ยก็เป็นผู้หญิงเช่นกัน เธอไม่ต้องการอะไรมาก ต้องการแค่ผู้ชายที่ทุ่มเทให้เธอ กล้าทำทุกอย่างเพื่อเธอเท่านั้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเธอมาจากครอบครัวพ่อแม่เลี้ยงเดี่ยว แม้ว่าเธอจะดูเย็นชาและรักษาระยะห่างจากผู้คนอยู่เสมอ แต่ในใจก็คาดหวังอย่างยิ่งที่จะได้รับความอบอุ่นจากการดูแลปกป้อง
ในเวลานี้เธอมองไปที่เยว่ถงและฉินเฟยที่กำลังกระซิบกระซาบหัวเราะกันด้วยสายตาอิจฉาที่ไม่อาจปิดบังไว้ได้…
…
เมื่อเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น งานวันเกิดก็ย่อมดำเนินต่อไปไม่ได้
ภายใต้การบัญชาการและคำสั่งของพ่อบ้าน คนรับใช้และเด็กรุ่นหลังหลายคนของตระกูลเจียงก็เริ่มเก็บกวาดทำความสะอาดในห้องโถงของวิลล่า
แขกที่มาร่วมฉลองวันเกิดทำได้เพียงพยายามทำตัวเป็นธรรมชาติ บอกลาคุณย่าเจียงเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
คืนนี้มีหลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้น มันยากสำหรับคุณย่าเจียงที่จะเข้าใจได้ในเวลาอันสั้น เธอยังแสร้งทำตัวเป็นธรรมชาติ ยืนอยู่ที่ประตูห้องโถงโดยมีเจียงเฟิ่งซวงคอยประคองไว้ คอยส่งแขกกลับพลางกล่าวขอโทษ…
เซียววี่ก็กลับไปแล้ว นำหยกนิ้วหัวแม่มือของอู๋กั๋วไท่กลับไปด้วย! แต่ฉินเฟยรู้สึกว่า ถึงอย่างไรเซียววี่ก็เป็นคนมีเหตุผล ไม่มีทางยักยอกหยกนิ้วหัวแม่มือไปจริงๆ หรอก?
เพียงแต่ว่า ตอนนั้นเซียววี่ได้บอกว่า หากเธออยากได้หยกนิ้วหัวแม่มือคืน ก็ต้องสัญญากับเธอเรื่องหนึ่ง แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไร ก็ถูกคนของตระกูลซุนบุกเข้ามาขัดจังหวะ
แต่ฉินเฟยมีลางสังหรณ์ว่าต้องมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นแน่นอน!
เจียงเฟิ่งหยุนได้รับบาดเจ็บ ฉินเฟยก็บอกว่าตัวเองได้รับบาดเจ็บเช่นกัน และทำท่าจะออกไป
คุณย่าเจียงไม่ได้รั้งไว้ แต่มองฉินเฟยด้วยแววตาซับซ้อน
เจียงเยว่ถงขับรถกลับไปที่หมู่บ้านเทียนหลัน แม้ว่าฉินเฟยจะถูกคนทั้งห้ารุมล้อมเตะไปหลายครั้ง แต่ก็ไม่เป็นอะไรมาก
ทั้งสองคนไปส่งพ่อตากับเสิ่นหัวกลับบ้านพร้อมกับเจียงเยว่ถงก่อน
หลังจากจัดการเสร็จเรียบร้อยก็เป็นเวลาสองทุ่มครึ่งแล้ว ฉินเฟยรู้ว่าคืนนี้เจียงเยว่ถงได้รับความหวาดกลัว จึงไม่คิดจะรบกวนการพักผ่อนของพ่อตา และบอกลากลับไปก่อน
แต่ตอนนี้ คนที่จิตใจฟุ้งซ่านที่สุดคือเสิ่นหัวผู้เป็นแม่ยาย
เสิ่นหัวพยักหน้า ไม่แสดงท่าทีดูถูกเหมือนเคย หลังจากลังเลจะเอ่ยปากกับฉินเฟยอยู่หลายครั้ง “ฉินเฟย ขอบคุณมากสำหรับเรื่องในคืนนี้ ถ้าไม่อย่างนั้นก็ยังไม่รู้ว่าเจ้าหยุนจะถูกตีจนเป็นยังไง”
ฉินเฟยตกตะลึง!
พูดตามตรง ท่าทีที่เปลี่ยนไปอย่างกะทันหันของเสิ่นหัว ทำให้เขารู้สึกอึดอัดเล็กน้อย แต่คำพูดเหน็บแนมนั้นทำให้รู้สึกสบายใจขึ้น
แต่ในเวลานี้เขาจะไม่แกล้งโง่ รีบพูดว่า “ครอบครัวเดียวกัน มันเป็นเรื่องที่สมควรแล้ว”
“ถูกต้องค่ะแม่ ขอบคุณทำไม” เจียงเยว่ถงรีบพูดขึ้น
เสิ่นหัวเหลือบมองลูกสาว แล้วมองไปที่ฉินเฟยอีกครั้ง ไม่ได้พูดอะไรอีก “รีบกลับไปพักผ่อนเถอะ”
“เดี๋ยวก่อน!” เมื่อฉินเฟยเปิดประตูห้องและกำลังจะพาเจียงเยว่ถงกลับบ้าน จู่ๆ เสิ่นหัวก็พูดขึ้น
ฉินเฟยหันหน้าไปอย่างแปลกใจ เห็นเสิ่นหัวหยิบกระเป๋าสตางค์ออกมาจากกระเป๋าถือ ควักธนบัตร 100 หยวนปึกหนึ่งออกมายัดใส่มือฉินเฟย “พวกเธอยังไม่ได้กินข้าวเย็นเลย ไปร้านอาหารนอกหมู่บ้านสั่งอาหารอร่อยๆ กินของที่มีประโยชน์สักหน่อยเถอะ”
ฉินเฟยมองไปที่ธนบัตรสีแดงในมือ มันมีมูลค่าหนึ่งพันพอดี!
ในใจอดยิ้มอย่างขมขื่นไม่ได้
สามปีแล้ว!
เป็นครั้งแรกที่แม่ยายใจกว้างขนาดนี้!