ผมเป็นเขย(ผู้ไม่ธรรมดา) - บทที่ 69 เสิ่นเจียเหวินยอมพลีกายเองเลย (5)
“ไม่ได้ จะต้องพูดออกมา ฉันชอบคนอื่นชมว่าฉันสวยงามและมีรูปร่างดี”
เวลานี้เงาร่างของเธออวบอิ่มสง่างาม ผมสีดำและเสื้อเชิ้ตบนร่างของเธอยุ่งเหยิงเล็กน้อย โดยแสดงออกถึงความน่ารักแต่กลับมีความน่าหลงใหลสุดพิเศษเพิ่มขึ้นอีกด้วย
ฉินเฟย: “……”
“สวยงามแต่ไม่ยั่วยวน แพรวพราวแต่ไม่ล้าสมัย ท่วงท่าสง่างดงาม ไม่มีใครเปรียบเทียบได้” ฉินเฟยพูดขึ้นอย่างจำใจ แต่กลับเห็นว่าเสิ่นเจียเหวินได้หรี่ตาลง จนแทบจะเป็นพระจันทร์เสี้ยว เหมือนว่าจะยอมรับอย่างมากที่ตนเองพูดชมอย่างจริงใจ
“นอกจากนี้ คุณคงจะได้รับการสั่งสอนอบรมมาเป็นอย่างดีตั้งแต่เด็ก และใช้ชีวิตอย่างร่ำรวยสุขสบาย” ฉินเฟยมองเห็นน่องขาขาวนวลของเธอที่วางพาดอยู่บนโซฟาแล้ว ก็คิดว่าผิวหนังที่สวยงามแบบนี้คงจะถูกแช่ในน้ำนมมาตั้งแต่เด็ก หากไปจูบดูคงน่าจะมีกลิ่นหอมของน้ำนมด้วยแน่นอน
เสิ่นเจียเหวินเม้มปาก ส่ายศีรษะและพูดว่า: “เรื่องนี้นายทายผิดแล้ว ชีวิตในวัยเด็กของฉันไม่ได้ร่ำรวยสุขสบายเลย ตรงกันข้าม ฉันลำบากกว่าหญิงสาวรุ่นเดียวกันหลายเท่า ตอนฉันอายุหกปีก็เรียนรู้ทำอาหารเป็นแล้ว”
เสิ่นเจียเหวินมองไปยังสายตาที่ตกตะลึงของฉินเฟย แล้วก็หัวเราะขึ้นเบา ๆ: “แต่ว่า แม่ของฉันได้อบรมสั่งสอนฉันมาเป็นอย่างดี จนกระทั่งฉันอายุยี่สิบสองปี ฉันก็พบเจอกับคนพลิกชะตาชีวิตของฉันคนหนึ่ง ซึ่งก็คือพ่อบุญธรรมของฉัน ซึ่งทำให้ชีวิตของฉันค่อย ๆ ดีขึ้น จนมาถึงตอนนี้”
“พ่อบุญธรรม? ” ฉินเฟยตื่นตกใจ
“อืม จางจงเยว่ประธานกรรมการบริหารของว่านเซียง กรุ๊ปในปัจจุบัน ก็คือพ่อบุญธรรมของฉันเอง” เสิ่นเจียเหวินอมยิ้มเล็กน้อย ใบหน้าเต็มไปด้วยความสุข “เขาคือพ่อบุญธรรมของคุณเหรอ? ” ฉินเฟยอุทานขึ้นด้วยความตกใจ คู่ดวงตาอดไม่ได้ที่จะมองสังเกตเสิ่นเจียเหวินตั้งแต่หัวจรดเท้า……
“ไอ้เด็กคนนี้ นายคิดจะทำอะไร! ” เห็นว่าฉินเฟยมีท่าทางแปลกประหลาด เสิ่นเจียเหวินจ้องตาเขม็งและแทบอดใจไม่ไหวที่จะเขวี้ยงกระดูกไก่ใส่หน้าของหนุ่มคนนี้
แม้แต่คนโง่ก็รู้ว่าฉินเฟยกำลังคิดอะไรอยู่
“เปล่าเปล่า ฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น” ฉินเฟยเก้อเขินขึ้นชั่วขณะ
“ฉันรู้ว่านายหมายความว่าอย่างไร” เสิ่นเจียเหวินเหลือบมองไปที่ไอ้หนุ่มคนนี้ ส่งเสียงฮึและพูดขึ้นว่า: “แต่นายคิดผิดแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างฉันกับพ่อบุญธรรมของฉันนั้นบริสุทธิ์ยิ่งกว่ากระดาษขาวเสียอีก เขาคือคนที่ฉันเคารพ คือคนที่ฉันนับถือ”
“ที่จริงแล้วบ้านของฉันก็อยู่ที่ซงไห่ ช่วงก่อนหน้านี้ได้ยินพ่อบุญธรรมพูดว่าจะโยกย้ายว่านเซียง มูวีมาบุกเบิกพัฒนาที่ซงไห่ ฉันจึงได้ยื่นเรื่องขอกลับมาที่นี่ พ่อบุญธรรมบอกให้ฉันคอยช่วยเหลือนาย” เสิ่นเจียเหวินยิ้มเล็กน้อย คู่ดวงตาที่สวยงามจ้องมองไปที่ฉินเฟย ในที่สุดก็อดไม่ได้จึงถามข้อสงสัยอย่างที่สุดในใจว่า: “ไม่ทราบว่านายกับพ่อบุญธรรมของฉันมีความสัมพันธ์อะไรกัน? ทำไมก่อนหน้านี้ฉันไม่เคยพบเจอนายมาก่อนเลย และก็ไม่เคยได้ยินมาก่อนด้วย? ”
ว่านเซียง มูวีถือเป็นวิสาหกิจหลักของว่านเซียง กรุ๊ป ในแต่ละปีสร้างผลประกอบได้เป็นตัวเลขอย่างมหาศาล ส่วนฉินเฟยนั้นก็ถือเป็นประธานกรรมการบริหารที่โยกย้ายมาโดยที่ไม่มีใครรู้มาก่อน ถ้าหากบอกว่าฉินเฟยกับจางจงเยว่ไม่มีความสัมพันธ์กัน เสิ่นเจียเหวินก็คงจะไม่เชื่ออย่างแน่นอน
“ฉันเป็นหัวหน้าของคุณนะ” ฉินเฟยพูดขึ้นอย่างจริงจัง
เสิ่นเจียเหวินเหลือบตาขาวใส่ฉินเฟยอย่างจำใจ พูดไปแล้วก็เท่ากับว่าไม่ได้พูด!
แน่นอนว่าเสิ่นเจียเหวินคงจะทายไม่ถูกถึงความหมายแฝงที่แท้จริงในคำพูดของฉินเฟย ซึ่งฉินเฟยไม่เพียงแต่จะเป็นหัวหน้าของเธอเท่านั้น เขายังเป็นหัวหน้าของพนักงานและฝ่ายบริหารชั้นสูงทั้งหมดของว่านเซียง กรุ๊ปอีกด้วย
“ตอนเด็กยากลำบาก ตอนนี้ก็ถือว่าสุขสบายหมดความลำบากแล้ว คุณไม่เพียงแต่จะมีหน้าที่การงานของตัวเองเท่านั้น ยังจะมีพ่อบุญธรรมหนึ่งคนและพ่อหนึ่งคนด้วย ดีมากเลย” ฉินเฟยอมยิ้ม และแสดงสายตาที่อิจฉา
“ฉันไม่มีพ่อ” เสิ่นเจียเหวินส่ายศรีษะเบา ๆ สีหน้าหม่นหมองลง
ฉินเฟยเงยหน้าขึ้นด้วยความแปลกใจ
“ฉันไม่มีพ่อมาตั้งแต่เด็กแล้ว ตั้งแต่ฉันเกิดจนถึงรับรู้จำความได้ ก็ไม่เคยทราบชื่อของพ่อมาก่อน ตอนเด็กฉันเคยถามแม่ หล่อนบอกว่าพ่อออกไปต่างประเทศแล้ว พ่อเก่งกาจมีความสามารถ และยังจะพูดอีกว่ารอให้ฉันโตแล้วก็จะพาฉันไปหาพ่อ รวมทั้ง เป็นไปได้ที่พ่อจะมาหาพวกเราก่อน”
เสิ่นเจียเหวินพูดอย่างเบา ๆ สีหน้าท่าทางตกอยู่ในสภาวะรำลึกนึกถึงอดีต: “แต่เมื่อฉันโตแล้ว แม่ก็ยังไม่ได้พาฉันไปหาพ่อ ส่วนพ่อเองก็ไม่เคยปรากฏตัวให้เห็นเลย แต่ในตอนนั้นฉันพอที่จะรับรู้เข้าใจได้แล้ว ถึงแม้ว่าชีวิตความเป็นอยู่จะไม่สุขสบายร่ำรวยอะไร แต่ก็ยังสามารถเลี้ยงดูตัวเองได้ ฉันจึงไม่ต้องการพ่อที่เก่งกาจคนนั้นดังที่แม่เคยพูดเอาไว้อีกแล้ว”
เธอเองก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงได้พูดเรื่องนี้กับฉินเฟย บางทีอาจจะถือว่าฉินเฟยเป็นญาติสนิท ถือว่าเป็นคนที่สามารถสัมผัสถึงจิตใจภายในของเธอได้
ประสบการณ์และอดีตที่ผ่านมาของเธอนั้น เธอไม่เคยพูดกับใครมาก่อนเลย นอกจากแม่ของเธอที่รับรู้แล้ว ก็คือพ่อบุญธรรมของเธอรวมถึงผู้ชายคนที่เธอชื่นชอบ และยังมีอีกก็คือฉินเฟยในตอนนี้
ฉินเฟยฟังอย่างเงียบ ๆ พร้อมกับมองไปยังตัวเธอที่อยู่เบื้องหน้าที่กำลังรำลึกถึงความทรงจำ และขอบตาแดงขึ้นเล็กน้อย ก็สามารถจินตนาการได้ว่า เสิ่นเจียเหวินกับแม่ของเธอมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ยากลำบากขนาดไหนในตอนนั้น
แต่ว่า หากไม่ได้มีประสบการณ์กับตนเอง ใครก็ไม่มีทางที่จะพูดออกมาได้ว่า: ‘ฉันเข้าใจความยากลำบากของคุณ’ ลักษณะนี้
“ฉันสามารถให้คุณยืมไหล่ข้างหนึ่ง” ฉินเฟยพูดขึ้นอย่างอดไม่ได้
“มาสิ” เสิ่นเจียเหวินอมยิ้ม เหมือนว่าผ่านไปนานมากแล้ว สิ่งที่เรียกว่าบาดแผลนี้ก็ไม่ได้ถึงกับทำให้เธอเสียใจอะไรมากนัก แล้วก็ใช้มือตีไปที่ตำแหน่งว่างด้านข้างของตัวเอง
เมื่อศีรษะของเสิ่นเจียเหวินซบพิงไปที่ไหล่ของเขา ร่างกายของฉินเฟยก็แข็งทื่อขึ้นเล็กน้อย และยิ่งไม่กล้าจะขยับเขยื้อน แล้วก็ได้ยินเสียงของเสิ่นเจียเหวินอีกครั้ง……
“ตอนเด็กฉันรู้เข้าใจและเชื่อฟังเป็นอย่างมาก ตอนอายุหกขวบก็สามารถซักผ้าทำอาหาร และจัดเก็บของในบ้านเป็นแล้ว แม่ยิ่งลำบากกว่าฉันอีก นอกจากหล่อนจะทำงานทุกวันแล้ว ยังจะไปเก็บขยะที่ด้านนอกด้วย โดยเมื่อยี่สิบปีก่อนยังไม่มีเครื่องซักผ้า แม่ก็รับงานนอกเอง ด้วยการซักผ้าให้กับคนอื่น พอดีว่าพวกเราเช่าอาศัยอยู่บนชั้นดาดฟ้า เมื่อซักผ้าเสร็จแล้วก็ตากแดดที่นั่นเลย ทุกวันเมื่อฉันกลับถึงบ้านนอกจากจะทำการบ้านแล้ว ก็ยังช่วยซักเสื้อผ้ากองโตที่ซักอย่างไรก็ซักไม่หมดสักที”
เสิ่นเจียเหวินสูดน้ำมูกเบา ๆ: “หลายครั้ง ที่แม่ไม่ยอมกินข้าวเย็น มักจะพูดว่าตัวเองกินแล้ว ต่อมาเพื่อนร่วมชั้นก็เยาะเย้ยฉันว่า แม่ของฉันเก็บข้าวในถังขยะมากิน บอกว่าพวกเราเป็นขอทาน……”
ฉินเฟยได้ฟังแล้วก็ถึงกับตัวสั่นเทา อย่างไรเขาก็คิดไม่ถึงว่า ผู้หญิงที่สง่างดงามด้านข้างเขานี้ จะมีประสบการณ์แบบนี้ในตอนเด็ก
ครู่เดียว เขาก็รู้สึกว่าที่ไหล่ของตนเองนั้นเปียกโชก เมื่อหันหน้าไป ก็เห็นว่าเสิ่นเจียเหวินนอนพิงอยู่บนไหล่ของเขา หลับตาลงเบา ๆ แต่น้ำตาก็ยังไหลออกมาตลอด……
ฉินเฟยรู้สึกว่าติดขัดอ้ำอึ้ง เมื่ออ้าปากขึ้นกี่ครั้ง กลับไม่ได้พูดปลอบใจอะไรแม้แต่คำเดียว
ไม่เคยมีประสบการณ์พบเจอกับตนเองมาก่อน ใครก็ไม่มีทางที่จะรับรู้และเข้าใจความรู้สึกได้!
“ตอนที่ฉันอายุแปดขวบก็เริ่มที่จะยกน้ำขึ้นบนตึก เพราะพวกเราเช่าอาศัยอยู่บนชั้นดาดฟ้า แรงดันน้ำไม่พอที่จะขึ้นไปถึงได้ อีกทั้งยิ่งอยู่ชั้นสูงราคาน้ำก็ยิ่งสูงด้วย ตอนที่ฉันแปดขวบร่างกายของฉันจะเล็กกว่าเพื่อนรุ่นเดียวกันมาก มีความสูงประมาณถังน้ำนั้นได้ มีอยู่ครั้งหนึ่งฉันยกน้ำได้มากที่สุดครึ่งถังเดินขึ้นไปยังชั้นหกได้……”
“เมื่อตอนฉันอายุสิบปี พวกเราก็ได้ย้ายบ้าน แต่ก็ยังไปเช่าอยู่ที่บนชั้นดาดฟ้าของตึกทรุดโทรมที่ใกล้จะถูกเวรคืน โดยในคืนที่สามที่ฉันกับแม่ย้ายเข้าไปอยู่นั้น ก็มีเสียงเคาะประตูบ้านดังขึ้นโดยพลัน ฉันตกใจตื่นขึ้นทันที อีกฝ่ายหนึ่งนั้นเป็นผู้ชาย เหมือนจะเมาเหล้ามา และเคาะประตูอยู่ตลอด ฉันหวาดกลัวอย่างมาก และแม่ก็ได้เอามือปิดปากฉันไว้โดยที่ไม่ให้ฉันพูดออกเสียง……”
พูดถึงตรงนี้ เสิ่นเจียเหวินก็หลับตาลงสนิท เหมือนว่าตัวเองได้ตกอยู่ในสถานการณ์นั้น ร่างกายก็เกิดอาการสั่นเทาขึ้นเล็กน้อย “ประตูบ้านของพวกเราทรุดโทรมอย่างมาก เมื่อชายคนนั้นตะโกนเรียกแล้วไม่มีเสียงตอบรับก็ถีบประตูเข้ามาทันที ถีบเพียงแค่สองครั้งประตูก็เปิดออกแล้ว แม่ก็ตกใจแล้วรีบไปเปิดไฟ ชายคนนั้นพุ่งเข้ามาจะรังแกแม่ของฉัน……แม่ดิ้นสะบัดอย่างทรมาน ฉันร้องไห้เสียงดัง แต่ก็ไม่มีใครมาสนใจพวกเราเลย เสื้อผ้าของแม่ถูกเปลื้องออกแล้ว ฉันพุ่งเข้าไปเพื่อจะขัดขวาง แต่กลับถูกชายเมาคนนั้นถีบกระเด็นลอยไปไกล ไหล่ของฉันถูกเหล็กในถังขยะในบ้านบาด จนเป็นรอยแผลลึก ตอนนี้ก็ยังมีรอยแผลเป็นอยู่ ตอนนั้นฉันร้องไห้หนักขึ้น แม่ก็ร้อนใจจึงเกิดการลงมือตบตีกับอีกฝ่ายหนึ่ง แต่แม่ใช่คู่ต่อสู้ของชายคนนั้นที่ไหนล่ะ แม่ของฉัน……คุณแม่……ฮือฮือ”
เสิ่นเจียเหวินน้ำตาไหลพราก มุดศีรษะเข้าไปในอ้อมอกของฉินเฟย มือเล็กสองข้างโอบกอดไปที่เอวของเขาอย่างแรง ซึ่งทั้งร่างกายราวกับว่าเป็นตะแกรง ที่สั่นเทาอย่างรุนแรง……
ฉินเฟยนั่งอยู่ที่นั่น ก็อดไม่ได้จึงยื่นมือข้างหนึ่งออกมา แล้วโอบกอดเสิ่นเจียเหวินไว้ในอ้อมอก
ฉินเฟยเกิดมาในตระกูลที่ร่ำรวย เรียกได้ว่าตอนกำเนิดนั้นคาบช้อนทองออกมาด้วย เขาในวัยเด็กไม่รู้เลยว่าอะไรคืองานบ้าน อะไรคือความยากลำบาก
แต่ในตอนนี้!
ในที่สุดฉินเฟยก็ทราบแล้วว่าทำไมเสิ่นเจียเหวินถึงได้รับจางจงเยว่เป็นพ่อบุญธรรม เพราะนี่คือข้อบกพร่องทางจิตใจของเขา แม้ว่าจะไม่พูด และทำตัวเข้มแข็งใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวได้ แต่สำหรับความรักของพ่อที่ขาดหายไปนั้น ก็ยังเป็นสิ่งที่เธอคาดหวังอยู่ในใจเป็นอย่างมาก
สำหรับก่อนหน้านี้ที่เธอเคยบอกว่าจะไม่แต่งงาน หากต้องการจะมีลูกก็ไปรับเลี้ยงเอา เพราะตัวเองสามารถที่จะเลี้ยงดูลูกตามลำพังได้เป็นอย่างดี
นี่อาจจะเป็นเพราะเคยเจ็บปวดทางด้านความรู้สึกมาก่อน จึงไม่ยอมที่จะเชื่อผู้ชายอื่นอีก
แน่นอนว่า เหตุผลสำคัญนั้นก็ยังคงเป็นเพราะพ่อที่ไร้ตัวตนของเธอ เธอกับแม่ของเธอใช้ชีวิตอยู่อย่างยากลำบาก ถึงขนาดที่ยังเห็นกับตาว่าแม่ของตัวเองถูกรังแก แต่ผู้ที่เป็นพ่อนั้นกลับไม่เคยปรากฏตัวให้เห็นเลย!
เธอคงจะโกรธแค้นพ่อของเธออย่างมาก ดังนั้นเธอจึงไม่เชื่อผู้ชายอีก!
ฉินเฟยไม่มีทางที่จะรับรู้ถึงความรู้สึกนี้ได้ แต่ก็สามารถที่จะเข้าใจได้ ตอนเสิ่นเจียเหวินอายุแปดขวบที่ยังเป็นแค่เด็กน้อย กลับต้องมายกถังน้ำเดินขึ้นชั้นหก โดยทั่วไปเมื่อกลับไปถึงบ้านก็ควรกินข้าวกินเสร็จแล้วก็ทำการบ้าน จากนั้นแม่ก็จะยกผลไม้ที่มีคุณค่าทางโภชนาการมาให้กับเด็กน้อย ส่วนเธอกลับต้องมาเผชิญกับเสื้อผ้ากองโตที่ซักอย่างไรก็ซักไม่หมดสักที……
ฉินเฟยเจ็บปวดใจและสงสารจนพูดอะไรไม่ออก
เขากระชับมือแน่น แล้วโอบกอดร่างกายที่สั่นเทา ในอ้อมอกนั้นอย่างแน่นหนา
ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไร เสิ่นเจียเหวินก็หยุดร้องไห้ เพราะร่างกายที่สั่นเทาจากความทรงจำที่น่ากลัวนั้นได้ค่อย ๆ เบาบางลงแล้ว
ฉินเฟยมองไปยังใบหน้าของเธอที่เต็มไปด้วยคราบน้ำตา แล้วก็ดึงทิชชู่ที่อ่อนนุ่ม ยื่นให้เธอเช็ดหน้า
กระทั่งดวงตาที่เปื้อนน้ำตานั้นค่อย ๆ ลืมขึ้น
เสิ่นเจียเหวินนอนราบลงในอ้อมอกของเขา และมองไปที่เขาอย่างสงบ
การเคลื่อนไหวของฉินเฟยก็ค่อย ๆ แข็งทื่อขึ้น จึงรู้สึกได้ถึงความเก้อเขินของทั้งสองคน เวลานี้เสิ่นเจียเหวินอยู่ในอ้อมอกของตนเอง และตนเองก็ยื่นมือไปเช็ดน้ำตาให้กับเธอ นี่ไม่ใช่เรื่องที่เพื่อนทั่วไปนั้นควรกระทำให้กัน และไม่ใช่ท่วงท่าที่ควรจะมีด้วย
ใบหน้างดงามที่เพิ่งร้องไห้อย่างหนัก ทั้งมีเสน่ห์และน่าหลงใหล ถึงกับทำให้ฉินเฟยหัวใจร้อนผ่าว ผู้หญิงแบบนี้ ช่างมีแรงดึงดูดต่อผู้ชายทั้งหมดซะเหลือเกิน เรียกได้ว่ารูปร่างหน้าตาสวยสมบูรณ์แบบ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงฉินเฟยที่เป็นชายหนุ่มที่ยังไม่เคยผ่านการสัมผัสอย่างลึกซึ้งกับผู้หญิงมาก่อน
ฉินเฟยรู้สึกว่าตนเองมีอะไรที่ผิดปกติบ้างแล้ว
“เวลา สมควรแก่เวลาแล้ว ฉัน……” ฉินเฟยขยับตัวด้วยความที่รู้สึกไม่สบายตัว เพื่อขยับร่างกายออก
แต่คิดไม่ถึงว่า เสิ่นเจียเหวินจะยื่นมือออกมาโอบไปที่ลำคอของฉินเฟย
โดยใช้สองมือโอบเอาไว้เลย
ร่างกายของฉินเฟย แทบจะหมอบราบลงไปที่ร่างของเสิ่นเจียเหวิน
พวกเขาสบตากัน ฉินเฟยมองไปยังใบหน้าที่อยู่ใกล้แค่เอื้อม แม้ว่าเขาจะพยายามที่จะปกปิดเอาไว้ แต่ก็ยังคงไม่สามารถปกปิดความต้องการทางกามารมณ์นั้นได้
เสิ่นเจียเหวินกระพริบดวงตาเบา ๆ แล้วก็ค่อย ๆ หลับตาลง……
แม้ว่าฉินเฟยจะไม่เคยจูบผู้หญิงมาก่อน ถึงแม้จะไม่เคยทำแต่ก็เคยเห็นมาบ้าง
ในโทรทัศน์ก็ยังมีการแสดงลักษณะนี้ด้วย!
เขาอ้าปากออก ขยับคอไปมา แต่สายตาของเขาก็ยังคงจับจ้องไปที่ใบหน้าอันมีเสน่ห์เย้ายวนอย่างไม่ขาด ขนตาที่ยาวเรียวสั่นไหว ปลายจมูกที่โด่งงอน ปากขนาดเล็กสีแดงเรื่อที่อ้าขึ้นเล็กน้อย ราวกับว่ามีเวทมนตร์พิเศษอย่างหนึ่ง กำลังดึงดูดเขาเอาไว้……