ผมเป็นเขย(ผู้ไม่ธรรมดา) - บทที่ 76 หยุดเขาไว้
ผมเป็นเขย(ผู้ไม่ธรรมดา) บทที่ 76 หยุดเขาไว้ !
แสงพระอาทิตย์ยามเช้าแสนอบอุ่น แม่น้ำในคูเมืองส่องประกายระยิบระยับ บนสะพานชิงฉือ หนุ่มสาวยืนมองหน้ากัน
ฉินเฟยเงยหน้ามองจางหานหาน ก่อนจะพบว่าจางหานหานก็กำลังมองมาที่ตน เมื่อรับรู้ได้ถึงการกระทำของตนเอง จางหานหานก็ค่อย ๆ ก้มหน้าลงและพูดว่า “ฉินเฟย เมื่อคืนวานฉันเพิ่งจะรู้จักชื่อของนาย มันคล้ายกับคนที่ฉันเคยรู้จักมาก่อน”
“งั้นหรือ ฉันก็บอกแล้วไง พวกเรามีโชคชะตาต่อกัน” ฉินเฟยหัวเราะฮิฮิ
แต่จางหานหานกลับส่ายหน้าเบา ๆ เงยหน้ามองฉินเฟยอย่างถี่ถ้วน “นายแน่ใจนะว่าไม่รู้จักฉัน ?”
“เอ๊ะ ?” ฉินเฟยแสร้งทำเป็นสับสน แต่ในใจกลับเกิดเสียงดัง ‘ตึกตัก’
ความเป็นจริงแล้ว ฉินเฟยไม่ได้มีความตั้งใจจะปิดบัง เพียงแค่รู้สึกว่าต่อให้ทั้งสองคนเคยรู้จักกันมาก่อน ก็ไม่ได้มีความหมายอะไร อีกทั้ง ตัวตนของเขาตอนนี้จะเปิดโปงไม่ได้ ถ้าเธอรู้เข้าอาจจะเกิดความวุ่นวายโดยไม่จำเป็นขึ้น
“ในเมื่อเป็นอย่างนี้ งั้นบัตรใบนี้ของคุณฉันคงรับไว้ไม่ได้” จางหานหานเกิดรู้สึกผิดหวังขึ้นในแววตา หยิบบัตรธนาคารออกมาจากเอว เป็นบัตรที่ฉินเฟยเคยยัดเยียดให้เธอมาก่อนหน้านี้
ในวันที่สอง จางหานหานไปที่ธนาคาร หลังจากตรวจสอบยอดเงินคงเหลือก็ตกใจ เมื่อพบว่าในนั้นมีเงินอยู่สามแสน !
แม้ว่าเงินก้อนนี้สำหรับเธอในแต่ก่อนจะไม่ได้มากมายเท่าไหร่นัก แต่สำหรับเธอในตอนนี้มันเป็นเงินจำนวนมหาศาลอย่างไม่ต้องสงสัย เธอไม่กล้าบอกเรื่องนี้กับคุณแม่ และยิ่งไม่กล้าบอกน้องชายของเธอด้วย ก็เพราะกลัวว่าพวกเขาจะนำเงินออกมาใช้ด้วยความโลภ
เธอไม่มีความจำเป็นอะไรที่ต้องได้รับค่าตอบแทนเหล่านี้ พวกเขาเจอหน้ากันเพียงไม่กี่ครั้ง พูดคุยกันแทบจะนับครั้งได้
แม้ว่าเธอจะไม่เหลือเงินจริง ๆ แต่ก็ไม่สามารถรับไว้ได้
เห็นจางหานหานใช้สองมือยื่นบัตรธนาคารให้เขาอย่างเคารพ ฉินเฟยก็ไม่ได้รับไว้ ได้แต่หัวเราะพลางส่ายหน้าออกมาว่า “ฉันไม่ได้บอกว่าจะให้เธอสักหน่อย ฉันให้เธอยืมต่างหาก ”
“ถ้าอย่างนั้นทำไมนายถึงต้องให้ฉันยืมด้วย ?” จางหานหานถาม
ฉินเฟยถูกถามจนไม่รู้จะพูดยังไง จึงหัวเราะฮาฮาออกมาว่า “ไม่ใช่ก่อนหน้านี้บอกไปแล้วหรือ ว่าพวกเราสองคนมีโชคชะตาต้องกัน โชคชะตาเป็นสิ่งที่เงินทองไม่สามารถซื้อได้ ยิ่งกว่านั้น รอเธอมีเงินเมื่อไหร่ ค่อยเอามาคืนฉันก็พอ”
“อ้อ ฉันต้องไปทำงานแล้ว ไว้ค่อยมาดื่มชากันวันหลัง” ฉินเฟยหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู พูดออกมาอย่างรีบร้อน ก่อนจะหยิบกระเป๋าวิ่งออกไป
“นาย…….” จางหานหานกำลังจะเอ่ยปาก เห็นฉินเฟยที่วิ่งออกไปโบกมือไปมา ทำให้คำพูดของเธอได้แต่ติดอยู่ในลำคอ
ในใจฉินเฟยเองก็รู้สึกประหม่าเช่นกัน เขาพูดไม่ออก ทำไมผู้หญิงสมัยนี้ถึงอยากรู้อยากเห็นขนาดนี้ มีคำถามอะไรจะต้องสาวไปจนถึงต้นถึงตอเลยหรือ ?
ฉินเฟยวิ่งมาจนถึงทางเลี้ยว เหลือบมองจางหานหานที่ยังคงยืนอยู่บนสะพาน มองตนมาจากที่ไกล ๆ แสงอาทิตย์อ่อน ๆ ส่องลงมาบนตัวของเธอ ดูสวยงามราวกับม้วนภาพ
จางหานหานเอาแต่มองฉินเฟย มองจนกระทั่งไม่เห็นเงาของเขาอีกจึงละสายตากลับมาอย่างเงียบ ๆ เธอกัดริมฝีปากเบา ๆ และพูดว่า “ขอบคุณนะ…..”
ผ่านร้านน้ำชาวินเยว่ ฉินเฟยค่อยถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก หยิบกระเป๋าขึ้นมาดู ก่อนจะพบว่ารองเท้าหนังถูกขัดทำความสะอาดมา แถมยังมีกลิ่นผงซักฟอกแบบพิเศษอยู่ด้วย
ในสังคมทุกวันนี้ แต่ละครัวเรือนจะใช้น้ำยาซักผ้าเกรดดี ผงซักฟอกอาจจะทำให้มือบาดเจ็บจึงไม่ค่อยมีคนใช้ แต่กลิ่นนี้ ฉินเฟยกลับคุ้นเคยมันเป็นอย่างดี
“นังเด็กนี่…..” ฉินเฟยหยิบรองเท้าหนังออกมา ปากบ่นพึมพำหาร้านซาลาเปานึ่งนั่ง
หลังจากกินข้าวเช้า ฉินเฟยก็ซื้อซาลาเปาไส้เนื้อมาอีกสองลูกใส่เข้าไปในแขน จากนั้นก็ซื้อน้ำเต้าหู้อีกหนึ่งแก้ว จึงค่อยส่งข้อความทางวีแชทไปให้ชิงอี้เจีย เมื่อเห็นเธอไม่ตอบกลับก็ไม่สนใจ คิดว่ารออีกสักพักให้ถึงหน้าประตูบ้านก่อนค่อยโทรอีกครั้งก็ยังไม่สาย ให้สาวสวยได้หลับพักผ่อน ยิ่งมีเนื้อมีหนัง พอมองก็ยิ่งเจริญตาไม่ใช่หรือ ?
ฉินเฟยเดินมาถึงหมู่บ้านหมิงเจียหุ้ย มองเห็นเสิ่นเจียเหวินอยู่ใต้ตึก ขณะที่กำลังจะยกโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาเสิ่นเจียเหวิน ทันใดนั้นเขาก็รับรู้ได้ถึงลมปราณอันตราย ร่างกายตื่นตระหนกขึ้นทันที เขาเงยหน้าขึ้น ภายในตึกที่ควรจะเงียบสงบ กลับมีเสียงฝีเท้าดัง ‘ตึกตัก’ ของชายหนุ่มสวมชุดสูทวิ่งออกมาหลายสิบคน
ตั้งแต่ที่ฉินเฟยเข้ามา เขาก็ถูกจับตามองไว้แล้ว จำนวนคนค่อย ๆ เพิ่มขึ้น กรูกันเข้ามาจากทุกทิศทุกทางล้อมรอบฉินเฟยเอาไว้ มองดูคร่าว ๆ น่าจะมีเกือบสามสิบคน
“เวรเอ้ย ฉันรู้อยู่แล้วว่าไอ้เด็กนี่กับเสิ่นเจียเหวินต้องมีความสัมพันธ์กันบางอย่าง แกตาบอด ไม่รู้จักตักน้ำใส่กะโหลกชะโงกดูเงาตัวเอง คนอย่างแก กล้ามาไล่ตามผู้หญิงของฉันงั้นหรือ ?” คำพูดที่เต็มไปด้วยการเยาะเย้ยถากถางถูกคิดขึ้น
กลุ่มคนแยกตัวออก ร่างชายสวมชุดสูท หวีผมเงางามดุจสุนัขเลีย รูปร่างเหมือนสุนัขของหลิวโป๋ฮุ่ยเดินออกมาข้างหน้า
ราวกับว่าเขากำลังมองฉินเฟยอยู่ต่ำกว่า แววตาที่มองเต็มไปด้วยการดูถูกเหยียดหยาม มีแต่ความเย่อหยิ่ง ภายในแววตาที่มองฉินเฟยนอกจากการดูถูกแล้ว ที่มากกว่านั้นก็คือความเคียดแค้นและเกลียดชัง !
คุณชายสามแห่งตระกูลหลิวอันยิ่งใหญ่ กลับถูกลูกผู้หญิงสำส่อนที่ไหนไม่รู้มาต่อยได้ จะให้หลิวโป๋ฮุ่ยฝืนทนต่อไปได้ยังไง ?
ในสายตาของเขา ไม่มีใครปฏิเสธเขาได้ ! แต่เสิ่นเจียเหวินกลับปฏิเสธเขาครั้งแล้วครั้งเล่า แม้ว่าเขาจะโมโห แต่สิ่งที่ยิ่งทำให้เขาไม่พอใจ เขาที่ใช้เงินเพื่อแก้ปัญหามาโดยตลอด ไม่เคยถูกผู้หญิงคนไหนปฏิเสธเลยแม้แต่ครั้งเดียว
สำหรับเสิ่นเจียเหวิน แม้ว่าเธอจะมีหน้าตาที่ทั้งสวย ทั้งสดใหม่ แน่นอนว่าหลิวโป๋ฮุ่ยอยากได้เธอมาก แต่มันก็ไม่ถึงขนาดต้องได้มาให้ได้ เขาเพียงแค่ไม่อยากยอมรับความล้มเหลว โดยเฉพาะเรื่องหลับนอนกับผู้หญิง
แต่เมื่อคืนที่ผ่านมา ไอ้ลูกผู้หญิงสำส่อนตรงหน้ากลับต่อยหน้าเขา นี่ทำให้หลิวโป๋ฮุ่ยรู้สึกอัดอั้นไว้ด้วยความโกรธ และสาบานว่าจะต้องแก้แค้นคืนให้ได้
แต่หลิวโป๋ฮุ่ยนั้นฉลาด เขาเดาว่าเด็กคนนี้จะต้องกลัวเรื่องที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้ และเดาว่าคงไม่กล้าไปทำงานแล้ว ดังนั้น หลังจากพิจารณาจึงตัดสินใจมาหาเสิ่นเจียเหวินเพื่อดักรอเขา แม้ว่าเขาจะขวางฉินเฟยไม่ได้ แต่ยังสามารถขวางเสิ่นเจียเหวินได้เสมอ
หลิวโป๋ฮุ่ยไม่รู้จักฉินเฟย และไม่รู้ว่าเขาชื่อว่าอะไร กลับกัน เขาสามารถรู้ว่าไอ้ลูกผู้หญิงสำส่อนเมื่อคืนวานคนนั้นเป็นใครจากเสิ่นเจียเหวิน
ทีแรกเขายังโกรธและคิดว่า เมื่อคืนวานฉินเฟยจะไปได้กับเสิ่นเจียเหวินแล้วหรือไม่ คิดในใจว่า ถ้าหากทั้งสองคนเดินลงตึกไปด้วยกันล่ะก็ เขาจะทำให้แขนขาของไอ้ลูกผู้หญิงสำส่อนนี้พิการเสีย !
แต่เขาจะไม่รอจนทั้งสองคนเดินลงจากตึก และไม่ได้รอให้เสิ่นเจียเหวินลงมาเช่นกัน แต่จะรอให้ฉินเฟยมาหาเธอที่บ้านด้วยตนเอง และ…….
หลิวโป๋ฮุ่ยขมวดคิ้ว มองน้ำเต้าหู้ที่อยู่ในมือของฉินเฟย จากนั้นหัวเราะออกมาเหมือนกับหมู “ฮาฮา ไอ้ขอทาน นายอย่าทำให้ผู้ชายต้องขายขี้หน้าแบบนี้ได้ไหม มาส่งข้าวเช้าให้ผู้หญิงด้วยน้ำเต้าหู้แก้วเดียวเนี่ยนะ ?”
ฉินเฟยมองเหล่าอันธพาลที่อยู่รอบ ๆ ด้วยความระมัดระวัง เมื่อเห็นว่าหลิวโป๋ฮุ่ยทำตัวลำพอง คำพูดเหน็บแนมเมื่อครู่ทำให้เขาต้องขมวดคิ้ว ในใจคิดว่าที่แขนของเขายังมีซาลาเปาไส้เนื้ออยู่อีกตั้งสองลูก
“เสิ่นเจียเหวินไม่มีทางชอบคนอย่างนายหรอก ฉันแนะนำว่าให้นายออกห่างจากเธอหน่อยจะดีกว่า” เส้นประสาททั้งตัวฉินเฟยถึงกับกระตุกขึ้น
“นายแนะนำฉัน ?” หลิวโป๋ฮุ่ยราวกับว่าได้ยินประโยคที่ตลกที่สุด ชี้นิ้วมาที่ตัวเอง ใบหน้าอ้วนท้วมเต็มไปด้วยรอยยิ้ม หัวอ้วน ๆ ดูราวกับหัวหมูที่ถูกตัดปากออก
เขาหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง พลางมองบอดี้การ์ดที่อยู่รอบ ๆ “พวกนายได้ยินรึเปล่า ? มันกำลังบอกให้ฉันออกห่างจากผู้หญิงของฉัน มันกำลังขู่ฉันงั้นหรือ ? ฮาฮา…..”
“ฮาฮา…..” หลิวโป๋ฮุ่ยหัวเราะขึ้น บอดี้การ์ดที่อยู่รอบ ๆ ต่างก็หัวเราะตาม
“ปัง !”
“อ๊าก–”
ในขณะที่หลิวโป๋ฮุ่ยและเหล่าบอดี้การ์ดกำลังหัวเราะอยู่นั้น ฉินเฟยก็ลงมือทันที ขณะที่อยู่นิ่ง ๆ เขาดูเหมือนกับภูเขา แต่เมื่อขยับท่วงท่ากลับว่องไวเหมือนกระต่าย !
เขาสะบัดน้ำเต้าหู้ที่อยู่ในมือไปเข้าใส่หัวหมูของหลิวโป๋ฮุ่ยจนแก้วแตกออก ทันใดนั้นน้ำเต้าหู้ร้อน ๆ ก็หกรดบนใบหน้าหลิวโป๋ฮุ่ย และเสียงร้องทุกข์ทรมานเหมือนหมูของเขาก็ตามมา…..
ต่อให้หลิวโป๋ฮุ่ยคิดจนหัวระเบิดก็คาดไม่ถึงว่าฉินเฟยในตอนนี้จะกล้าลงมือก่อน ตามบทแล้ว เขาควรจะเป็นไอ้ลูกผู้หญิงสำส่อนที่ไม่รู้จักกาลเทศะ หลังจากที่ได้เห็นฉากที่อยู่ตรงหน้า จะต้องรีบนั่งคุกเข่าร้องขอความเมตตา แต่เขาจะใช้เท้าเหยียบลงไปบนใบหน้า ถ่มน้ำลายใส่หน้าเขาอย่างเหยียดหยาม !
พริบตาเดียว ขณะที่ฉินเฟยขว้างน้ำเต้าหู้มา เขาใช้แรงสะกิดเท้าก้าวพุ่งออกไปข้างหน้า ทะยานตามน้ำเต้าหู้ไปราวกับเงา……
“ปัง !”
เสียงร้องอันเจ็บปวดของหลิวโป๋ฮุ่ยดังขึ้น ฝ่าเท้าขนาดใหญ่ถีบลงไปบนท้องอ้วน ๆ ของเขาอย่างโหดเหี้ยม หลิวโป๋ฮุ่ย ร้องออกมาเสียงดัง ‘อั่ก’ ร่างกระเด็นออกไปราวกับลูกบอล !
ถีบออกไปอีกครั้ง !
บอดี้การ์ดที่อยู่รอบ ๆ ต่างก็ตกตะลึง ไม่ใช่แค่หลิวโป๋ฮุ่ย แม้แต่พวกเขาเองก็ไม่คิดว่าฉินเฟยจะกล้าลงมือ !
พวกเขามีกันเกือบสามสิบคน แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้เป็นยอดฝีมือระดับสูง แต่ก็เป็นบอดี้การ์ดที่ตระกูลหลิวว่าจ้างมา แต่ละคนมีฝีมือที่ไม่ธรรมดา ต่อให้แชมป์ศิลปะการต่อสู้มายืนอยู่ตรงหน้าก็ยังไม่กล้าลงมือด้วยซ้ำ !
แต่ฉินเฟยกลับกล้าลงมือ !
อีกทั้งการเคลื่อนไหวยังรวดเร็ว ฉวยโอกาสที่บอดี้การ์ดรอบ ๆ กำลังมึนงง เขาถีบออกไปอีกสองครั้ง โดยในทุก ๆ ครั้งทั้งรวดเร็วและรุนแรง เสียงกรีดร้องอันน่าเวทนาดังขึ้น มีคนอีกสองคนกระเด็นออกไป กระแทกเข้ากับถังขณะบริเวณทางเข้าที่อยู่ไม่ไกล คนหนึ่งส่งเสียงคร่ำครวญนอนกองอยู่บนพื้น ส่วนอีกคนสลบไปโดยไม่มีแม้แต่เสียงร้อง
ฉินเฟยรู้ว่าหลิวโป๋ฮุ่ยไม่มีทางปล่อยตนไปง่าย ๆ วันนี้จะต้องเกิดการต่อสู้อันดุเดือดขึ้น เขาลงมือด้วยความโหดเหี้ยม จัดการหลิวโป๋ฮุ่ยจนหัวคะมำ และใช้ประโยชน์จากการที่พวกเขาไม่ทันได้เตรียมตัว จัดการอีกสองคนล้มลง
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับบอดี้การ์ดที่มีฝีมือไม่ธรรมดา ฉินเฟยเองก็ไม่มั่นใจนัก แต่ใช่ว่าจะไม่มีทางต่อสู้
จริงๆ อยู่ที่เขากำลังเผชิญหน้ากับบอดี้การ์ดสามสิบคน แต่ในขณะเดียวกัน พวกเขาทั้งสามสิบคนก็ไม่ได้ลงมือพร้อมกัน หรือก็คือ พวกเขาแทบจะไม่มีทางแทรกเข้ามาได้ !
นี่คือจุดที่ฉินเฟยจะใช้ประโยชน์ ! ความมั่นใจของเขาก็คือพลังของเขาเอง ! ในตอนนี้เขาเกือบจะเป็นนักบู๊ขั้นสูงสุดแล้ว แม้ว่าในมือของเขาจะไม่มีดาบเสวี่ยอิ่น แต่จากการฝึกฝนร่างกายในช่วงที่ผ่านมานี้รวมถึงการฝึกฝนร่างกายของดาบเสวี่ยอิ่น เขาในตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นเรื่องพลังหรือความเร็ว ล้วนมาถึงระดับนักบู๊ขั้นยอดสูงสุดแล้ว
เหตุผลที่พูดอย่างนี้นั้นง่ายมาก จริง ๆ แล้วระดับนักบู๊ของฉินเฟยนั้นอ่อนแอ เพราะการเพิ่มพลังของยาเชื่อมสวรรค์ ทำให้เขามีระดับพลังอยู่ แต่ไม่มีพลังอยู่ในนั้นจริง ๆ
แต่ในตอนนี้ไม่เหมือนเดิม ฉินเฟยรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย เขาคิดที่จะลองดูว่าสรุปแล้วตอนนี้ตนเองแข็งแกร่งแค่ไหน !
“จัดการมัน !”
“พวกแก ขยะทั้งหลาย จัดการมัน จัดการมันซะ มีปัญหาอะไรฉันจัดการเอง ใครที่หักแขนขามันมาได้หนึ่งข้าง ฉันจะให้แสนนึง !” ไม่ไกลจากตรงนั้น หลิวโป๋ฮุ่ยกำลังกุมท้องของตัวเองเอาไว้ เพราะความเจ็บปวดทำให้มีเหงื่อออกบนใบหน้าและร่างกาย สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความโกรธและความแค้น ร้องตะโกนออกมาพลางชี้ไปที่ฉินเฟย
หมัดมั่ว ๆ ก็สังหารปรมาจารย์ได้ คนจำนวนมากจู่โจมพร้อมกัน ต่อให้ฉินเฟยจะแข็งแกร่งแค่ไหนก็ไม่มีทางไม่ได้รับบาดเจ็บ นอกจากนี้ ฉินเฟยในตอนนี้ยังไม่ถือว่าเป็นระดับปรมาจารย์เลยด้วยซ้ำ !
“ปัง !”
หมัดหนึ่งของบอดี้การ์ดพุ่งเข้ากระแทกหลังของฉินเฟย ฉินเฟยสบถออกมา ร่างกายสั่นไหวเล็กน้อย แต่ร่างกายของบอดี้การ์ดที่เพิ่งโจมตีมาเมื่อครู่ถึงกับชะงัก กำปั้นได้รับบาดเจ็บ ราวกับหมัดเมื่อสักครู่ชกเข้ากับแผ่นเหล็กหนา เขาเงยหน้าขึ้นทันที สีหน้าเต็มไปด้วยความประหลาดใจ
ในขณะนั้นเอง แววตาของฉินเฟยก็เกิดประกาย รู้สึกถึงลมที่พัดเข้ามาในหู ศีรษะหันไปอย่างรวดเร็ว หมัดที่ก่อนหน้านี้ควรจะกระแทกเข้าที่หัวของเขา กลับกระแทกไปที่ไหล่ของเขาแทน ฉินเฟยลงมือด้วยความรวดเร็ว ใช้ประโยชน์จากหมัดของอีกฝ่าย ส่งพลังผ่านไหล่ของตัวเอง โยนอีกฝ่ายข้ามหัวไปด้านหลังเข้ากระแทกร่างของบอดี้การ์ดรอบ ๆ สี่ห้าคน
เพียงพริบตาเดียว ฉินเฟยได้จัดการอีกฝ่ายไปแล้วหลายคน
ฉินเฟยตอนนี้เริ่มมีความกล้า วินาทีนั้นพวกเขาถึงกับต้องหยุดชะงัก เพราะการขว้างของฉินเฟย ทำให้รอบตัวเขาเกิดช่องว่างขึ้น เขาถีบบอดี้การ์ดลอยออกไปอีกสองคน บอดี้การ์ดด้านหลังกลัวว่าจะได้รับลูกหลง ต่างก็ค่อย ๆ หลบออกด้านข้าง
ฉินเฟยหันศีรษะไปทันที ใช้สายตาอันเย็นชามองหลิวโป๋ฮุ่ยที่นั่งสั่งการบอดี้การ์ดอยู่บนพื้น
หลิวโป๋ฮุ่ยร่างแข็งทื่อ ราวกับว่าตนเองกำลังถูกสัตว์ร้ายจ้องมอง ขนบนตัวลุกซู่
“จัดการมัน จัดการมันสิ พวกแก ไอ้พวกขยะ หยุดมันไว้ !”