ผมเป็นเขย(ผู้ไม่ธรรมดา) - บทที่ 77 เสิ่นเจียเหวินตามมาถึง
ผมเป็นเขย(ผู้ไม่ธรรมดา) บทที่ 77 เสิ่นเจียเหวินตามมาถึง !
โชคดีเพียงอย่างเดียวคือ บอดี้การ์ดเหล่านี้ไม่มีอาวุธอยู่ในมือ
หมู่บ้านหมิงเจียหุ้ยนั้นเป็นเขตพื้นที่ระดับสูง พวกเขาคือบุคคลภายนอก เมื่อคนจำนวนมากเข้ามาพร้อมกันเป็นปกติที่จะต้องถูกตรวจสอบ อีกทั้งหลิวโป๋ฮุ่ยก็ไม่คาดคิดว่าจะเกิดการต่อสู้ขึ้น
ความคิดของเขานั้นง่ายมาก ที่พาคนมาด้วยมากมายขนาดนี้ เป้าหมายเพียงอย่างเดียวก็คือต้องการทำให้ตกใจกลัว ! ทำให้ไอ้ลูกผู้หญิงสำส่อนไม่เจียมตัวอย่างฉินเฟยรู้จักความแตกต่างระหว่างเขา ฉินเฟยจะไม่เหลือทางเลือกอื่นนอกจากคุกเข่าร้องขอความเมตตา จากนั้นก็จะถูกลูกน้องของเขาจัดการ
แต่ไม่ว่าฉินเฟยและเสิ่นเจียเหวินจะมีความสัมพันธ์อะไรกัน นี่เพียงพอที่จะทำให้เขามองเห็นระยะห่างของทั้งสองฝ่าย และอีกเป้าหมายหนึ่งก็เพื่อที่จะแสดงให้เสิ่นเจียเหวินรับรู้ว่า ถ้าฉันสั่งเธอแล้ว แต่เธอไม่ยอมเชื่อฟัง ก็จะต้องยอมรับกับผลกระทบที่เกิดขึ้น !
แต่หลิวโป๋ฮุ่ยจะรู้ที่ไหนล่ะว่าฉินเฟยนั้นดุร้ายขนาดนี้ !
ถึงอย่างไรก็ตามเมื่อวานพวกเขาได้เผชิญหน้ากันแล้ว ด้วยร่างกายที่อ้วนท้วมของหลิวโป๋ฮุ่ย แม้แต่เด็กหนุ่มก็สามารถเตะเขาล้มได้
เพียงพริบตาเดียว ทางเข้าที่ไม่กว้างนักของหมู่บ้านหมิงเจียหุ้ย ก็ถูกฝูงชนรายล้อมอย่างหนาแน่น จากนั้นได้มีเสียงร้องโหยหวนและเสียงอู้อี้ด้วยความเจ็บปวดดังออกมาเป็นระยะ ๆ เกิดเป็นการต่อสู้ขึ้น
ด้านบนตึก มีหน้าต่างเปิดออกมาเป็นระยะ ๆ ผู้ที่อาศัยอยู่ที่นี่ต่างพากันโผล่หน้าออกมาดู และคนที่ไม่ได้รีบร้อนไปทำงานก็ค่อย ๆ หยุดดูเช่นกัน
ไม่ว่าจะที่ไหน ก็ไม่เคยขาดคนชอบดูความครึกครื้นเลย ถึงขนาดว่ามีหลายคนหยิบโทรศัพท์ออกมาถ่ายรูป
ตอนนี้เป็นสังคมที่มีกฎหมาย สำหรับคนทั่วไปแล้ว ไม่ต้องพูดถึงพื้นที่ระดับสูง ทั่วทั้งซงไห่ยังยากที่จะได้เห็นภาพการต่อสู้ขนาดใหญ่แบบนี้ !
นอกจากคนที่มามุงดูแล้ว ยังมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของหมู่บ้าน พวกเขามีการติดต่อกันภายใน เพียงไม่นานก็สามารถเรียกรวมพลในหมู่บ้านใกล้ ๆ ได้แล้วเจ็ดแปดคน แม้ว่าในมือของพวกเขาจะถือกระบองยางไว้ แต่เมื่อเห็นการต่อสู้นี้เข้า กลับไม่มีสักคนที่กล้าเข้าไปห้ามปราม
หลิวโป๋ฮุ่ยคิดว่ามีคนคอยปกป้องตนเองอยู่ จึงไม่กลัวอะไรทั้งสิ้น เรื่องวุ่นวายมาจนถึงขนาดนี้ เขาไม่มีทางปล่อยไว้อย่างนี้แน่ เมื่อเห็นว่าลูกน้องของตนล้อมรอบฉินเฟยไว้แล้ว เขาก็เบาใจลงทันที ตะโกนออกไปด้วยความลำพองว่า “ไอ้เวรเอ้ย จัดการมัน จัดการไอ้ลูกผู้หญิงสำส่อนนี่ให้ตาย ให้มันพิการไปเลย !”
แน่นอนว่าฉินเฟยไม่มีทางเข้าไปใกล้หลิวโป๋ฮุ่ยได้ บอดี้การ์ดเหล่านี้แม้จะมีพลังด้อยกว่าเขา แต่พวกเขาก็ไม่ใช่อันธพาลที่อยู่ข้างถนน แต่เป็นมืออันธพาลของจริง
ฉินเฟยนั้นแข็งแกร่ง แต่ก็ไม่มีทางเกินขอบเขตของคนธรรมดาได้ ย่อมไม่มีความสามารถเพียงพอจะจัดการกับนายพลท่ามกลางกองทัพศัตรูนับหมื่นได้
นั่นเป็นเหตุผลที่จู่ ๆ เขาก็มุ่งเป้าไปที่หลิวโป๋ฮุ่ย ตั้งใจเพียงแค่อยากลากเขาเข้ามาพัวพัน โดยเฉพาะก่อนหน้านี้ที่หลิวโป๋ฮุ่ยร้องตะโกนออกมาด้วยความหวาดกลัว ทำให้เหล่าอันธพาลเสียสมาธิ กลัวว่าจะเผลอทำร้ายหลิวโป๋ฮุ่ยเข้าอีก
การต่อสู้กินเวลาต่อเนื่องกันห้าถึงหกนาที
ทุกครั้งที่ฉินเฟยใช้ฝ่ามือฟาดลงจุดสำคัญต้องมีคนล้มลงไปนอนเสมอ
ขณะที่หลิวโป๋ฮุ่ยกำลังกรีดร้องอยู่นั้น เพียงแค่ห้านาที เหล่าอันธพาลเกือบสามสิบคนก็ล้มลงไปนอนร้องครวญครางกับพื้น
อย่ามองแค่ว่าฉินเฟยไม่มีอาวุธเหมือนกัน มือและเท้าของเขามีพลังโจมตีอันรุนแรง แม้ว่าอันธพาลเหล่านั้นจะได้รับการฝึกฝนมาเป็นพิเศษ แต่เมื่อถูกฉินเฟยต่อยเข้า ต่อให้ไม่มีเลือดออกมา แต่พลังต่อสู้ของพวกเขาก็หายไปแล้วมากกว่าครึ่ง
ทั้งหมัด ศอกของฉินเฟย ลูกเตะ หัวเข่า ถูกใช้ออกจนฟ้าดินสะเทือน คนที่อยู่รอบ ๆ ส่งเสียงร้องอุทานออกมาเป็นระยะ ๆ ถึงขนาดว่ามีคนที่อยู่ด้านบนจำนวนมากที่มองดูความครึกครื้นด้านล่าง ยังถ่ายวิดีโอเก็บเอาไว้
แต่ในตอนนี้ ร่างของฉินเฟยไม่ได้มีเพียงแค่รอยเท้าจำนวนมากเท่านั้น ที่ลำคอของเขาเองก็เกิดรอยช้ำขึ้น ขนาดเกิดรอยเลือดซึม ภายใต้เสื้อผ้าเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำ
แต่ว่า เหล่าบอดี้การ์ดต่างก็ค่อย ๆ ล้มลงไปทีละคน ๆ มีเพียงแค่เขาคนเดียวที่ยืนหยัดอย่างภาคภูมิ
บอดี้การ์ดที่หลงเหลือกันอยู่เจ็ดคน สีหน้าเต็มไปด้วยความหวาดกลัว นี่ใช่คนจริง ๆ หรือ ? เขาจัดการคนสามสิบคนด้วยตัวคนเดียว ?
เมื่อมองไปยังพรรคพวกเดียวกันที่นอนร้องโอดครวญอยู่บนพื้น โดยเฉพาะหนึ่งในนั้นที่แขนบิดหัก นอนร้องชักกระตุกอยู่ พวกเขาต่างก็มองหน้ากัน ทำได้เพียงอยู่ข้างกายหลิวโป๋ฮุ่ยคอยปกป้องเขาเท่านั้น
“เวรเอ้ย พวกแกจะมาอยู่ข้างฉันทำไม ไปจัดการมันสิ มันใกล้จะไม่ไหวแล้ว พวกแกไปจัดการมันเลย !” หลิวโป๋ฮุ่ยลุกขึ้นอย่างสั่นเทา ภาพอันน่าเวทนาตรงหน้าทำให้เขาตกใจ ความรู้สึกโมโหแผ่ซ่านออกมา ถีบเข้าที่หลังของบอดี้การ์ดคนหนึ่งอย่างแรง
ฉินเฟยหายใจเหนื่อยหอบราวกับที่สูบลม แม้ว่านี่จะเป็นการต่อสู้เพียงไม่กี่นาที แต่เส้นประสาทของเขากลับตึงเครียดอยู่ตลอด ทำให้ยิ่งต้องอดทนมากขึ้น ไม่ว่าจะต่อยเตะออกไปกี่ครั้ง เขาก็ไม่สามารถล้มลงได้
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับคนจำนวนมาก หากเขาล้มลงล่ะก็ พวกเขาจะต้องกรูเข้ามาพร้อมกันแน่ และเขาก็จะไม่มีโอกาสพลิกตัว การต่อสู้อันดุเดือดในห้านาทีนี้ ทำให้เขาเหนื่อยจนแทบทรุด เมื่อได้ยินเสียงตะโกนด้วยความโมโหไม่ยินยอมของหลิวโป๋ฮุ่ย เขาก็ค่อย ๆ หันกลับมา
ชายที่ถูกหลิวโป๋ฮุ่ยถีบเมื่อสักครู่ ร่างกายที่สั่นเทาคิดจะพุ่งเข้าจู่โจมกลับแข็งทื่อกะทันหัน
ทว่า ฉินเฟยเริ่มลงมือแล้ว !
เขาเหมือนกับเครื่องจักรที่ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ดวงตาสีแดงราวกับสัตว์อสูร เขาสาวเท้าเข้ามา ความเร็วไม่ลดลงแม้แต่น้อย กระโดดกระแทกเข่าเข้าที่หน้าอกของบอดี้การ์ดคนนั้นอย่างโหดเหี้ยม
บอดี้การ์ดกรีดร้องออกมาด้วยความสยดสยอง ร่างลอยกระเด็นออกไป ลงไปนอนร้องครวญครางอยู่บนพื้น
บอดี้การ์ดหกคนรอบกายหลิวโป๋ฮุ่ยได้เห็นฉากนี้เข้า ก็ตกใจกลัวเป็นอย่างมาก
การกระทำย่อมเกิดมาจากจิตใจ เวลาที่คน ๆ หนึ่งหวาดกลัวการต่อสู้ แม้ว่าร่างกายจะไม่ได้รับบาดเจ็บ แต่แค่สามารถใช้พลังได้คครึ่งหนึ่งก็ดีมากแล้ว
“หยุดมันไว้ หยุดมันเดี๋ยวนี้ !”
หลิวโป๋ฮุ่ยคิดว่าพลังอันแข็งแกร่งของฉินเฟยนั้นมาถึงจุดสิ้นสุดแล้ว เมื่อเห็นฉากนี้ หลิวโป๋ฮุ่ยก็ตกใจจนสั่นไปทั้งตัว เขาฉี่ราดออกมา พลางร้องตะโกนออกไปสุดเสียง
สายตาจับจ้องไปที่ฉินเฟยที่ค่อย ๆ ก้าวเข้ามา ยิ่งก้าวยิ่งเร็ว เหล่าบอดี้การ์ดมองหน้ากัน จากนั้นตะโกนออกมาด้วยความโกรธ ปลุกกำลังใจให้ตนเอง พุ่งเข้าจู่โจมฉินเฟย
ผ่านไปสองนาที บอดี้การ์ดทั้งหกคนก็ล้มลง ส่วนฉินเฟยนั้นมีแผลใหม่เกิดขึ้นอยู่เต็มร่าง แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังคงยืนอยู่ได้ เขาค่อย ๆ เดินเข้าไปหาหลิวโป๋ฮุ่ยทีละก้าว ๆ
หลิวโป๋ฮุ่ยถูกฉินเฟยเตะกระเด็นตั้งแต่เริ่ม แม้ว่าไขมันบนร่างกายจะช่วยลดบาดแผลลงได้ แต่ถึงกระนั้นก็ยังคงได้รับบาดเจ็บ พลังต่อสู้ของคนอ่อนแออย่างเขาตอนนี้นอกจากร้องตะโกนแล้วก็แทบจะเป็นศูนย์
เห็นฉินเฟยมองมาที่ตนราวกับยมทูต ดวงตาสีแดงก่ำราวกับปีศาจที่พร้อมจะกลืนกิน ค่อย ๆ เดินเข้ามาหาเขาทีละก้าว ๆ หลิวโป๋ฮุ่ยหวาดผวา นั่งลงไปบนพื้นด้วยขาที่อ่อนแรง
“แกอย่าเข้ามา แกรู้รึเปล่าว่าฉันเป็นใคร ? ถ้าแกกล้าทำร้ายฉันล่ะก็ แกได้ตายแน่” หลิวโป๋ฮุ่ยเสียงสั่น มีแค่การส่งเสียงเท่านั้นที่จะปลุกขวัญของตนเองได้ ใบหน้าอ้วนที่เต็มไปด้วยเหงื่อฝืนยิ้มออกมา “น้องชาย ครั้งนี่พี่ผิดไปแล้ว พวกเราไม่ต่อสู้กันคงไม่ได้รู้จักกัน หลังจากนี้ฉันจะไม่หาเรื่องวุ่นวายมาให้อีกแล้ว พวกเรายุติเรื่องบาดหมางต่อกัน โอเคมั้ย โอเครึเปล่า….”
เมื่อเห็นฉินเฟยทำเหมือนกับไม่ได้ยิน เดินเข้ามาใกล้เขาทีละก้าว ๆ หลิวโป๋ฮุ่ยก็กลัวจนแทบจะร้องไห้ เขาเกือบจะลงไปนั่งคุกเข่าแล้ว
ฉินเฟยเดินมาอยู่ตรงหน้าหลิวโป๋ฮุ่ย ก้มหน้ามองเขา
ฉินเฟยย่อมได้ยินคำพูดของหลิวโป๋ฮุ่ย แต่เขาไม่เชื่อเลยสักนิด บางทีการที่เขาแสดงความแข็งแกร่งออกมาครั้งนี้อาจจะทำให้หลิวโป๋ฮุ่ยหวาดกลัว แต่หลิวโป๋ฮุ่ยเป็นคนยังไงเขาก็พอเดาออก
ถ้าหากตนปล่อยเขาไว้แบบนี้ล่ะก็ จะมีแต่ทำให้เขาคิดว่าตนนั้นกลัวเบื้องหลังของเขา คนต่ำทรามอย่างเขา หลังจบเรื่อง จะต้องมาแก้แค้นตนอย่างแน่นอน !
เหตุผลที่เขากล้าแก้แค้น เป็นเพราะยังไม่เคยถูกตนต่อยจนหวาดกลัว ถ้าจะต้องต่อย ก็ต้องต่อยให้อีกฝ่ายหวาดกลัว จนไม่มีความกล้าพอที่จะต่อต้านตนอีกต่อไป นี่คือคำพูดที่คุณปู่ฉินห่าวเคยสอนเขาไว้
“ฉินเฟย……” ทันใดนั้น น้ำเสียงแฝงไว้ด้วยความร้อนรนอันคุ้นเคยได้ดังขึ้นจากด้านหลัง
ฉินเฟยค่อย ๆ หันกลับมาด้วยความยากลำบาก เห็นเสิ่นเจียเหวินที่สวมชุดนอนยืนอยู่ตรงทางเข้า สองมือถือไม้เบสบอลเอาไว้
ฉินเฟยก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยด้วยความงุนงง
มองเสิ่นเจียเหวินใช้ไม้เบสบอลแทนไม้เท้า เดินกะโผลกะเผลกมาทางนี้อย่างรวดเร็ว
เช่นเดียวกับชื่อบนวีแชทของเธอ เนื่องจากงานรัดตัวและมีแรงกดดันจากงาน เสิ่นเจียเหวินในยามปกติเมื่อมีเวลาก็จะห่วงนอนมาก เมื่อสักครู่เองเธอเพิ่งจะลุกไปเข้าห้องน้ำ ทำให้เพิ่งเห็นข้อความในวีแชทของตนเองจากฉินเฟย
แต่มัน ส่งมาเมื่อประมาณยี่สิบนาทีที่แล้ว เสิ่นเจียเหวินได้โทรหาฉินเฟยด้วยความงัยเงีย แต่ก็ไม่มีคนรับ
ทำให้เธอรู้สึกประหลาดใจ โทรติดต่อกันสามครั้งก็ไม่มีคนรับ สิ่งนี้อดให้เธอรู้สึกร้อนรนไม่ได้ ในตอนนั้นเธอได้ยินเสียงร้องโหวกเหวกโวยวายจากข้างนอก เธออยู่ที่ชั้นสิบเอ็ด เสียงไม่น่าจะดังได้ขนาดนี้
เธอมองลงไปด้วยความสงสัย ทำให้มองเห็นหลิวโป๋ฮุ่ยที่กำลังร้องโหยหวน และมีเหล่าบอดี้การ์ดที่นอนกองกันอยู่บนพื้น
เสิ่นเจียเหวินสีหน้าเปลี่ยนไปทันที ทำให้นึกถึงที่ฉินเฟยที่ไม่ยอมรับโทรศัพท์ ขณะนั้นเธอไม่มีเวลาเปลี่ยนเสื้อผ้า คว้าไม้เบสบอลที่ใข้สำหรับป้องกันตัวในห้องเดินกะโผลกกะเผลกออกไปอย่างเร่งรีบ
และเรื่องก็เป็นอย่างที่เธอกังวล ฉินเฟยถูกดักทำร้าย เพียงแค่เดินออกประตูไปเท่านั้น สิ่งที่ทำให้เธอประหลาดใจก็คือ ฉินเฟยจัดการกับบอดี้การ์ดกลุ่มนี้ลงไปนอนกองกันหมด ?
“เวรเอ้ย เธอรีบหยุดไอ้บ้านี่สิ ไอ้บ้านี่ไม่รู้ว่าฉันเป็นใคร เธอน่าจะรู้ใช่หรือเปล่า ผู้หญิงสำส่อนอย่างเธอ วันนี้ถ้าฉันถูกต่อยล่ะก็ แม่เธอจะต้องไม่ตายดี !” เมื่อเห็นเสิ่นเจียเหวินปรากฏตัวขึ้น หลิวโป๋ฮุ่ยที่กำลังหวาดกลัวก็รู้สึกได้ถึงความช่วยเหลือ
ลูกวัวเพิ่งเกิดไม่กลัวเสือ ในสายตาของหลิวโป๋ฮุ่ย ฉินเฟยก็คือลูกวัวที่เพิ่งเกิด แม้จะมีทักษะการต่อสู้ แต่ก็ไม่รู้ว่าเบื้องหลังของเขานั้นน่ากลัวแค่ไหน ที่ตอนนี้เขาทำอะไรสิ้นคิด ถ้าหากเขาถูกไอ้บ้านี่ต่อยจนเป็นอะไรเข้าจริง ๆ ต่อให้ไอ้ลูกผู้หญิงสำส่อนต่ำต้อยจะถูกสับออกเป็นชิ้น ๆ ให้สุนัขกินก็ยังไม่สาสม
เสิ่นเจียเหวินเดินกะโผลกะเผลกเข้ามาอย่างร้อนรน หลังจากได้ยินคำด่าทอของหลิวโป๋ฮุ่ยเข้า ฝีเท้าของเธอก็หยุดลง สีหน้าเปลี่ยนเป็นเย็นชา
“เธอมาที่นี่ได้ยังไง ?” ฉินเฟยเอ่ยปากถามด้วยเสียงแหบพร่า
เสิ่นเจียเหวินมองรอยช้ำบนใบหน้าของเขาอย่างเป็นกังวล รีบใช้มือไปลูบเขา พลางพูดด้วยน้ำเสียงร้อนรนว่า “นายเป็นอะไรรึเปล่า ? เจ็บตรงไหนไหม ?”
“ฉันไม่ได้เป็นอะไร….”
“แม่งเอ้ย ไอ้ผู้หญิงสำส่อน ไม่เห็นฉันนอนอยู่บนพื้นหรือไง ยังไม่รีบมาประคองฉันขึ้นไปอีก ?” หลิวโป๋ฮุ่ยเห็นผู้หญิงที่เขาเลือกด้วยแววตาที่ราวกับลูกผู้หญิงสำส่อนคนหนึ่ง ความโล่งใจเปลี่ยนเป็นโมโห
ฉินเฟยไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร แต่เสิ่นเจียเหวินรู้ นางยิ่งเข้าใจความต่างชั้นของตนเอง !
“แกด่าอะไรฉัน ?” เสิ่นเจียเหวินหันกลับมาจ้องหลิวโป๋ฮุ่ยตาเขม็ง ใบหน้าที่สวยงามแฝงไว้ด้วยความเยือกเย็น