ผมได้สืบทอดมรดกร้อยพันล้าน - ตอนที่ 78
บทที่ 78 งานประมูลเจิงเป่าเก๋อ
หม่าหลันได้ยินว่าให้กำไล มีมูลค่าห้าหกร้อยล้าน ทันใดนั้นนัยน์ตาเปล่งประกายแสง!
“กำไล? อยู่ไหน? ให้ฉันดูหน่อย! ”
ภายในใจลึกๆ ของเย่เฉินระมัดระวังมาก ปากพูดขึ้น “พ่อ กำไลนั้นอยู่ในห้องนอน แต่ว่านี่ผมกำลังคิดว่าจะคืนกลับไป”
“คืนกลับไป? ” หม่าหลันอดขมวดคิ้วไม่ได้ “สมองของแกป่วยหรือไง? ของห้าหกล้านแล้วยังจะคืนงั้นหรอ? ”
เย่เฉินพูด “ผมแค่ช่วยคนอื่นเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น คนอื่นให้ของอันล้ำค่าขนาดนี้นี้ คงจะไม่เหมาะสม”
“มีอะไรเหมาะสมไม่เหมาะสมเล่า! ” หม่าหลันพูดขึ้น “เขากล้าให้เราก็ต้องกล้ารับ! กำไลล่ะ? ถ้าแกไม่กล้าเอา ฉันเอาเอง! ”
เย่เฉินรู้ว่าแม่ยายคนนี้ต้องไม่ได้คิดเรื่องดีอะไรแน่นอน กำไลนั้นจริงๆ ตัวเองเตรียมไว้เพื่อให้เซียวชูหรัน แค่ไม่ได้มีโอกาสเหมาะสมให้เธอสักพัก ดังนั้นจึงได้เก็บไว้
นึกไม่ถึง พ่อตากลับปากไวมากจริงๆ แปบเดียวก็พูดทุกอย่างออกมา
กลับไม่ใช่เพราะว่าเย่เฉินเสียดายกำไลหลายล้านอันหนึ่ง ยังไงในบัตรของเขาก็มีเงินเกือบหมื่นล้าน กำไลอะไรพวกนี้จะไม่มีปัญญาซื้อหรือไง?
ทว่าที่สำคัญคือ เขารู้สึกว่าแม่ยายคนนี้ของตัวเอง ไม่สมควรที่จะใส่ของแพงขนาดนั้น นิสัยที่ปากร้าย แล้วยังชอบเอาเปรียบชาวบ้านจนๆ แค่ให้เธอใส่กำไลไม่กี่หมื่นก็ถือว่าดีต่อเธอแล้ว
ทว่า เวลานี้แม่ยายหม่าหลันกลับไม่ยอมพลาดโอกาสแบบนี้ไป
กำไลห้าหกล้าน ใส่ออกไปจะมีหน้ามีตาแค่ไหน?
ดังนั้นเธอเลยเร่งเร้าขึ้นไม่หยุด “กำไลล่ะ? เอาออกมาดูหน่อยสิ! ”
เซียวชูหรันที่อยู่ข้างๆ ก็รู้ กำไลนี้ถ้าเอาออกมาจริงๆ แล้วถึงในมือของแม่ ก็คงไม่สามารถเอากลับมาได้แล้ว
ดังนั้นเธอจึงพูด “แม่ ไหนๆ ก็เตรียมตัวคืนเตรียมตัวคืนให้คนอื่นแล้ว เราก็อย่าเอามาดูเลย ไม่งั้นเกิดเอาออกมากระแทกโดน คงไม่รู้ว่าจะบอกคนอื่นยังไง”
“จะคืนให้จริงหรอ? ” หม่าหลันรู้สึกกระวนกระวาย แล้วเตรียมตัวลุกขึ้นมาสั่งสอน “สมองของพวกแกนี่มันมีแต่ขี้เลื่อยใช่ไหม? ”
เซียวชูหรันรู้ แมต้องอยากจะโวยวายไม่ว่าด้วยเหตุผลแน่นอน ดังนั้นจึงพูดอย่างยืนหยัด “แม่ แม่อย่าพูดเลย หนูได้ปรึกษาหารือกับเย่เฉินแล้ว เรื่องนี้ให้เป็นไปตามนี้เถอะ”
หม่าหลันก็รู้นิสัยของเซียวชูหรัน ถ้าเธอยังคงดื้อดึงว่าจะคืนสินค้า ตัวเองไม่สามารถขัดขวางได้หรอก
พอนึกถึงของล้ำค่าหลายล้านออกไปต้องถูกคืนกลับไป เธอก็รู้สึกเจ็บปวดใจจนน้ำตาไหล แล้วร้องไห้พูดขึ้น “”ลูกเขยคนนี้ไม่ได้เรื่องก็ช่างมันเถอะ ลูกสาวกับฉันไม่ได้มีใจดวงเดียวกันอีก งั้นฉันยอมตายไปดีกว่า! ”
เซียวชูหรันคีบเนื้อให้แม่ แล้วพูด “พอเถอะแม่ วันข้างหน้าฉันจะซื้อกำไลให้แม่เอง”
“นี่แกพูดเองนะ! ”
…….
งานประมูลคนวันนี้
เย่เฉินจึงออกจากห้อ แล้วมาถึงห้องรับแขก เซียวฉางควนรู้สึกรอไม่ไหวแล้ว พอเห็นเขาเข้ามาต้อนรับด้วยความรู้สึกตื่นเต้น
“เย่เฉิน พวกเราไปกันเถอะ อย่าไปถึงสายล่ะ”
พอรู้ว่าจะได้ไปงานประมูล เซียวฉางควนหลับไม่ได้ทั้งคืน และรอเย่เฉินอยู่ตรงโน่น พอเห็นเย่เฉินออกมา จึงรีบลากเขาเดินไป
เจิงเป่าเก๋อเป็นกลุ่มคนหนึ่งที่ชื่นชอบในการเล่นวัตถุโบราณ จึงได้สร้างสมาคมเล่นวัตถุโบราณ ค่ายหลักๆ ของมันจึงอยู่ที่คฤหาสน์แห่งหนึ่งที่มีทิวทัศน์เป็นเขตชานเมือง
นายกสมาคมมีที่มา ได้ยินว่าเป็นเจ้าของกิจการอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ของจังหวัด ชื่นชอบในวัตถุโบราณ จึงลงต้นเงินหนึ่งร้อยล้าน แล้วรวบรวมบุคคลในโลกธุรกิจที่ชื่นชอบในการเล่นวัตถุโบราณ แล้วจึงก่อตั้งเป็น “เจิงไป๋เก๋อ”
เย่เฉินและเซียวฉางควนถึงประตูคฤหาสน์ของเจิงเป่าเก๋อ พอจอดรถเสร็จ ก็ลงจากรถ แล้วเงยหน้ามองไปทั่วทุกทิศ
ทิวทัศน์รอบข้างสงบดั่งที่คาดไว้จริงๆ แล้วเคล้าด้วยความหรูหรา อีกทั้งรถที่จอดไว้นอกประตูต่างก็มีรถหรูจอดอยู่ รถที่ถูกที่สุดก็เป็นพอร์เชอ
ส่วนเย่เฉินขับรถบีเอ็มดับเบิลยูซีรีส์ 5 มา เหมือนไก่เขาที่เข้าไปในคอกหงส์ ทำให้เป็นที่ดึงดูดสายตาเป็นพิเศษ
พ่อตาลงจากรถ แล้วสาวเท้าเดินเข้าไปด้านใน
เซียวฉางควนรู้สึกตื่นเต้นดีใจอย่างผิดปกติ นี่ถือว่าเป็นครั้งแรกที่มาในงานที่หรูหราแบบนี้ จึงมองไปยังทั่วทุกทิศไม่หยุด ทว่าก็ยังรู้สึกหวาดกลัวเล็กน้อย มือไม้ยังคงดูเกรง
พอถึงหน้าประตู เซียวฉางควนก็โชว์การ์ดเชิญด้วยความตื่นเต้นเล็กน้อย
ภายในใจลึกๆ ของเขารู้สึกกังวลเล็กน้อย การ์ดเชิญสองใบนี้ของเย่เฉินได้มาเป็นของปลอมหรือเปล่า?
ทว่า บอดี้การ์ดตรงประตูจึงรีบพิสูจน์ก็ได้ผ่าน จึงพูดกับทั้งสองคนด้วยความเคารพ “ทั้งสองท่าน เชิญครับ! ”
เซียวฉางควนถึงถอนหายใจ แล้วตามเย่เฉินเข้าไปด้านใน
ทั้งสองอยู่ทางฝั่งนี้แล้วเพิ่งจะเข้าไปในงาน เซียวไห่หลงที่แต่งกายมีหน้ามีตา ก็รีบเดินโงนเงนเข้ามาด้านใน
เพิ่งจะเข้ามาถึง เซียวไห่หลงก็ขมวดคิ้ว สีหน้าเปล่งประกายความตกตะลึง
เย่เฉินกับเซียวฉางควนกลับอยู่ที่นี่!
ผู้ชายหน้าตาธรรมดาที่หนึ่งคนแก่อีกคนยังหนุ่ม มาทำอะไรที่นี่? ทั้งตระกูลเซียวได้การ์ดเชิญแค่ใบเดียว ตอนนี้อยู่ในมือของตัวเองแล้ว หรือว่าผู้ชายธรรมสองคนนี้แอบเข้ามา?
พอนึกถึงก่อนหน้านี้ที่ถูกเย่เฉินเอาเปรียบ เซียวไห่หลงก็เดินด้วยความโมโหมาด้านหน้า แล้วพูดด้วยเสียงเข้ม “เย่เฉิน นายมาได้ยังไง? นายรู้ไหมที่นี่ที่ไหน? ”
จู่ๆ เย่เฉินได้ยินเสียงของเซียวไห่หลงที่เหมือนเป็ดตัวผู้ จึงอดขมวดคิ้วไม่ได้
เซียวฉางควนเห็นเซียวไห่หลง จึงยิ้มอย่างได้ใจ “โธ่ ไห่หลง นายก็มาแล้วหรอ”
เซียวไห่หลงไม่เพียงแต่ไม่เห็นเย่เฉินในสายตา แม้กระทั่งเซียวฉางควน น้าสองของคนนี้ก็ยังไม่เห็นในสายตา ดังนั้นจึงเอ่ยถามด้วยคิ้วขมวด “พวกนายมาทำอะไรที่นี่? มีการ์ดเชิญอยู่หรอ? ”
“แน่นอนว่ามีสิ! ” เซียวฉางควนพูดลากเสียง
เซียวไห่หลงเอ่ยถามอย่างบีบบังคับไปทั่ว “น้ายังได้การ์ดเชิญสองเชิญสองใบ? ไปเอามาจากไหน? ”
เย่เฉินเหลือบตามองเขาเพียงพริบตาเดียว แล้วพูดด้วยเสียงเรียบ “เซียวไห่หลง พวกเราได้การ์ดเชิญมาจากไหน มีเกี่ยวอะไรกับแก? ”
เซียวไห่หลงแสยะยิ้มอย่างเย็นชา “ผู้ชายธรรมดาสองคนอย่างพวกแก จะได้การ์ดเชิญจากตระกูลซ่งได้ยังไง ฉันว่าพวกแกคงไม่ใช่ว่าแอบขโมยใบเชิญของคนอื่น แล้วเข้ามานะ? ”
“นายป่วยหรอ” เย่เฉินไม่ได้จะสนใจเขา จึงหันไปแล้วไม่พูดไม่จา
ท่าทางที่ไม่เห็นคนอื่นในสายตาแบบนี้ กลับทำให้เซียวไห่หลงรู้สึกโมโหมากยิ่งขึ้น
ในสายตาของเขา เย่เฉินเป็นเพียงไอ้สวะเท่านั้น ไม่มีฐานะและตำแหน่งใดๆ ในตระกูลเซียวเลย นี่ก็คือคนชั้นต่ำ!
และตอนนี้ เย่เฉินกลับมาเจิงเป่าเก๋อได้ นี่ทำให้เซียวไห่หลงรู้สึกว่าเป็นการเหยียดหยาม!
คนชั้นต่ำที่รักสบายคนหนึ่ง มีสิทธิ์อะไรมายืนเคียงไหล่กับเขา
เซียวไห่หลงมองเย่เฉินด้วยความโมโห แล้วชี้จมูกของเขาพลางพูดขึ้น “บอกมา พวกแกสองคนแอบเข้ามาได้ยังไง? ”
เย่เฉินขมวดคิ้ว แล้วพูดกับเซียวฉางควน “พ่อ อย่าไปสนใจไอ้คนสมองฝ่อแบบนี้เลย พวกเราไปกันเถอะ อย่าไปสนใจเขา”
“หยุดเดี๋ยวนี้! ”
เซียวไห่หลงเดินหน้ามาหนึ่งก้าว แล้วตั้งใจขวางอยู่ตรงหน้าเขา พร้อมมองด้วยความท้าทาย “ยังอยากหนีอีก แกรู้สึกกลัวใช่ไหม? แกต้องใช้วิธีสกปรกแอบเข้ามาแน่นอน! งานที่หรูหราแบบนี้ แกไม่มีสิทธิ์เข้ามาอยู่แล้ว! เอาการ์ดเชิญมาให้ฉันดู! ”
เย่เฉินก็รู้สึกโมโห ต่อให้เขายอมถอย ทว่าก็ไม่สามารถให้ฝ่ายตรงข้ามมาดูหมิ่นแบบนี้ได้
เขาจึงพูดด้วยเสียงเย็นชา “มองการ์ดเชิญของฉัน? แกไม่คู่ควร! ไสหัวไป! ”
เซียวไห่หลงขมวดคิ้ว แล้วความโมโหจึงพุ่งขึ้นมาในสมอง
ในสายตาของเขา เย่เฉินเป็นเพียงไอ้สวะที่ไม่ได้เรื่อง กลับกล้าให้เขาไสหัวไป!
เซียวไห่หลงจึงจับแขนของเย่เฉินไว้ แล้วพูดด้วยความเย็นชา “วันนี้แกไม่พูดให้ชัดเจน ก็อย่าคิดจะออกจากนี่”