ผมได้สืบทอดมรดกร้อยพันล้าน - ตอนที่ 859
ป้าหลี่ที่อยู่ข้างๆ เมื่อได้ยินจะไปกินข้าวที่โรงแรมข่ายเยว่ เธอรีบพูดออกมาว่า: “เจี่ยงหมิง ป้ารู้ว่านี่เป็นน้ำใจของนายนะ จะจัดงานเลี้ยงต้อนรับป้ากลับมา แต่ก็ไม่ต้องไปโรงแรมข่ายเยว่ที่หรูหราแบบนั้นก็ได้ มันแพงไป!”
ต่อมา ป้าหลี่พูดต่อว่า: “ที่สำคัญกินที่ไหนก็เหมือนกัน หรือเดียวป้าทำอาหารอร่อยๆ ด้วยตัวเองให้ทุกคนกิน พวกเรากินอยู่ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้านี่แหละ แบบนี้พวกเธอก็สามารถประหยัดเงินลงเยอะเลยนะ เงินที่ประหยัดได้ พวกเธอเอาไปทำอะไรที่อยากทำ จัดงานเลี้ยงต้อนรับป้า ใช้เงินเยอะมาก ไม่คุ้มหรอก…….”
เธอใช้ชีวิตอย่างประหยัดมาทั้งชีวิต และไม่เคยไปสถานที่ฟุ่มเฟือยแบบนั้น ถ้าให้เธอไปกินข้าวมื้อละหมื่น เธอคงปรับตัวยาก
แต่เจี่ยงหมิงยิ้มอ่อนๆ พูดว่า: “ป้าหลี่ ป้าอย่าพูดแบบนี้สิ พวกเราเป็นเด็กที่ป้าเลี้ยงมาจนโตนะ ตอนนี้ก็ถึงช่วงอายุที่พวกเราสามารถทำอะไรเพื่อป้าได้แล้ว ที่สำคัญเมื่อกี้ฉันก็พูดแล้วว่า อาหารมื้อนี้ฉันไม่ได้เป็นคนเลี้ยง ฉันจ่ายครึ่งหนึ่ง และอีกครึ่งหนึ่งทุกคนหารกันจ่าย!”
ระหว่างที่พูด เขาเห็นป้าหลี่ยังลังเล และได้พูดโน้มน้าวว่า: “ป้าหลี่สบายใจได้เลยนะ อาหารมื้อนี้ไม่แพงอย่างที่คิด ที่สำคัญทางโรงแรมข่ายเยว่มีความร่วมมือกับทางบริษัทผม ผมไปใช้บริการต้องมีส่วนลดแน่นอน กินข้าวมื้อหนึ่ง ทุกคนหารกันจ่ายก็ตกคนละร้อนกว่าๆ เอง!”
เมื่อได้ยินคำพูดประโยคออกมา คนที่อยู่ณตรงนี้ถึงได้โล่งใจ
ถ้าทุกคนจ่ายคนละร้อยกว่าๆ ก็ยังอยู่ในงบที่ทุกคนยอมรับได้ ทุกคนก็เลยโล่งอกไม่น้อย
และพวกเธอก็คิดว่า อยากจะใช้โอกาสนี้ ใช้เงินที่น้อยเพื่อไปสัมผัสกับความหรูหราและความมีระดับของโรงแรมห้าดาวอย่างคุ้มค่าอีกด้วย
ตอนนี้ป้าหลี่ยังลังเลอยู่ เจี่ยงหมิงมองไปที่เวลาและพูดว่า: “ป้าหลี่ ตอนนี้หกโมงกว่าแล้วนะ ถ้าพวกเราไม่รีบไป ถ้าไปร้านอาหารอื่นอาจจะไม่มีที่ว่างแล้วนะ”
ป้าหลี่คิดว่า นานๆ เด็กพวกนี้จะมาเยี่ยมเธอครั้งหนึ่ง ถ้าสุดท้ายแล้วไม่ได้กินข้าวด้วยกัน จะทำให้เสียอารมณ์มากเลยนะ
สุดท้าย ป้าหลี่ก็ปฏิเสธความรักและความห่วงใยของเจี่ยงหมิงไม่ได้ ก็เลยพยักหน้ารับปากและพูดว่า: “ได้ งั้นก็ไปกินที่โรงแรมข่ายเยว่”
เจี่ยงหมิงดีใจและรีบพูดว่า: “ป้าหลี่ พวกเรารีบไปกันเถอะ”
มีคนเอ่ยปากถามว่า: “แล้วพวกเราสิบกว่าคนไปจะอย่างไง?”
เจี่ยงหมิงยิ้มและพูดว่า: “รถของฉันนั่งได้แค่สี่คน ให้ป้าหลี่นั่งรถฉัน และเสี่ยวเฟินก็นั่งรถฉันด้วย และเหลืออีกส่องที่นั่ง”
ระหว่างที่พูด เขาตั้งใจมองไปที่เย่เฉินและยักคิ้ว แล้วหัวเราะและถามว่า: “เย่เฉิน นายกับภรรยาของนายจะนั่งรถฉันมั้ย? ฉันจะพาพวกเธอไปเอง ภรรยาของเธอสวยขนาดนี้ ควรจะนั่งรถพวกบีเอ็มดับเบิลยูหรือเบนซ์นะ จะให้เธอนั่งรถเมล์ไม่ได้นะ!”
เย่เฉินยิ้มเล็กน้อยและพูดว่า: “ขอบคุณความหวังดีของนายนะ แต่ฉันก็ขับรถมาเหมือนกัน”
“โธ่เอ๋ย นายไม่ได้พูดเล่นใช่มั้ย?” เจี่ยงหมิงถามด้วยความเว่อวัง: “นายขับรถมาเองหรือ? นายเป็นลูกเขยแต่งเข้าไม่ใช่หรือ? ทำไมถึงมีปัญญาซื้อรถ? รถอะไรหรือ? ซูซูกิหรือเซียลี?”
เย่เฉินเอากุญแจรถบีเอ็มดับเบิลยูออกมาด้วยสีหน้าที่นิ่งเฉย และกดเพื่อปลดล็อก ไม่นานรถบีเอ็มดับเบิลยู760ที่จอดอยู่ข้างถนนนั้น มีไฟเหลืองกะพริบขึ้นมา
ทุกคนมองไปตามรีโมทรถยนต์ เห็นเย่เฉินได้ยื่นมือไปปลดล็อกรถบีเอ็มดับเบิลยูจริงๆ ทุกคนในที่นี้อุทานออกมาด้วยความตกใจ
เพื่อนๆ ของเขาเหล่านี้อาจจะไม่ค่อยมีอนาคตที่สดใสเท่าไหร่ เมื่อกี้เห็นรถเบนซ์ราคาห้าแสนกว่าหยวนของเจี่ยงหมิงแล้ว ก็ทำให้พวกเขาตกใจมากแล้ว คิดว่านี่คงเป็นเป้าหมายสุดยอดของพวกเขาที่ตั้งใจทำงานแล้ว แต่ไม่คิดเลยว่า เย่เฉินคนนี้ก็ขับรถบีเอ็มดับเบิลยูด้วย
สีหน้าของเจี่ยงหมิงกลายเป็นสีหน้าที่ไม่ค่อยดีเลย เพราะรถเบนซ์กับบีเอ็มดับเบิลยูเป็นรถระดับเดียวกัน ทำให้เขาที่เป็นจุดเด่นของกลุ่มเพื่อนนั้น รู้สึกไม่ค่อยสบายใจ
ตัวเองควรจะเป็นคนหนึ่งเดียวในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ที่มีปัญญาซื้อรถเบนซ์และบีเอ็มดับเบิลยู
แต่คิดไม่ถึงว่า เย่เฉินกลับมีปัญญาขับรถบีเอ็มดับเบิลยู!
เขารู้สึกลำบากใจมาก เขาก็เลยมองไปที่รถบีเอ็มดับเบิลยูของเย่เฉินอย่างละเอียด พบว่าท้ายรถของเย่เฉินมีตัวเลข520อยู่ อารมณ์เขาถึงได้ดีขึ้น