ผมได้สืบทอดมรดกร้อยพันล้าน - บทที่ 1854
เมื่อเฉียนหงเย่นสภาพที่น่าสังเวชของลูกชาย ก็อดไม่ได้ที่จะร้องไห้ และพูดอย่างสะอึกสะอื้นว่า: “ไห่หลง แม่จนปัญญาจริงๆ ในบ้านไม่มีของกินอะไรสักอย่าง ของที่สามารถหาเงินได้ก็ถูกคนของอู๋ตงไห่เอาไปหมดแล้ว ลูกจะให้แม่เอาอะไรให้ลูกกิน…”
เซียวเวยเวยร้องไห้พูดว่า: “แม่ค่ะ ไม่งั้นพรุ่งนี้หนูจะไปหางานทำ!”
เฉียนหงเย่นพยักหน้า และพูดว่า: “หางานทำก็ได้ แต่หางานทำก็ต้องพรุ่งนี้ เงินเดือนก็ต้องรอเดือนหน้า นี่ก็ใกล้จะตรุษจีนแล้ว พวกเราทั้งครอบครัวคงไม่สามารถที่จะหิวโหยฉลองตรุษจีนนะ…”
ในเวลานี้นายหญิงใหญ่เซียวพูดว่า: “ถ้าไม่ได้จริงๆ ก็ไปหางานที่คิดราคาเป็นชั่วโมง! หางานที่จ่ายรายวัน!”
เซียวเวยเวยพูดว่า: “ก็ทำได้เพียงแบบนี้แล้ว…”
ในขณะเดียวกัน จางกุ้ยเฟินที่อยู่ชั้นสาม ก็กำลังประชุมกับหลี่เยว่ฉินและต่งหยู้หลิง
สถานการณ์ตรงหน้าของพวกเธอทั้งสามคน เหมือนกันกับคนของตระกูลเซียว ก็คือไม่มีเงิน
ดังนั้น จางกุ้ยเฟินพูดกับทั้งสองคนว่า: “ตอนนี้พวกเราสามารถที่จะอาศัยอยู่ในคฤหาสน์หลังใหญ่นี้ได้ ก็เป็นบุญเก่าที่ทำมาหลายชาติแล้ว สำหรับเรื่องกินข้าว ฉันว่าพวกเราสามคนยังต้องคิดหาทางด้วยตัวเอง”
ต่งหยู้หลิงรีบพูดว่า: “พี่กุ้ยเฟิน พี่ว่าพวกเราจะทำยังไงกันดี? อีกสองวันก็ใกล้จะตรุษจีนแล้ว พวกเราก็ต้องเตรียมตัวเล็กน้อย ไม่ต้องพูดถึงอาหารมากมายหลากหลายอย่าง อย่างน้อยก็ห่อเกี๊ยวทานมื้อหนึ่งนะ?”
จางกุ้ยเฟินพูดว่า:“อันที่จริงเรื่องง่ายดาย ฉันรู้จักบริษัททำความสะอาดหลายแห่ง ล้วนไปทำความสะอาดให้คนอื่นเขาถึงที่หมาย สร้างรายได้ยี่สิบกว่าหยวนต่อหนึ่งชั่วโมง พวกเราสามคนทำด้วยกัน หนึ่งวันทำแปดชั่วโมง หนึ่งคนหนึ่งร้อยหกสิบ รวมกันแล้วก็มีห้าร้อยหยวน ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้ปลายปีแล้ว ค่าใช้จ่ายงานบริการก็เพิ่มขึ้น ไปอาบน้ำถูหลังให้คนอื่นเขาก็สามารถทำเงินได้มากเช่นกัน ตราบใดที่เราสามคนทำงานอย่างจริงจัง เงินที่หามาได้ก็เพียงพอที่พวกเราจะใช้จ่ายอย่างแน่นอน”
หลี่เยว่ฉินพูดทันทีว่า: “ไม่มีปัญหา แม้ว่าฉันจะไม่เคยเรียนหนังสือ แต่ก็ยังมีพละกำลังที่แข็งแรง!”
ต่งหยู้หลิงก็พยักหน้ารัวๆ: “งั้นพวกเราก็ฟังการจัดการของพี่กุ้ยเฟิน!”
จางกุ้ยเฟินตอบอือคำหนึ่ง และพูดว่า: “คืนนี้ก็นอนเช้าๆหน่อย พรุ่งนี้พวกเราจะออกไปหางานกันแต่เช้า!”
…
ข้างบ้านของคฤหาสน์ A05 ก็เป็นอีกฉากหนึ่ง
แม้ว่าขาหม่าหลันจะเข้าเฝือก แต่ว่าอารมณ์ของเธอก็ค่อนข้างดีทีเดียว
เย่เฉินและเซียวชูหรันสองสามีภรรยาทำอาหารเย็นด้วยกัน หม่าหลันเหยียดขาที่เข้าเฝือกออกจากโต๊ะอาหาร ทานไปด้วย ใช้โทรศัพท์สั่งของในเถาเป่าไปด้วย สีหน้าท่าทางก็ผ่อนคลายมาก
เมื่อเซียวฉางควนเห็นแบบนี้ อดไม่ได้ที่จะพูดประชดประชันเธอว่า: “ผมว่านะหม่าหลัน คุณจะยิ่งอยู่ยิ่งไม่คิดอะไรมากขึ้นเรื่อยๆแล้วจริงๆ ขาเพิ่งหักได้ไม่นาน ไม่เพียงแต่ไม่งี่เง่าไม่โวยวายบนท้องถนน แต่กลับเหมือนกับคนไม่เป็นไร สั่งของในเถาเป่าขึ้นมา! นี่ไม่ใช่นิสัยของคุณเลยนะหม่าหลัน!”
หม่าหลันเขม็งตาใส่เขาแวบหนึ่ง และพูดอย่างดูถูก: “แกจะรู้อะไร? ตอนนี้กูไม่เหมือนกับเมื่อก่อนแล้ว ตอนนี้กูเรียนรู้แล้วว่าจะขจัดสิ่งที่กีดขวางทางจิตใจของตัวเองได้อย่างไร!”
เย่เฉินก็ถามด้วยความอยากรู้อยากเห็นมาก: “แม่ครับ สามารถที่จะบอกกับผมได้มั้ย แม่ขจัดสิ่งที่กีดขวางทางจิตใจได้อย่างไร?”
หม่าหลันโบกมือ: “โธ่! เรื่องง่ายดายไม่ใช่เหรอ? ลูกคิดดูนะลูกเขยที่ดีของแม่ ถ้าแม่นั่งอยู่ที่นี่ยังคิดถึงขาข้างนี้ของแม่อยู่ตลอด งั้นแม่ก็ยิ่งอยู่ยิ่งเป็นทุกข์ยิ่งคิดยิ่งเป็นทุกข์ สุดท้ายแม่ทำให้ตัวเองโกรธจนเหลืออด ขานี้ก็ไม่สามารถที่จะกลับคืนสู่สภาพปกติได้ ลูกว่ามั้ย?”
เย่เฉินพยักหน้า: “เป็นหลักการนี้จริงๆด้วย”
หม่าหลันหัวเราะแฮะๆว่า: “ดังนั้น แม่ก็ไม่คิดเรื่องนี้แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นแม่ก็ไม่ได้คิดถึงขาแม่ แม่ก็แค่คิดถึงแต่หลี่ชุ่ยฮัวคนนั้น!”
เย่เฉินนิ่งเงียบอย่างฉับพลัน หลี่ชุ่ยฮัวเหรอ? นั่นก็คือเย่ฉางหมิ่นอาของตัวเองไม่ใช่เหรอ?
ในเวลานี้หม่าหลันพูดอย่างได้ใจว่า: “ในใจของฉันนี้ก็คิดว่า ครั้งนี้กูอายุยืนจริงๆ! ถูกหลี่ชุ่ยฮัวนักต้มตุ๋นคนนั้นตั้งใจแก้แค้น ไม่เพียงแต่ไม่ถูกเธอฆ่าตาย ยังแมร่งตบตีกับเธอด้วย!”
“ไม่เพียงแต่ตบตีเท่านั้น ยังทุบจนหน้าบวมช้ำ นี่มันสุดยอดมากแค่ไหนกัน?”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ หม่าหลันก็พูดต่อด้วยท่าทางที่สดชื่นว่า: “ตอนนี้ หลี่ชุ่ยฮัวก็ถูกจับแล้ว จากนี้ไปฉันก็ไม่ต้องกังวลว่าจะมีคนแก้แค้นฉันอีกแล้ว ลูกว่าแม่จะไม่มีความสุขได้ไง?”
เซียวชูหรันที่อยู่ข้างๆก็ถามด้วยความประหลาดใจว่า: “แม่ค่ะ หลี่ชุ่ยฮัวเป็นใครเหรอคะ? เป็นคนของกลุ่มแชร์ลูกโซ่เหรอคะ”
หม่าหลันรู้ตัวว่าตัวเองเผลอหลุดปากแล้ว รีบพยักหน้า: “ใช่ๆ หลี่ชุ่ยฮัวก็คือหัวหน้าของกลุ่มแชร์ลูกโซ่นั้น! คนสารเลวชั่วร้าย!”