ผมได้สืบทอดมรดกร้อยพันล้าน - บทที่ 1867
เพื่อไม่ให้เป็นการละเลยแขก เย่เฉินเชิญทุกคนเข้าสู่คฤหาสน์
ทุกคนก็รีบให้ลูกน้องที่ตามมา นำของขวัญที่เตรียมไว้เรียบร้อยหยิบออกมาจากภายในรถ จากนั้นก็เห็นคนจำนวนอย่างน้อยยี่สิบสามสิบคน หอบกล่องของขวัญระดับไฮเอนด์ต่างๆนาๆ ต่อแถวเดินเข้าคฤหาสน์
บริเวณไม่ไกล นายหญิงใหญ่เซียวที่คฤหาสน์A04 มองดูจนตาค้าง ปากเอ่ยพึมพำว่า “ฉากนี้ เป็นการส่งมอบของขวัญธรรมดาที่ไหนกัน?,นี่เรียกได้ว่าก็คือลักษณะของขุนนางในแต่ละท้องที่สมัยโบราณต่อแถวส่งเครื่องบรรณาการไปถวายแด่ฮ่องเต้ชัดๆ!”
เฉียนหงเย่นในใจจะให้ทุกข์ใจแค่ไหนก็ทุกข์ใจเท่านั้น เอ่ยปากว่า “คนกลุ่มนี้ล้วนเป็นคนใหญ่คนโตที่ถึงไม่มีเงินก็เป็นชนชั้นสูง ของขวัญที่พวกเขาส่งมอบ บวกเข้าด้วยกันไม่ได้รับเป็นหนึ่งร้อยล้านแล้ว?”
เซียวเวยเวยพึมพำด้วยดวงตาที่แดงก่ำ “หนึ่งร้อยล้านเกรงว่าก็ยังต้านไม่ไหว หวังเจิ้งกางมอบคฤหาสน์หลังหนึ่งเพียงแค่อย่างเดียว ก็จ่ายไปหลายร้อนล้าน…”
“เฮ้อ…” นายหญิงใหญ่เซียวเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเจ็บปวดอย่างหาใดเปรียบ “ฉันไม่ไหวแล้ว มองดูไม่ไหวแล้ว ดูต่อไปฉันจะต้องโรคหัวใจกำเริบ…”
พูดจบ ก็หมุนตัวเดินเข้าไปในห้อง
เฉียนหงเย่นเอ่ยขึ้นอย่างโมโหเคียดแค้น “ฉันมองดูก็เวียนหัวมากเหมือนกัน เฮ้อ”
เซียวเวยเวยไม่พูดอะไร มองเห็นหวังเหวินเฟยตามหวังเจิ้งกางเข้าไปในคฤหาสน์ของบ้านเย่เฉิน ในใจก็ยิ่งทุกข์ทรมานเป็นอย่างมาก
เซียวไห่หลงในเวลานี้นอนโหยหวนอยู่บนเตียงว่า “แม่…ย่า…หากไม่ทำของกินอะไรหน่อยเข้ามาอีก ผมก็จะหิวตายแล้ว…พวกท่านจะมองดูผมผู้ได้รับบาดเจ็บคนนี้นอนหิวอยู่บนเตียงไม่ได้นะ ลูกน้องของอู๋ตงไห่ไม่ได้ซ้อมผมกับพ่อให้ตาย นี่อีกไม่นานพวกเราสองคนก็จะหิวตายอยู่ภายในบ้านแล้ว!”
นายหญิงใหญ่เซียวรีบร้อนเอ่ยว่า “เวยเวย เธอไม่ได้บอกว่าวันนี้จะออกไปหางานหรอ รีบออกไปดูสิ!”
พูดจบ ก็จ้องเขม็งไปที่เฉียนหงเย่น โพล่งปากดุด่าเสียงดังออกมาว่า “เฉียนหงเย่น!เธอก็ต้องไปหางานหาเลี้ยงครอบครัว!”
เฉียนหงเย่นพยักหน้า เอ่ยขึ้นอย่างแนบไปด้วยความโมโหเล็กน้อยว่า “ฉันไปได้ แต่ว่าบ้านนี้น่ะจะเลี้ยงคนว่างงานเอาไว้ไม่ได้ ฉันไปแม่ก็ต้องไป!”
“ฉัน?!” การพูดจานายหญิงใหญ่เซียวต่างก็ไม่ลื่นไหลแล้ว เอ่ยขึ้นอย่างกระอักกระอ่วนว่า “ฉัน…ฉันอายุมากขนาดนี้แล้ว…เธอให้ฉันไปหางาน?!”
เฉียนหงเย่นย้อนถามเธอ “ทำไมคะ? อายุมากมีอะไรพิเศษ? อายุมากก็ไม่ต้องกินข้าวแล้ว? หากแม่พูดออกมาประโยคหนึ่งอย่างชัดเจนว่าแม่ไม่ต้องกินข้าว งั้นแม่ก็ไม่ต้องออกไปทำงานแล้ว ตัวเองไปห้องนอนที่อยู่ทางทิศเหนือ เปิดหน้าต่าง อ้าปากรออดตายก็แล้วกัน!”
“เธอ…เธอเหลวไหล!” นายหญิงใหญ่เซียวโมโหจนควบคุมอารมณ์เอาไว้ไม่อยู่ “ฉันอายุมากขนาดนี้ ไม่ให้ฉันกินข้าว นี่เธอกำลังจะบีบฉันให้ตายหรอ!”
เฉียนหงเย่นเอ่ยขึ้นด้วยใบหน้าที่เยือกเย็น “ตอนนี้สถานการณ์ภายในบ้านย่ำแย่ขนาดนี้ ใครๆต่างก็จำเป็นต้องคิดหาวิธีหาเงินเลี้ยงครอบครัว ฉางเฉียนกับไห่หลงตอนนี้คือได้รับบาดเจ็บ พวกเขาสองคนสามารถได้รับการยกเว้นชั่วคราวได้ แต่แม่ไม่ได้!”
นายหญิงใหญ่เซียวเอ่ยขึ้นอย่างโมโห “แกกล้าดี!แกกล้าดี!ฉันอายุมากขนาดนี้ เธอยังจะบีบบังคับฉันไปทำงาน!นี่เธอจะเอาชีวิตของฉันเลยหรอ!ตระกูลเซียวของเราแต่งสะใภ้ที่โหดเหี้ยมไร้ความเป็นคนอย่างเธอมาได้ยังไงกัน!ฟ้ามีตา ก็ควรจะฟาดสายฟ้าลงมาผ่าเธอให้ตาย!”
เฉียนหงเย่นหัวเราะอย่างประชดประชันพร้อมกับเอ่ยขึ้น “แม่ปากมากกับฉันอยู่ที่นี่น้อยๆหน่อย แม่ไม่ออกไปทำงานฉันก็ไม่บังคับ แต่ฉันหาเงินมาได้ก็ไม่มีทางเลี้ยงแม่ แม่คิดไตร่ตรองดูเองก็แล้วกัน!”
นายหญิงใหญ่เซียวในเวลานี้ก็ไม่กล้าเล่นตัวอีก เอ่ยปากขึ้นอย่างลำบากใจว่า “พวกเราสามคนก็ไม่สามารถไปทำงานกันทั้งหมดได้ ต้องเหลือไว้คนหนึ่งดูแลฉางเฉียนกับไห่หลงสิ”
เฉียนหงเย่นเอ่ย “ดูแลพวกเขาสองพ่อลูก แม่ก็ยิ่งไม่เหมาะสมแล้ว เขาสองคนตอนนี้อัมพาตอยู่บนเตียง แม่แม้แต่แรงจะพลิกตัวให้พวกเขาก็ยังไม่มี เหลือไว้ที่นี่มีประโยชน์อะไร?”
ในขณะที่พูด เฉียนหงเย่นหันไปทางเซียวเวยเวย เอ่ยปากว่า “เวยเวย ไม่อย่างนั้นลูอยู่ที่นี่ดูแลพ่อกับพี่ชาย แม่กับย่าแกออกไปหางาน”
เซียวเวยเวยพยักหน้าเบาๆ “ค่ะ…”
…
เวลานี้ ในบ้านเย่เฉิน
หม่าหลันที่ขาขวาใส่เฝือก ได้ถูกภาพที่อยู่ตรงหน้าทำให้ตกตะลึงจนตาค้าง