ผมได้สืบทอดมรดกร้อยพันล้าน - บทที่ 1942
บทที่ 1941
กว่านายหญิงใหญ่เชียวจะได้กินอิ่มนอนหลับแบบนี้ได้ก็ใช่ว่าจะมีบ่อยครั้ง
แต่คิดไม่ถึงเลยว่า ประตูห้องจะถูกจางกุ้ยเฟินถีบเข้ามาอย่างกรุ่นโกรธตั้งแต่เช้าตรู่แบบนี้!
นายหญิงใหญ่เชียวยังไม่ทันได้ตั้งตัว จางกุ้ยเฟินก็พุ่งเข้ามาที่เตียง ตวัดฝ่ามือลงบนหน้าของเธอ พร้อมกับสบถด่าอย่างเดือดดาลว่า
“อีแก่ แม้แต่ข้าวในกระถางธูปของพระโพธิสัตว์ยังกล้าขโมย แกยังเป็นคนอยู่ไหม?”
นายหญิงใหญ่เซียวโดนตบจนหน้ามืด ในตอนที่เห็นใบหน้าที่ห่างกันแค่คืบของจางกุ้ยเฟินเต็มไปด้วยความกรุ่นโกรธ เธอก็ตกใจกลัวสติ
กระเจิงในทันที หลุดปากอ้อนวอนออกไปว่า “กุ้ยเฟิน ฉันขอโทษกุ้ยฟิน! ฉันไม่ได้อยากขโมยของของแก แต่ฉันหิวมากจริงๆ…..·
จางกุ้ยเฟินกราดเกรี้ยว กัดฟันเอ่ยพูดสียงเหี้ยมว่า “แกหิวก็เรื่องของแก มันเกี่ยวอะไรกับฉัน? กระถางธูปนั้นฉันเอาไว้บูชาพระ
โพธิสัตว์ แกขโมยข้าวในนั้น ก็เท่ากับแกดูหมิ่นพระโพธิสัตว์! ถ้าหากพระโพธิสัตว์พิโรธขึ้นมาล่ะกั มันเป็นเพราะแกหาเรื่องซวยให้ฉัน! ”
นายหญิงใหญ่เชียวสะอื้นออกมา “กุ้ยเฟิน… ..วันตรุษจีนนี้.. ..แกคงทนมองคนแก่อย่างฉันหิวตายอยู่ในนี้ไม่ได้หรอกใช่ไหม? แกบอกมาสิ
ถ้าฉันหิวต๋ายอยู่ในนี้จริงๆ หลังจากนี้แกจะอยู่ที่นี่ยังไง? แกจะนอนอยู่ในห้องชั้นบนทุกวัน ทั้งๆที่ห้องชั้นล่างมีฉันนอนตายอยู่แบบนี้ แกรับได้
จริงๆเหรอ?”
นายหญิงใหญ่เซียวร้องห้ทั้งน้ำตาพร้อมพูดออกมาว่า “กุ้ยเฟิน….กถือซะว่าช่วยชีวิตคนแก่อย่างฉันเถอะนะ พระโพธิสัตว์ท่านกล่าวไว้
ไม่ใช่เหรอ? ว่าการช่วยชีวิตคนหนึ่งครั้ง มีบุญยิ่งกว่าสร้างเจดีย์เจ็ดชั้น ถือซะว่าเป็นการสะสมบุญกุศลเถอะนะ! ”
แม้ว่าสีหน้าของจางกุ้ยเนจะอ่อนลงบ้างแล้ว แต่ก็ยังเอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นว่า “เพราะเห็นแก่คำสอนของพระโพธิสัตว์หรอกนะ
ฉันจะให้อภัยเรื่องที่แกขโมยข้าว แต่แกต้องรับผิดชอบการกระทำของตัวเอง ต้องชดใช้กับสิ่งที่แกทำ!”
นายหญิงใหญ่เชียวเอ่ยถามอย่างร้อนใจว่า “กุ้ยเฟิน แกอยากให้ฉันชดใช้อะไร?”
จางกุ้ยเฟินเอ่ยพูดเสียงเย็น “วันนี้แกต้องซักผ้าให้พวกฉันสามคน แล้วฉันจะทำเป็นไม่เห็นว่าเรื่องนี้เคยเกิดขึ้น!”
เมื่อนายหญิงใหญ่เชียวได้ยินดังนั้น ก็รีบอ้อนวอนขึ้นมาว่า “กุ้ยเฟิน เมื่อวานฉันไม่สบาย ไม่มีแรงไปทำงานที่ตลาด ฉันก็เลยขโมยข้าว
ของแก วันนี้ยังไงฉันก็ต้องไปทำงาน ไม่อย่างนั้นวันนี้คงไม่มีข้าวกินแน่ๆ…
“ฉันไม่สน!” จางกุ้ยเนเอ่ยพูดอย่างหงุดหงิด “แกจะซักผ้าให้ฉัน หรือแกจะหาข้าวมาคืนฉัน ฉันจะบอกไว้ให้นะ แกกินไปเท่าไหร่ ก็เอา
คืนมาเท่านั้น เอามาคืนให้กระถางธูปเต็มเหมือนเดิม! ”
นายหญิงใหญ่เชียวร้องห้ออกมาอย่างเศร้าศก “กุ้ยเฟิน ฉันเอาข้าวทั้งหมดลงหม้อต้มไปหมดแล้ว ตอนนี้จะให้ฉันเอาอะไรมาคืนแก?
เอาอย่างนี้ได้ไหม วันนี้แกให้ฉันไปทำงานที่ตลาด ถ้าฉันหาเงินได้แล้วจะรีบซื้อข้าวมาคืนแกทันทีเลย ดีไหม?”
“ไม่ดี!” จางกุ้ยเนเอ่ยพูดอย่างไม่ยินยอม “ถ้าแกเลือกหาข้าวมาคืนให้ฉัน ก็คืนมาตอนนี้ ไม่อย่างนั้น ก็ไสหัวไปซักผ้าให้ฉันซะดีๆ!”
พูดจบ จางกุ้ยเฟีนก็เอยขู่ขึ้นมาอีกว่า “ถ้าบอกดีๆแล้วยังไม่ฟัง อย่ามาหาว่าฉันใจร้ายกับแกแล้วกัน! ”
เมื่อนายหญิงใหญ่เชียวเห็นใบหน้าโหดเหี้ยมของจางกุ้ยเฟิน ก็รู้ได้ในทันทีว่าผู้หญิงคนนี้ไม่ได้ล้อเล่น
ตอนนี้เธอมีหัวเดียวกระเทียมลีบ จะไปสู้อีกฝ่ายได้ยังไง?
ดังนั้น นายหญิใหญ่เชียวจึงทำได้เพียงพยักหน้า พูดกลั้วสะอื้นว่า “ได้..ฉันจะทำ….นจะไปซักให้เดี๋ยวนี้…..
วันเฉลิมฉลองใหญ่นี้ นายหญิงใหญ่เซียวแทบจะไม่มีข้าวตกถึงปาก
จางกุ้ยเฟินทิ้งกองเสื้อผ้ากับผ้านวมสกปรกไว้ให้นายหญิงใหญ่เซียว พร้อมทั้งออกคำสั่งว่าต้องซักให้เสร็จวันนี้
ดั่งนั้นนายหญิงใหญ่เชียวจึงไม่มีเวลาออกไปหาเงินเลย
ด้านเซียวเวยเวย ต้องดูแลเซียวฉางเฉียนและเซียวไห่หลงที่ได้รับบาดเจ็บจนต้องนอนติดเตียง จึงเฉียดเวลาออกไปไหนไม่ได้เหมือนกัน
แจ้งรายงาน