ผมได้สืบทอดมรดกร้อยพันล้าน - บทที่ 2151
บทที่ 2151
“คุณไม่มีโทรศัพท์เหรอ?!”
สำหรับคำพูดของเชียวเวยเวย ทำให้เย่เฉินรู้สึกเหลือเชื่อมากๆ
ในสมัยนี้ แม้แต่ป้าที่เข้นรถขายของอยู่ริมถนนก็มีสมาร์ทโฟนแล้ว เชียวเวยเวยที่เป็นเด็กวัยรุ่นหันสมัย ทำไมถึงไม่มีโทรศัพท์ มันเป็น
เรื่องที่เหลือเชื่อมากๆ
เซียวเวยเวยมองเห็นสีหน้าประหลาดใจของเย่เฉิน ยิ่งทำให้เธอรู้สึกเขินอาย และพูดติดๆขัดๆว่า:”พี่เขย…น…น..โทรศัพท์ของ
.โดนลูกน้องของอู๋ตงไห่ยึดไปแล้ว….
ขณะที่เซียวเวยเวยพูด เธอก็ก้มหน้าด้วยความเขินอาย
เมื่อเธอพูดคำเหล่านี้ออกมา ทำให้เธอรู้สึกขายหน้ามากๆ
ตระกูลเชียวในเวลานี้ ได้เดินมาถึงจุดตกต่ำที่สุดแล้ว
แค่โทรศัพท์มือถือเพียงเครื่องเดียวก็ไม่มีปัญญาซื้อ ฐานะของพวกเขาต้องยากจนถึงขนาดไหน…
เมื่อเย่เฉินได้ยินคำพูดเหล่านี้ เขาก็เข้าใจได้ทันที
หลังจากที่อู่ตงห่ยอมสวามิภักดิ์ต่อฉันแล้ว แต่เขาก็เกลียดคนของตระกูลเซียวมากๆ เขารู้ว่าฉันไม่ค่อยถูกกับคนของตระกูลเซียว เขาก็
เลยพยายามกลั่นแกล้งและแก้แค้นคนของตระกูลเซียวให้สาสม
อันที่จริงเรื่องพวกนี้ ถ้าฉันพูดเรื่องนี้กับอู๋ตงห่ ตงห่ก็จะฟื้นฟูความเป็นอยู่ที่สุขสบายของพวกเขาให้กลับไปเหมือนเมื่อก่อน และเขาก็
ยังคงลงทุนกับตระกูลเซียว ทำให้ธุรกิจของตระกูลเซียวกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง
เพราะการฟื้นฟูธุรกิจของตระกูลเซียวใช้เงินเพียงแค่ไม่กี่สิบล้านหยวน ถึงแม้อู่ตงไห่จะสูญเสียทรัพย์สินส่วนใหญ่ไปแล้ว แต่ทรัพย์สินที่
เขาเหลืออยู่นั้นก็ยังคงเยอะอยู่ ขอเพียงเขายอมเจียดเงินเล็กน้อยออกมา ก็จะทำให้คนของตระกูลเซียวมีกินมีใช้
แต่เย่เฉินไม่ต้องการทำเช่นนี้
คนของตระกูลเซียวต้องตกอับแบบนี้ เพราะกรกระทำของพวกเขาเอง โดยเฉพาะนายหญิงใหญ่เชียวกับเชียวฉางเฉียน สองคนนี้ค่อย
หาทุกวิถีทางเพื่อเป็นศัตรูกับครอบครัวของเย่เฉิน
ดังนั้น พวกเขาก็สมควรที่จะได้รับบทลงโทษ
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เย่เฉินก็ตัดสินใจได้ทันที อย่างมากที่สุด เขาก็แค่ให้ความช่วยเหลือกับเซียวเวยเวยเล็กน้อย นี่เป็นรางวัลเล็กๆที่เธอกลับ
ตัวกลับใจและกล่าวคำขอโทษฉันอย่างจริงใจ และยอมเรียกฉันว่าพี่เขย
เย่เฉินเป็นคนที่แบ่งแยกความดีความชอบและการลงโทษที่ชัดเจนและยุติธรรม
ถ้าการทำผิดนั้นไม่มีโทษถึงตาย ถ้าคนๆนั้นยอมกลับตัวกลับใจ เขาก็สามารถให้อภัยคนๆนั้น
อย่างเช่นอู๋ตงไห่และคนในครอบครัว ถึงแม้อู่ฉีจะเป็นผู้ชายเหี้ยๆ แต่ความผิดของเขาก็ยังไม่ถึงกับต้องตาย ถึงแม้อู่ตงไห่และลูกชายคน
โตที่ชื่ออู่ซินจะเป็นคนที่หยิ่งยโส แต่ความผิดของพวกเขาก็ไม่ถึงกับต้องตายเหมือนกัน
ดังนั้น พวกเขาสามพ่อลูก ถึงแม้จะโดนลงโทษอย่างหนัก แต่ตอนนี้พวกเขาก็ยังมีชีวิตอยู่
แต่น้องเขยของอู๋ตงไห่ที่ชื่อว่าเซวหนานชาน เป็นคนที่ทำแต่ความชั่ว ไม่รู้ผิดชอบชั่วดี คนประเภทนี้ไม่ควรอยู่บนโลกนี้อีกต่อไป ถึงแม้
เขาจะตัดสินใจทำแต่ความดีไปตลอดชีวิตก็ไม่สามารถให้อภัยได้ เพราะความผิดของเขาไม่สามารถให้อภัยได้
ในเวลานี้ เย่เฉินค้นกระเป๋าตัวอง และเจอธนบัตรห้าสิบหยวนหนึ่งใบ และยื่นไปให้เชียวเวยวยและพูด:” เอาอย่างนี้ละกัน คุณเอาเงินห้า
สิบหยวนนี้ไปนั่งแท็กซี่ละกัน”
เซียวเวยเวยลังเลเล็กน้อย เธอไม่รู้ว่าตัวเองควรจะรับเงินห้าสิบหยวนนี้เอาไว้ดีไหม
ถึงแม้จะเป็นเงินเพียงแค่ห้าสิบหยวน แต่เงินจำนวนนี้สำหรับเธอ เป็นเงินที่ไม่น้อยเลย เธอสามารถใช้เงินจำนวนนี้ทำได้หลายอย่าง
ตอนนี้เธอทำงานหนึ่งวันได้เงินสองร้อยหยวน เงินส่วนนี้นอกจากซื้ออาหารแล้ว เงินที่เหลือยังต้องเอาไปซื้อยารักษาโรคให้กับเซียวฉาง
เฉียนกับเซียวไห่หลงอีก
อันที่จริง ตั้งแต่สองคนนี้บาดเจ็บ แต่ละคนต้องใช้เงินในการรักษาให้หายเป็นปกติโดยเร็วอย่างน้อยหลายหมื่นหยวน เนื่องจากพวกเขา
ไม่สามารถจ่ายเงินจำนวนนี้ได้ พวกเขาจึงจำเป็นรอให้ร่างกายฟื้นฟูด้วยตัวเอง ทำให้ร่างกายหายเป็นปกติได้ช้ามากๆ
ประกอบกับพวกเขาไม่ได้รับสารอาหารที่เพียงพอต่อร่างกาย สถานการณ์ปัจจุบันของพวกเขาสองคน ผ่านไปหนึ่งปีก็คงไม่สามารถลุก
จากเตียงและเดินเองได้
ด้งนั้นเซียวเวยเวยก็หวังว่าตัวเองจะสามรถหางินได้เยอะๆ ถึงแม้จะได้เงินเพิ่มไม่กี่สิบหยวน อย่างน้อยก็สามารถซื้อซี่โครงซักหนึ่ง
กิโลกรัมหรือกระดูกใหญ่สักสองชิ้นเอาไปต้มน้ำซุปให้พ่อและพี่ชายได้กิน
ดังนั้น เธอจึงโค้งคำนับให้เย่เฉิน และพูดอย่างจริงใจ:”พี่เขย ขอบคุณมากๆ…ตอนนี้ฉันขาดแคลนเงินจริงๆ ดังนั้นฉันก็ไม่เกรงใจละนะ…
เมื่อพูดจบ เธอก็ยื่นสองมือไปรับเงินห้าสิบหยวนนี้
เย่เฉินพยักหน้าและพูด:”เธอนั่งแท็กซี่ไปเถอะ ใช้แค่สิบหยวนก็ถึงแล้ว”
ถึงแม้เชียวเวยเวยจะรู้สึกเสียดาย แต่เมื่อเย่เฉินพูดขนาดนี้แล้ว เธอก็ไม่กล้าขัดขืนและรีบพูดทันที:”ได้ค่ะ พี่เขย ขอบคุณพี่เขยมากๆ!”
เย่เฉินรับปากและถามเธอ:”คุณเลิกงานกี่โมง?”
เซียวเวยเวยพูดด้วยน้ำเสียงเบาๆว่า:”ลูกค้าที่มาดูบ้าน ส่วนมากจะมาตั้งแต่สิบโมงกว่าๆจนถึงหนึ่งทุ่มกว่าๆ ดั่งนั้นพวกเราก็เลยเลิกงาน
ตอนหนึ่งทุ่มครึ่ง”
เย่เฉินพยักหน้าและพูด:”โอเค เธอรีบไปทำงานเลย ฉันก็ต้องไปแล้ว”