ผมได้สืบทอดมรดกร้อยพันล้าน - บทที่ 2202
บทที่ 2202
“แล้วยิ่งไปกว่านั้น พวกเขายังคิดปฏิทินออกมาได้ด้วย ซึ่งตรงกับปฏิทินในปัจจุบันที่วิทยาศาสตร์คิดขึ้นมาเปีะ แล้วความคลาดเคลื่อน
น้อยมาก ในระยะเวลาห์าพันปีคลาดเคลื่อนแค่วันเดียว ลูกยังคิดว่านี่เป็นความเชื่องมงายอีกเหรอ?”
ชูจือหยูไม่รู้จะเอ่ยเถียงยังไง จึงต้องพูดหลับหูหลับตาว่า “เรื่องพวกนี้ไม่มีหลักฐานฟิสูจนั ยังไงหนูก็ไมเชื่อ!”
ตู้ไหซิงจึงถอนหายใจ แต่น้ำเสียงก็ยังคงเข้มงวด “ตอนที่แม่ยั่งสาว เรื่องวัฒธรรมของเอเซียกับตะวันตก รู้จักแค่ในมุมมองของข้อเท็จ
จริง ไม่เคยงมงายคิดว่าวัฒนธรรมตวันตกดี หรือวัฒนธรรมเอเชียดีกว่า แล้วใช้มุมมองของข้อเท็จจริง ไปพิจารณาแยกแยะปัญหา แต่พอถึง
เด็กรุ่นปีเก้าศูนย์รุ่นปีศูนย์ศูนย์ วัฒนธรรมตะวันตกกลับมิความสำคัญมากกว่า”
“พวกหนูเชื่อวิทยาศาสตร์ เชื่ออินเทอร์ต แต่ไม่เชื่อสิ่งที่บรรพบุรุษเมื่อหลายพันปีกว่าหลงเหลือไว้ให้ แล้วคิดว่าสิ่งที่บรรพบุรุษหลง
เหลือไร้ให้ เป็นแค่ความเชื่องมง่ายแทน นี่ถือเป็นการกระทำที่ไม่รู้เรื่องมาก!”
ซูจือหยูถามกลับอย่างไม่พอใจ “ถ้าเหมือนที่บรรพบุรุษพูด ทุกอย่างมีดวงซะตางั้นเหรอคะ? แม้ว่าวันนี้หนูจะกินอะไร ไปที่ไหน ก็เป็นสิ่งที่
ดวงชะตาลิขิตไว้แล้วงั้นเหรอคะ?”
ตู้ให่ชิงพูดอย่างจริงจัง “ลูกคิดว่าทุกสิ่งบนโลกนี้ไม่มีดวงชะตา ทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับตัวอง แต่ลูกเคยคิดหรือเปล่า สิ่งเล็กๆ อย่างเม็ด
ทราย จนกระทั่งทั้งจักรวาล ก็กำลังดำเนินไปตามกฎกณฑ์ทั้งนั้น ยิ่งมองในมุมกว้าง ดวงชะตาพวกนั้นก็ยิ่งไม่มีทางเปลี่ยนแปลง!”
ซูจือหยูรีบเอ่ยถามว่า “แม่คะ แม่บอกหนูมาสิคะ ดวงซะตาของทรายหนึ่งเมืดคีออะไร? มันอาจจะอยู่ในทะเลทราย แล้วเป็นหนึ่งในล้าน
ของเม็ดทรายก็ได้ หรือว่าอาจจะตกลงไปในแม่น้ำ แล้โดนแม่น้ำพัดพาลงไปในทะเลก้ได้ แล้วอาจจะโดนมนุษย์นำไปผลิตเป็นกระจก แล้วอาจ
จะโดนน้ำไปปนกับดิน ดวงชะตายังสามารถกำหนดดวงชะตาของทรายทุกเม็ดเลยเหรอคะ?”
ตู่ให้ชิงส่ายหนำา แล้วเอ่ยว่า “เมื่อกี้แม่พูดแล้ว เองของตวงซะตาต้องมองในมุมกว้าง จะใช้มุมมองแคบๆ ไปเหมารวมไม่ได้”
“ลูกใช่มุมมองแคบๆ ไปมอง ก็จะรู้สึกว่าเม็ดทรายเล็กมาก ไม่มีความสำคัญะไรเลย แต่บนโลกนี้มีเม็ดทรายมากมายขนาดนั้น ดวงชะตา
ไม่สามารถกำหนดดวงชะตาที่แตกต่งให้กับเม็ดทรายทุกเม็ดได้หรอก”
“แต่ลูกรู้ไหมว่า ในจักรวาล ดาวฤกษ์ที่เหมือนดวงอาทิตย์มีกี่ตวง?”
ซูจือหยูทำหน้าไม่เข้าใจ
ตู้ให่ชิงจึงเอ่ยอย่างจริงจังว่า “อหยู ลูกมองในมุมมองเล็กๆ ก็จะรู้สึกว่าม็ดทรายเล็กมากจนไม่สำคัญ แต่ถ้าหนูมองในมุมมองกว้างๆ ก็
จะเห็นว่า โลกทั้งใบ ถ้าอยู่ในจักรวาล ก็เหมือนกับเม็ดทราย อาจจะเล็กยิ่งกว่าเม็ดทรายชะอีก”
จากนั้น ตู้ให่ชิงก็พูดเสริมอีกว่า “คนรุ่นใหม่อย่างลูกชอบวิทยาศาสตร์ไม่ใช่เหรอ? งั้นแม่บอกลูกได้เลย ในจักรวาลนี้เท่าที่สามารถสำรวจ
มาได้ มีประมาณสองล้านล้านกาแล็กซี่ ลูกได้ยินชั่ดหรือยัง สองล้านล้าน!”
“แล้วในทุกกาแล็กซี มีดาวฤกษ์อีกเป็นล้านล้านดวง ส่วนดวงอาทิตย์ก็เป็นแค่หนึ่งในดาวฤกษ์ของกาแล็กซีทางช้างเผือก ในกาแล็กซีทาง
ช้างเฝือก ดางอาทิตย์เป็นดาวที่ธรรมดามาก ในทั้งจั่กรวาล ดวงอาทิตย์ยังเทียบกับเม็ดทรายไม่ได้เลย”
“ดาวฤกษ์ในจักรวาลที่เหมือนดวงอาทิตย์ ขวกรมกันแล้วเยอะยั่งกว่าเม็ดทรายในโลกอีก แต่ลูกก็ยังรู้สึกว่าเม็ดทรายนั้นมีเยอะแยะ แต่
เมืดเล็กๆ ไม่คู่ควรกับการมีดวงซะตา งั้นแม่ถามลูก ดาวฤกษ์ที่ใหญ่กว่โลกป็นร้อยเท่า แต่ถ้าอยู่ในจักรวาลก็เป็นแค่เม็ดทรายในจ๊กรวาล มัน
คู่ควรกับการมีดวงซะตาหรือเปล่า?”
คำพูดของตู่ใหชิง ทำให้ซูจือหยูรู้สึกเหมือนโดนฟ้าผ่า จนเธอพูดอะไรไม่ออกเลย
เธอไม่เคยช้มุมมองแบบนี้ไปรู้จักโลกใบนี้เลย แค่ลองจินตนาการถึงจักรวาลที่ยิ่งใหญ่ เธอจึงรู้สึกได้เลยว่าตัวเองนั้นเล็กมากแค่ไหน
ถ้าดวงอาทิตย์เป็นแค่เม็ดทรายในจักรวาล งั้นโลก ก็จะนับว่าเป็นเม็ดทรายในจักรวาลไม่ได้
แต่มนุษย์กลับใช้ชีวิตอยู่ในเม็ดทรายเล็กๆ ของจักรวาล งั้นมนุษย์ถือว่าเป็นอะไร?
แล้ววิทยาศาสตร์ที่มนุษย์คันพบจากเมืดทรายเล็กๆ ในจักรวาลนี้ จะสามารถแทนอะไรบนโลกนี้ได้?