ผมได้สืบทอดมรดกร้อยพันล้าน - บทที่ 2972 ฉันมีของขวัญจะให้
เซียวฉางควานพูดจบได้ไม่ทันไร ก็รู้สึกคิดผิดทันที
เขาก็แค่วู่วาม หลุดพูดออกไป พอพูดจบถึงนึกขึ้นมาได้ว่าตัวเองไปแหย่รังแตนเข้าให้แล้ว
แล้วก็เป็นอย่างที่คิดเอาไว้ ทันทีที่หม่าหลันได้ยินประโยคนี้ ก็เอื้อมมือไปทึ้งหัวเขา ปากสบถด่าออกมาว่า “เซียวฉางควานคุณมันสารเลว ของที่ลูกเขยให้มา เขาไม่ให้ฉันก็ไม่ป็นไร แต่คุณยังคิดที่จะส่งต่อความคิดสกปรกให้คนอื่น ฉันไม่ตบหน้าแก่ๆของคุณให้เละจนหนอนเจาะก็ดีเท่าไหร่แล้ว!”
เซียวชูหรันคิดไม่ถึงว่าสองคนนี้จะทั้งด่าทั้งทึ้งหัวกัน เธอจึงรีบเข้าไปแทรกตรงกลาง เอ่ยพูดอย่างจนปัญญาว่า “นี่ พ่อ! แม่!จะเถียงกันไปถึงเมื่อไหร่? อย่าลืมสิวันนี้วันเกิดเย่เฉินนะ!วันดีๆอย่างนี้ พ่อกับแม่ยังมาทะเลาะกันอย่างนี้ ไม่เท่ากับว่าจงใจสร้างความอึดอัดใจเหรอ?”
ในตอนนี้เองเย่เฉินก็เอ่ยพูดว่า “แม่ครับ แม่ก็อย่าโหดร้ายกับพ่อนักเลย ครอบครัวเดียวกันทั้งนั้น อย่าเอาแต่เถียงกันเพราะเรื่องเล็กๆน้อยๆแบบนี้สิครับ แม่คิดเอาเถอะชีวิตเรานับวันยิ่งดีขึ้นเรื่อยๆ แต่ความสัมพันธ์ของแม่กับพ่อกลับแย่ลงเรื่อยๆ ถ้าเป็นแบบนี้ล่ะก็ ผมว่าเราคงต้องย้ายกลับไปอยู่ที่บ้านเก่าๆนั่นเหมือนเดิมแล้วล่ะครับ ครอบครัวถึงจะได้ปรองดองกันมากกว่านี้!”
เมื่อได้ยินที่เย่เฉินพูด หม่าหลันก็รีบหยุดการกระทำทุกอย่าง เอ่ยพูดว่า “ไม่เอานะ!ลูกเขยแม่ ไม่เอาเด็ดขาด!มีเรื่องอะไรเราคุยกันดีๆก็ได้ ให้ย้ายกลับไปบ้านเก่างั้นเหรอ แกล้อเล่นแรงเกินไปแล้ว….”
เย่เฉินส่ายหน้าอย่างจนใจ เอ่ยพูดว่า “ในเมื่อเป็นอย่างนี้แล้ว คุณพ่อกับคุณแม่ก็กรุณาเห็นค่าชีวิตแสนสุขสบายที่กว่าจะได้มาของเราในตอนนี้ด้วยนะครับ หยุดต่อล้อต่อเถียงกันได้แล้ว”
“ได้!”หม่าหลันเอ่ยพูดอย่างไม่ลังเล “ไม่มีปัญหา!ไม่มีปัญหาแน่นอน!แม่จะเชื่อฟังแกทุกอย่าง ไม่ถือสาหมาแก่นี้แล้วก็ได้!”
เฉียวฉางควานเบ้ปาก ในตอนที่กำลังจะโต้กลับ หม่าหลันก็ถลึงตาใส่เขา เขาจึงรีบหุบปากอย่างรู้งาน
ความจริงแล้วเขาไม่มีกำลังสู้เมื่ออยู่ต่อหน้าหม่าหลันเลยสักนิด
ถ้าหม่าหลันคือกองทัพเหล็กกล้าของนาซีเยอรมนีในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง อย่างมากเซียวฉางควานก็คงเป็นได้แค่ประเทศโปแลนด์ ถูกหม่าหลันเหยียบย่ำกี่ครั้ง ก็ไม่เคยเอาคืนได้สักรอบ
ดังนั้น เขาจึงเลือกที่จะสงบปากสงบคำอย่างรู้งานหลังจากถูกหม่าหลันด่าว่าหมาแก่ สงครามฝีปากจึงหยุดลงในที่สุด
เมื่อเย่เฉินเห็นว่าทั้งสองหยุดสักที ถึงได้หันหลังลงลิฟต์ไปยังชั้นหนึ่ง เลือกหยิบเหล้าหมาวถายสองขวด ไวน์แดงสองขวดออกมาจากห้องเก็บเหล้า
ไม่ว่าจะเป็นไวน์ขาวหรือไวน์แดงในห้องเก็บเหล้าของบ้านเย่เฉิน ล้วนแล้วแต่เป็นยี่ห้อชั้นนำ หลักๆเป็นเหล้าที่ส่งกลับมาหลังจากร่วมงานเฉลิมฉลอง แต่ไม่ได้เอาออกมาดื่มสักที
เซียวฉางควานแอบมองมานานแล้ว เพียงแต่ว่าเหล้าพวกนี้ราคาขวดหนึ่งตั้งแสน หม่าหลันจึงไม่ยอมให้เขาดื่ม
เพื่อกันไม่ให้เขาแอบเข้ามาดื่ม หม่าหลันถึงขั้นทำสถิติสต็อกเหล้าพวกนี้เอาไว้ และมีการลงมาเช็กสต็อกในทุกๆสามวัน แม้เซียวเฉิงควานจะอยากดื่มแค่ไหน แต่ก็ไม่กล้ามีความคิดที่จะขโมย
เมื่อเย่เฉินถือเหล้ากลับมา เซียวฉางควานก็รับขวดเหล้ามาถืออย่างตื่นเต้น ค่อยๆเปิดขวดอย่างระมัดระวัง กลิ่นเหล้าที่หมักจนหอมกลุ่นลอยฟุ้งออกมา เซียวฉางควานอดที่จะทอดถอนหายใจออกมาไม่ได้ “เหล้าดีนี่สมกับเป็นเหล้าดีจริงๆ!แค่ดมกลิ่นก็ขึ้นสมองแล้ว”
หม่าหลันเหลือบตามองบนใส่เขา บ่นงึมงำว่า “ดมแอลกอฮอล์ฆ่าเชื้อ75%ขึ้นสมองมากกว่าอีกนะ ไม่เชื่อคุณก็ลองดมดู”
“คุณจะไปเข้าใจอะไร” เซียวฉางควานทำปากกระหมุบกระหมิบ แล้วรีบนำขวดเหล้ามารินให้เย่เฉินกับตัวเอง
หม่าหลันเองก็รู้ พูดแขวะเซียวฉางควานมากๆเข้าก็คงเสียบรรยากาศ ดังนั้นจึงไม่ได้พูดอะไรอีก แต่ยื่นมือไปรับไวน์แดงในมือของเย่เฉินมา แล้วใช้ที่เปิดขวดเปิดฝาออก
ทั้งสี่คนนำเหล้าวางไว้บนโต๊ะ เซียวชูหรันถือเค้กขึ้นมา แล้วพูดกับเย่เฉินว่า “ที่รัก คุณเป่าเทียนขอพรก่อน แล้วเราค่อยทานข้าวกัน”
เย่เฉินพยักหน้ายิ้มๆ นี่เป็นขั้นตอนมาตรฐานของงานวันเกิดทั่วไป ตอนเที่ยงเป็นยังไง ตอนเย็นก็ยังเป็นอย่างนั้น
เหมือนตอนสังสรรคืกับเพื่อนร่วมชั้นและเพื่อนร่วมงาน ไม่ว่าจะอยู่ในเมืองไหน ขั้นตอนการสังสรรค์ก็มักจะเริ่มด้วยการทานข้าวก่อน แล้วค่อยไปKTV
ดังนั้น หลังจากที่เซียวชูหรันหยิบเค้กออกมาจากตู้เย็น พร้อมจุดเทียน เย่เฉินก็เตรียมเป่าเทียนขอพรอย่างคล่องแคล่ว