ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 100 ความร้อนรนของบรรพจารย์
บทที่ 100 ความร้อนรนของบรรพจารย์
ท้องฟ้าสีดำ จันทร์เสี้ยวลอยสูง แสงจันทร์เย็นชาราวกับดาบแหลมคมที่ตัดสะบั้นสู่พื้นดิน โหมกระพือสายลมพัดหวีดหวิว
สายลมนี้พัดหิมะที่หนาวเย็นบนพื้นขึ้นมาเล็กน้อย ผสานเป็นหนึ่งเดียวกับดาบแสงที่สาดลงมาจากฟากฟ้า กวาดไปทั่วสารทิศ ทำให้ต้นไม้ใบหญ้าของทุ่งสีชาดโค้งลงเล็กน้อย
เลือดสดอุ่นๆ หยดลงบนต้นหญ้าทุ่งสีชาดที่ถูกสายลมพัดตามการก้าวเดินของสวี่ชิง ตามการเยื้องย่างไปด้านหน้าราวกับภูตวิญญาณร้าย ตามการสะท้อนเจิดจ้ายามราตรีของประกายเย็นกริช
เพียงแต่ว่าเลือดนี้แฝงไว้ด้วยความชั่วร้าย ไม่มีคุณสมบัติที่จะผสานรวมกับความเย็นเยียบได้ ยากที่จะทำให้ลมหิมะในค่ำคืนฤดูหนาวอุ่นขึ้น กระทั่งต้นหญ้าสีแดงก็ยังรังเกียจ พัดลู่ตามลม สะบัดหยดเลือดแต่ละหยดที่อยู่บนตัวมันให้ร่วงหลุดไป
ศพแต่ละร่างล้มลงในลมหนาวนี้ และไม่มีวันลุกกลับมายืนได้อีกแล้วนับจากนี้
กริชในมือสวี่ชิงกลายเป็นแสงสุดท้ายในชีวิตของพวกเขา หนึ่งก้าวหนึ่งสังหาร
คมกริชเจิดจ้า หลังจากสวี่ชิงปาดคอของคนเก็บกวาดคนสุดท้ายในสถานที่นี้ไปแล้ว ขณะที่ดวงตาอีกฝ่ายแฝงความพรั่นพรึงและหม่นแสงลง สวี่ชิงยืนอยู่ที่นั่น ศพกองกระจายอยู่เต็มพื้น
คนทั้งหมด ล้วนถูกปลิดชีพในดาบเดียว
บาดแผลทั้งหมดล้วนอยู่ที่คอ
เพราะการปาดคอ สะดวกที่สุด รวดเร็วที่สุด มีเพียงเลือดสดที่สาดออกมาเท่านั้นที่ดูสกปรกอยู่บ้าง เมื่อเปื้อนมาบนเสื้อ ก็ทำให้สวี่ชิงขมวดคิ้วเล็กน้อย
แต่จิตสังหารในดวงตาเขาไม่ได้ลดลงเพราะเลือดบนเสื้อ ในเมื่อลงมือแล้วจะไม่ถอนรากถอนโคนได้อย่างไร ต่อให้พวกเดนตายพวกนี้บางทีอาจไม่มีความสามารถในการล้างแค้นก็ตาม
แต่สวี่ชิงก็ไม่ชอบความประมาท ไม่ชอบความยุ่งยากใดๆ
โดยเฉพาะเขาตอนนี้ที่ต้องการจะบ่งหนามออก ไม่ลงมือยังพอว่า แต่ในเมื่อลงมือแล้ว เขาก็ไม่อยากจะเปิดเผยร่องรอยใดๆ ของตนเอง
สวี่ชิงจึงเงยหน้าขึ้น หยิบกริช เดินตรงไปยังจุดเกิดเหตุที่ปรากฏความวุ่นวายขึ้นจากการสังหารของที่นี่
ด้านหน้าเป็นจุดที่มีกลิ่นทำกับข้าวลอยมา ที่นั่นมีพวกเดินตายอยู่เจ็ดแปดคน ล้อมรอบหม้อใบใหญ่ใบหนึ่งอยู่ เดิมทีกำลังดื่มน้ำแกงกัน หลังจากสังเกตเห็นทางนี้มีการสังหารเกิดขึ้นจึงพากันสะดุ้งตกใจลุกขึ้น แต่ละคนล้วนมองมาทางสวี่ชิงอย่างระแวดระวังและตกตะลึง
สวี่ชิงเองก็มองพวกเขา
ระหว่างทางของทั้งสองฝ่าย หิมะบนพื้นมีร่องรอยลากศพทิ้งไว้เป็นทาง และจุดที่พวกเดนตายเหล่านี้อยู่ไม่มีศพ มีแค่เสื้อผ้าบางส่วนที่พาดเอาไว้
แล้วศพไปไหน…สวี่ชิงรู้อยู่เต็มอก
กลิ่นเนื้อที่ลอยมาตามลม เขาเองก็คุ้นเคยดี ตอนอยู่ในถ้ำยาจกเขาเคยดมอยู่ไกลๆ คนแรกที่เขาสังหารในครั้งนั้น ก็เพราะอีกฝ่ายจะกินเขา
สายตาสวี่ชิงชำเลืองมองหม้อใหญ่ของพวกเดนตายเจ็ดแปดคนนี้ จากนั้นก็เดินต่อ
พริบตานั้น พวกเดนตายเจ็ดแปดคนพากันถอยกรูดหน้าถอดสี ตั้งท่าจะหนี และคนที่หนีไปได้ไวที่สุด วิ่งไปได้ไม่กี่ก้าว เหล็กแหลมสีดำเล่มหนึ่งก็พุ่งมาราวสายอัสนี แทงเข้าไปที่หลังคอของเขาจนทะลุ
พริบตาต่อมา สวี่ชิงก็ก้าวเดินเร็วขึ้น พุ่งตัวออกไปฉับพลัน กริชในมือเปล่งประกายสะท้อนแสงจันทร์ ดูเย็นเยียบยิ่งกว่าลมพายุหิมะ ปาดเข้าไปที่คอของคนเก็บกวาดคนหนึ่ง จากนั้นก็ไล่ต่อไปยังคนที่สอง
“สหาย อย่าเพิ่งบุ่มบ่าม…”
ศีรษะหลุดลอย!
“พวกเราผิดไปแล้ว พวกเรามันตามืดบอด พวกเราพร้อมจะชดใช้!!”
เลือดเปื้อนลำคอ!
“ข้าจะสู้ตายกับเจ้าแล้ว!!”
ศีรษะระเบิดเละ!
การสังหารทั้งหมดใช้เวลาเพียงแค่ห้าอึดใจ โลกทั้งใบก็เงียบงันทันที แสงจันทร์ที่อ้างว้าง ลมพายุหิมะพัดโบก ศพทั้งหมดย้อมดินโคลนบนพื้นจนแดงฉาน กลายเป็นทุ่งสีชาดที่แท้จริง
เมื่อมองศพรอบด้าน สวี่ชิงเช็ดกริชบนตัวศพๆ หนึ่ง เริ่มจัดการเก็บกวาด
ไม่นานศพทั้งหมดก็กลายเป็นกองเลือด หลังจากซึมเข้าไปในพื้นดินแล้ว สวี่ชิงก็มองหม้อปากกว้างใบนั้นผาดหนึ่ง ดับไฟใต้หม้อเงียบๆ
จู่ๆ เขาก็เข้าใจว่าเหตุผลที่ทั้งๆ เมืองหลักเจ็ดเนตรโลหิตต้องจ่ายแต้มอุทิศที่แพงหูฉี่ในทุกวันเพื่อแลกกับการอยู่อาศัย แต่คนที่ยังอยากจะอยู่อาศัยในเมืองก็ยังคงมีอยู่ไม่ขาดสายทุกวี่ทุกวัน
ในโลกาวินาศ ชีวิตคนไร้ซึ่งมูลค่า
สวี่ชิงหมุนตัว เดินปลีกออกไปต่อ
คืนนี้ลมหายุหิมะรุนแรงยิ่ง เกล็ดหิมะร่วงหล่นลงมาจากฟากฟ้า ร่วงผ่านสวี่ชิงที่กำลังทะยานไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ลมหนาวพัดผ่านเส้นผมของเขาจนพลิ้วไหว ราวกับจะลอดผ่านเข้าไปตามเสื้อผ้า
สวี่ชิงคิ้วขมวดเล็กน้อย ม้วนแขนเสื้อขึ้น ในปากเป่าควันขาวออกมา ก้มหน้าเล็กน้อยแล้วมุ่งหน้าต่อ
หนึ่งคืนผ่านไปเช่นนี้
จนถึงช่วงที่เช้าตรู่ของวันถัดไป สวี่ชิงที่เร่งเดินทางมาทั้งคืน ในที่สุดก็มองเห็นภูเขาลูกหนึ่งปรากฏขึ้นไกลๆ
ทุ่งสีชาดเป็นพื้นที่ราบ มีภูเขาไม่มาก ต่อให้มี ส่วนมากก็เป็นแค่พื้นเอียงลาดไม่เหมือนกับภูเขา แต่ลูกตรงหน้านี้ยังถือว่าพอใช้ได้ แต่เมื่อเทียบกับภูเขาสำนักวัชระก่อนหน้านี้แล้วต่างกันราวฟ้ากับเหว
ไม่ว่าจะเป็นความหรูหราหรืออำนาจ ก็ล้วนอยู่กันคนละระดับ
บนยอดเขาในระยะที่สายตามองเห็นมีตำหนักที่สร้างขึ้นใหม่บางแห่ง เพียงแต่ดูวังเวงอย่างชัดเจน ราวกับศิษย์สำนักก็มีไม่มากนัก ทั้งสำนักเหมือนปล่อยความอ้างว้างวิเวกออกมา
“สำนักวัชระ?” สวี่ชิงครุ่นคิด
จากเบาะแสที่เขาตรวจสอบมา ภูเขาลูกนี้คือสถานที่ตั้งสำนักใหม่ที่สำนักวัชระย้ายมาที่นี่
และใช่ว่าคนทั้งหมดจะปรับตัวตามการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมได้ โดยเฉพาะตอนที่ย้ายมายังทุ่งสีชาดที่เลวร้ายและแร้นแค้นกว่าสถานที่เดิม คนที่ยอมรับได้ต้องมีน้อยลงกว่าเดิมเป็นแน่
เมื่อประกอบกับกาลเวลาผ่านไปได้ไม่นาน ดังนั้นบรรยากาศจนตรอกของสำนักวัชระนี้ก็พออธิบายได้
แต่สวี่ชิงระแวดระวังมาก เขาไม่มีทางผ่อนคลายความหวาดระแวงลงด้วยเหตุเพราะสำนักวัชระซึ่งเปี่ยมไปด้วยความตกต่ำที่เห็นจากภายนอก ส่วนในสำนักของอีกฝ่ายเวลานี้จะเป็นอย่างไร เขาไม่ชัดเจน จะเป็นอย่างที่เห็นเวลานี้จริงหรือไม่ เขาก็ยังไม่ทราบแน่ชัด
ดังนั้นสวี่ชิงไม่คิดจะลงมือทันที เขาจะตรวจสอบเสียก่อน
เช่นเดียวกับนักล่าเฝ้าเหยื่อ จะด่วนใจเร็วมิได้
สวี่ชิงจึงถอนสายตาที่มองไปยังสำนักวัชระกลับมา ออกจากที่นี่ หาฐานที่มั่นคนเก็บกวาดแห่งหนึ่งที่ห่างจากสำนักวัชระราวร้อยลี้
พอเทียบกับสำนักวัชระที่ห่างออกมาร้อยลี้ ฐานที่มั่นก็ดูคึกคักกว่ามาก สวี่ชิงที่อยู่ห่างออกมายังได้ยินเสียงเอะอะโวยวายดังมาจากด้านใน
ตอนที่เกือบจะถึงเขาก็ครุ่นคิด ล้วงเอาเสื้อขนสัตว์ที่เคยใส่ออกมาจากในถุงเก็บของ สวมลงไป จากนั้นก็ล้วงเอาดินโคลนส่วนหนึ่งมาถูใบหน้า ความระแวดระวังในดวงตารวมถึงการแต่งกาย ทำให้เขากลายเป็นคนเก็บกวาดไปในพริบตา
เมื่อตรวจสอบไปครู่หนึ่ง หลังจากยืนยันว่าไม่มีปัญหา สวี่ชิงก็โค้งตัวพุ่งไปด้านหน้า ค่อยๆ มายังด้านนอกของฐานที่มั่นคนเก็บกวาด เสียงเอะอะมะเทิ่งก็ยิ่งรุนแรงขึ้นจากการเข้าประชิด และที่นี่แม้จะมีองครักษ์อยู่ แต่ก็เพียงชำเลืองมองสวี่ชิงผาดหนึ่งแล้วก็ไม่สนใจ ยอมให้เขาผ่านเข้าไปได้
และการที่สวี่ชิงแต่งตัวเป็นคนเก็บกวาดก็ไม่ต้องใช้คำว่าคล้ายมาพรรณนาแล้ว เขาเดิมทีก็คือคนเก็บกวาด
กลิ่นอายเดียวกัน สายตาแบบเดียวกัน ความป่าเถื่อนแบบเดียวกัน
ตอนเดินเข้ามาในฐานที่มั่นคนเก็บกวาด สวี่ชิงก็เบนสายตาไปจากกระโจมรอบๆ มองออกไป ที่นั่นมีคนเก็บกวาดนับร้อยรวมตัวกันอยู่ แต่ละคนกำลังร้องคำรามด้วยความลิงโลด เสียงเอะอะที่เขาได้ยินจากที่ไกลก่อนหน้านี้ก็ดังมาจากปากคนกลุ่มนี้นั่นเอง
และสิ่งที่พวกเขาล้อมดู กระตุ้นความลิงโลด ก็คือภาพที่น่าเวทนา
ที่นั่นกำลังดำเนินการแข่งขัน
เหมือนการแข่งสุนัข มีคนอยู่เจ็ดแปดคนในชุดมอมแมมขาดรุ่งริ่ง ร่างกายผอมแห้งราวท่อนฟืนกำลังวิ่งทะยานสุดกำลัง และบนตัวเจ็ดแปดคนเหล่านี้ก็มีไอพลังประหลาดเข้มข้นแผ่ซ่านออกมา ผิวหนังส่วนใหญ่ล้วนดำคล้ำ เห็นได้ชัดว่ามีไอพลังประหลาดแฝงอยู่อย่างรุนแรง ใกล้จะกลายพันธุ์เต็มที
นัยน์ตาพวกเขาล้วนมีความสิ้นหวังกับความบ้าคลั่งอยู่ และลู่แข่งที่พวกเขากำลังวิ่ง เป็นทางที่เต็มไปด้วยหินแหลมคมและเศษดาบเศษกระบี่
พอเหยียบลงไป ความเจ็บปวดกับเลือดสดก็ยิ่งทำให้คนบ้าคลั่ง
และเบื้องหน้าของพวกเขา ปลายทางของลู่วิ่ง ก็มีลูกกลอนขาวที่มีจุดพร้อยเต็มไปหมดเม็ดหนึ่งวางอยู่
สำหรับคนที่ใกล้จะกลายพันธุ์เต็มทีเช่นนี้ ลูกกลอนขาวเม็ดหนึ่งไม่อาจช่วยชีวิตได้ แต่ก็ยังพอยืดชีวิตไปได้อีกหน่อย และช่วงเวลานี้ก็อาจทำให้พวกเขามีโอกาสในการได้รับลูกกลอนขาวอื่นมาก็เป็นได้
ดังนั้นต่อให้ตอนที่พวกเขาวิ่งหน้าตั้งจนเลือดสดชโลมพื้น แต่ละคนตัวสั่นอย่างรุนแรง แต่เจตนาที่จะดิ้นรนเอาชีวิตรอดก็ยังทำให้เขาพุ่งทะยานอย่างบ้าคลั่ง นี่คือการแข่งสุนัข และก็เป็นการแข่งม้าด้วย
เสียงเอะอะที่มีทั้งความลิงโลดและโหดร้าย ดังออกมาจากกลุ่มคนเก็บกวาดที่อยู่รอบๆ เห็นได้ชัดว่าพวกเขาล้วนลงขันพนันกันอยู่
สวี่ชิงมองทั้งหมดนี้ จนกระทั่งมองเห็นคนหนึ่งที่เกือบจะกลายพันธุ์อยู่แล้ว แบกร่างโชกเลือดไปถึงเส้นชัย หลังจากคว้าลูกกลอนขาวแล้วกลืนลงไป ผู้เข้าแข่งขันคนอื่นก็พากันผิดหวัง และถูกคนลากกลับไปจุดเริ่มอีกครั้ง หลังจากที่ลูกกลอนขาวอีกเม็ดหนึ่งวางลงไปใหม่ การแข่งขันก็ดำเนินการต่อ
และคนเก็บกวาดรอบๆ ก็มีทั้งที่ลิงโลดอย่างเสิบสาน มีทั้งก่นด่าสาปแช่งไม่หยุด แต่เพียงไม่นานพวกเขาพากันกลับไปให้ความสนใจอีกครั้งเมื่อเริ่มการแข่งขันครั้งใหม่
สวี่ชิงเบนสายตา เงยหน้ามองไปยังทิศที่สำนักวัชระอยู่
และขณะเดียวกัน ในสำนักวัชระที่ห่างออกไปร้อยลี้ ในตำหนักใหญ่บนยอดเขา บรรพจารย์สำนักวัชระก็กำลังนั่งหน้ามุ่ยเจือความโกรธอยู่ตรงนั้นด้วย โบกไล่เจ้าสำนักที่คิดจะพูดแต่ก็หยุดไป
“คิดว่าข้ายอมจะย้ายมายังสถานที่ห่างไกลแบบนี้หรือ แล้วถ้าข้าไม่ย้ายมาจะทำอย่างไร!”
“เจ้าผู้หญิงจากยอดเขาลำดับเจ็ดของเจ็ดเนตรโลหิตโหดเหี้ยมเสียเหลือเกิน เพื่อชดใช้ให้นาง ของที่ข้าสะสมมาครึ่งชีวิตต้องจ่ายออกไปกว่าครึ่ง!!” บรรพจารย์สำนักวัชระหน้าเดือดดาล นั่งพึมพำอยู่ที่นั่นเสียงต่ำ
“แล้วยังมีเจ้าเด็กน้อยนั่นอีก เขาโดดเด่นขึ้นมากในเจ็ดเนตรโลหิต ถ้าไม่ยอมย้ายหนี จะรอให้เขาบำเพ็ญจนเป็นระดับสร้างฐานแล้วตบข้าจนตายก่อนหรือ!
“จากประสบการณ์ที่อ่านคัมภีร์โบราณมานับไม่ถ้วนของข้า เรื่องครั้งนี้ เป็นเป็นภัยพิบัติความเป็นตายของข้า…” ในใจบรรพจารย์สำนักวัชระกรุ่นโกรธมากยิ่งขึ้นไปอีก เมื่อคิดถึงช่วงเวลาสั้นๆ สำนักวัชระก็ตกต่ำลงมาถึงเพียงนี้ ในใจเขาอดเจ็บปวดขึ้นไม่ได้
และผลกระทบที่ย้ายหนีก็ใหญ่โตมาก ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะยอมย้ายมา ในนี้ศิษย์ที่แอบหลบหนีไปก็มากมาย แม้ว่าเขาจะสังหารไปบ้างบางส่วน แต่ก็สังหารไม่หมด
“ไม่เป็นไร ลูกกลอนข้าเกือบจะสำเร็จแล้ว ขอแค่ข้ากินลูกกลอนเม็ดนี้ลงไป ข้าก็จะทะลวงช่องเวทที่สามสิบในที่สุด สร้างไฟชีวิตดวงที่หนึ่งของตนเองจนสำเร็จ หากไฟชีวิตสำเร็จ ข้าก็จะเริ่มต้นสภาวะแสงนภาที่เป็นสัญลักษณ์ของระดับสร้างฐานเสียที!
“พลังต่อสู้ของข้าจะเพิ่มพูนขึ้นด้วยสภาวะแสงนภาในพริบตา ถึงตอนนั้นก็ไม่ต้องกลัวเจ้าเด็กน้อยแล้ว…” บรรพจารย์สำนักวัชระขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน แต่พอคิดถึงจุดนี้ จู่ๆ เขาก็หน้าเปลี่ยนสี
“ไม่สิ จากที่ข้าอ่านคัมภีร์โบราณมา ในช่วงจังหวะสำคัญนี้มักจะเกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้น…” คิดถึงจุดนี้ บรรพจารย์สำนักวัชระก็หน้าเปลี่ยนสีหนักขึ้นไปอีก กระทั่งต้องล้วงเอาป้ายแนะนำชิ้นหนึ่งออกมา กำไว้ในมือถึงสงบใจลงมาได้
“เป็นไปไม่ได้ที่เด็กน้อยนั่นจะทะลวงขั้นเร็วถึงเพียงนี้ ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้ข้าก็เข้าร่วมกับลัทธินอกวิถี จนถือเป็นสาวกแล้ว ลัทธินอกวิถีเองก็เป็นขั้วอำนาจใหญ่เหมือนกับเจ็ดเนตรโลหิต คลุมหนังพยัคฆ์นี้อยู่ ข้าคงจะปลอดภัยไปสักระยะ ยิ่งไปกว่านั้นสหายเต๋าถูอวิ้นก็ถูกข้าเชิญมาแล้วด้วย ตอนนี้ยังเป็นแขกอยู่ในสำนัก…”
บรรพจารย์สำนักวัชระพึมพำ มองป้ายแนะนำ ในใจเกิดความขมขื่น เพื่อที่จะได้ป้ายแนะนำชิ้นนี้ เขาต้องจ่ายออกไปมากมายมหาศาล ราวกับขายไปทั้งตัวเลยทีเดียว ยิ่งไปกว่านั้นยังทรยศไม่ได้ไปทั้งชีวิตอีกด้วย
ขณะเดียวกับที่เขากังวลเรื่องอันตราย หลังจากที่ย้ายมาแล้วก็เชิญสหายมากมายมาเป็นแขก และทุกครั้งที่เชิญก็ต้องจ่ายของกำนัลออกไปด้วย
จนถึงตอนนี้ ไม่ว่าจะสนิทหรือไม่สนิท เขาก็เชิญมาพอสมควรแล้ว
“ผิดพลาดก้าวหนึ่ง ก็จะพลาดต่อๆ ไปกัน…” บรรพจารย์สำนักวัชระถอนหายใจยาว เงยหน้ามองยังท้องฟ้าที่ห่างไกล ค่อยๆ เหม่อลอย
เวลานี้แสงตะวันสาดทอมาบนตัวเขา เขาที่อยู่ใต้แสงตะวัน พอมองไกลๆ ความโรยราก็ยิ่งแจ่มชัดมากขึ้น
————————————–