ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 129 ออกไปสร้างฐานด้านนอก!
บทที่ 129 ออกไปสร้างฐานด้านนอก!
เมืองหลักเจ็ดเนตรโลหิต แสงจันทร์ราวเม็ดทราย แผ่ซ่านบนพื้นดิน
สวี่ชิงเหยียบแสงจันทร์ เดินตรงไปเบื้องหน้า
แม้ว่าตอนนี้พลังบำเพ็ญจะไปถึงรวมปราณขั้นบริบูรณ์แล้ว แต่อาการบาดเจ็บก่อนหน้ายังคงอยู่ ดังนั้นความระแวดระวังของสวี่ชิงจึงเป็นเช่นเดียวกับตอนที่เพิ่งมาถึงเมืองเจ็ดเนตรโลหิตในครั้งนั้น
โดยเฉพาะตอนนี้บนตัวก็มีตะเกียงแห่งชีวิตอยู่ สิ่งนี้ทำให้ความระแวดระวังของสวี่ชิงพุ่งถึงขีดสุด มือขวาแกว่งไกวอย่างเป็นธรรมชาติตามการเคลื่อนที่ไปด้านหน้า แต่อันที่จริงหากมีสายลมพัดหญ้าไหวอะไรขึ้นมา ท่วงท่าของเขาตอนนี้สามารถทำให้เขาหยิบเหล็กแหลมสีดำออกมาได้ในพริบตา
นี่เป็นประสบการณ์ที่สวี่ชิงเรียนรู้มาในเมืองเจ็ดเนตรโลหิต การซ่อนเข็มไว้ใต้ผ้าไหมจึงจะเป็นวิธีเอาชีวิตรอดอย่างแท้จริง นอกเสียจากจะมีเป้าหมายอื่น มิเช่นนั้นจะสำแดงคมแหลมออกมาไม่ได้ภายใต้นิสัยที่ไม่ใส่ใจ
นอกเหนือจากนี้ ประสบการณ์จากสำนักเจ็ดเนตรโลหิต ก็ทำให้สวี่ชิงเรียนรู้วิธีที่ว่ายิ่งระแวดระวังร่างกายก็จะยิ่งผ่อนคลาย
เพราะเขาพบว่าตอนที่อยู่ในถ้ำยาจกรวมถึงฐานที่มั่นคนเก็บกวาดในอดีต ร่างกายตื่นตัวในสภาพความตึงเครียดของตนเองที่ดูเหมือนจะออกโจมตีได้ในพริบตา แต่อันที่จริงก็ยังช้าอยู่บ้าง
วิธีการที่ถูกต้องคือร่างกายต้องผ่อนคลาย ในใจเต็มไปด้วยความระแวดระวัง เมื่อเป็นเช่นนี้คนนอกก็จะมองไม่ออก และร่างกายตนเองขอแค่กระตุ้นความคิด ร่างกายก็สามารถออกการเคลื่อนไหวได้ในพริบตา
เรื่องเหล่านี้ล้วนเป็นทักษะที่เขาเรียนมา ไม่ทันรู้เนื้อรู้ตัวก็เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของเขาไปมาก เพียงแต่สวี่ชิงอายุยังน้อย เขาในตอนนี้ทำแบบนายกองที่กระทั่งสีหน้าก็ยังปิดบังได้อย่างสมบูรณ์แบบไม่ได้
สวี่ชิงเองก็ไม่ได้ฝืนเลียนแบบ ทั้งหมดล้วนทำตามสัญชาตญาณของเขา ระหว่างที่ทะยานตอนนี้ เขาเข้าใกล้กรมขนส่งของจางซานขึ้นเรื่อยๆ
แต่ตอนผ่านซอยแห่งหนึ่ง เท้าของสวี่ชิงก็หยุดลงกะทันหัน หลังจากหันหน้ามอง ในดวงตามีประกายเย็นเยียบ
มุมที่ห่างออกไปมีเงาผอมเล็กเงาหนึ่งเดินออกมาช้าๆ ภายใต้การจับจ้องของสายตาเขา เป็นเด็กหนุ่มใบ้คนนั้นนั่นเอง
ชุดคลุมของเจ็ดเนตรโลหิตบนตัวยังคงหลวมโครก ด้านในมีชุดขนสุนัขอยู่ทำให้เขาดูอ้วนตุ๊ต๊ะ แต่ที่แตกต่างจากก่อนหน้าคือบนชุดนักพรตของเขามีตราเพิ่มขึ้นมาดวงหนึ่ง นั่นคือสัญลักษณ์ของสมาชิกกลุ่มอย่างเป็นทางการของกรมปราบพิฆาต
เขาปรากฏตัวขึ้นห่างๆ เหลือบมองสวี่ชิงผาดหนึ่งอย่างรวดเร็ว จากนั้นจึงคุกเข่าย่อตัวลง แสดงท่าทางที่ไม่ใช่เหมือนพร้อมโจมตี แต่เป็นเหมือนการติดตามและคอยคุ้มกันมากกว่า
สวี่ชิงจ้องเด็กหนุ่มใบ้เขม็ง มองเห็นตราบนชุดนักพรตของเขา สวี่ชิงเคยเห็นเด็กหนุ่มใบ้จากในเอกสารมาแล้ว รู้ว่าอีกฝ่ายสถนะแรกที่เข้ามาในกรมปราบพิฆาตคือผู้ช่วย เห็นได้ชัดว่าตอนนี้เปลี่ยนมาเป็นทางการแล้ว ดังนั้นจึงเอ่ยขึ้นแช่มช้า
“ข้าไม่ชอบให้มีคนติดตาม”
เด็กหนุ่มใบ้นิ่งเงียบ จากนั้นจึงค่อยๆ ถอย และหายไปในยามราตรีอีกครั้ง
ตอนนี้สวี่ชิงจึงเก็บสายตากลับ เขาไม่สนว่าอีกฝ่ายจะเจตนาดีหรือไม่ ตอนนี้เขาไม่มีอารมณ์ไปคิด แต่หากเขาแจ้งไปแล้ว อีกฝ่ายยังคงแอบติดตามตัวเองตามใจอก เช่นนั้นเขาก็คงต้องสังหารทิ้งแล้ว
ตอนนี้พอร่างกายโยกไหว สวี่ชิงก็มุ่งหน้าต่อ
ผ่านไปไม่นาน สวี่ชิงก็มาถึงกรมขนส่ง เห็นจางซานกำลังนับของจากที่ไกลๆ เห็นได้ชัดว่าหลังจากกลับจากการแข่งขันด้านนอก จางซานก็รู้สึกสนใจสมบัติเหล่านั้นของตนเองมาก กลัวว่าจะถูกคนขโมยไป
จางซานเห็นสวี่ชิง หลังจากกวักมือเรียกสวี่ชิงเขาก็นับเสร็จพอดี ล้วงยาสูบออกมาอย่างพึงพอใจ
“ศิษย์น้องสวี่ชิง เพิ่งกลับมาไม่ไปพักหรือ มาหาข้าทำไมกัน”
สวี่ชิงไม่ถามจางซานว่าเหตุใดจึงไม่นำสิ่งของใส่พวกถุงเก็บของอะไรแบบนั้น แต่ล้วงเอาเรือเวทของตนเองออกมา
พื้นดินก็สั่นสะเทือนขึ้นมาจากเสียงครืนครันที่เรือเวทร่วงลงพื้น ชิ้นส่วนอะไหล่ที่แขวนอยู่ก็ยังร่วงผลอยกระจัดกระจาย
“ซ่อมเรือเวท”
สวี่ชิงเอ่ยขึ้นอย่างใจเย็น
จางซานที่อยู่ข้างๆ ถลึงตาโตออกมา ยาสูบในมือก็ลืมหยิบมาสูบเสียแล้ว จ้องอย่าอึ้งๆ ไปยังเรือเวทครึ่งลำที่คุ้นเคยและไม่คุ้นเคยตรงหน้า
“ตอนที่พวกเราแข่งขันไม่ใช่พบกันมาแล้วหรือ พวกเราคอยคุ้มกันนายกองที่ศาลเจ้าด้วยกัน จากนั้นก็กลับมาด้วยกันนี่” สีหน้าจางซานมึนงงครู่หนึ่ง
“ถูกต้อง” สวี่ชิงมองจางซานอย่างประหลาดใจ
“ในเมื่อข้าไม่ได้หูฝาด ตอนที่เจอกันในการแข่งขันคือตัวเจ้าจริงๆ เช่นนั้นเจ้าบอกข้าหน่อยว่าเรือเวทลำนี้ทำไมจึงเป็นเช่นนี้ ให้ตายเถอะ นี่เป็นผลงานที่ยอดเยี่ยมที่สุดของข้าเลยนะ ข้าๆๆ…นี่ขนาดว่าผู้บำเพ็ญสร้างฐานลงมือก็ยังทำให้มันพังระดับนี้ได้ยากมากเลยนะ!!
“เจ้าทำให้เรือพังไปครึ่งลำขนาดนี้ได้อย่างไร เจ้าเอามันเป็นโล่หรือ” จางซานลูบหน้าอก ตอนนี้ความปวดใจของเขาเหมือนจะมากกว่าสวี่ชิงเสียอีก
เขาจำได้จริงๆ ว่าสวี่ชิงใช้เรือเวทในการแข่งขันครั้งใหญ่ กระแทกสิงซากสมุทรขนาดยักษ์นั่นไปทีหนึ่ง ตอนนั้นก็ยังสมบูรณ์ไร้รอยข่วน แต่ตอนนี้กลับถูกทำลายจนยับถึงเพียงนี้ นี่ทำให้เขารู้สึกไม่อยากเชื่อเลย นอกเสียจากจะไปทำเรื่องบ้าคลั่งอะไรสักอย่างแบบนายกอง…
คิดถึงจุดนี้ จู่ๆ จางซานก็ใจเต้น เขาย้อนคิดไปถึงตอนที่หนีออกจากเกาะจวีอิง หลังจากพบอีกครั้งก็เห็นถึงความล้มลุกคลุกคลานและความอ่อนแรงของอีกฝ่าย จึงสูดปาก
“เจ้าคงไม่ได้ไปทำเรื่องบ้าคลั่งแบบที่นายกองทำใช่หรือไม่”
สวี่ชิงส่ายหัว
“ศิษย์พี่จางซาน ซ่อมเรือต้องใช้เวลานานเท่าไร”
จางซานมองไปทางเรือเวท ถอนหายใจยาว
“เอาล่ะเอาล่ะ ครั้งที่แล้วเจ้าเอาเรือเร็วลำหนึ่งกลับไป พอเทียบกับครั้งนี้ ครั้งนี้ก็ยังดีหน่อย อย่างน้อยเรือเวทก็ยังเหลืออยู่ครึ่งหนึ่ง…
“แต่ว่าไม่สามารถซ่อมได้ในระยะเวลาสั้นๆ พรุ่งนี้ข้าต้องไปข้างนอกกับนายกองรอบหนึ่ง เขาให้ข้าแบกเขาไปที่ใดสักที่เพื่อฟื้นฟูอาการบาดเจ็บ บอกว่าข้าไปสร้างฐานที่นั่นได้
“ถ้าเจ้าไม่รีบล่ะก็ รอข้าสร้างฐานกลับมาแล้วหลอมให้เจ้าใหม่ หลังจากสร้างฐานถ้าหลอมออกมาต้องดีกว่าแน่ๆ ยิ่งไปกว่านั้น นายกองยังได้รับชิ้นเนื้อมา ถึงตอนนั้นก็สามารถวางไว้ในเรือลำใหม่แทนที่ต้นกำเนิดพลังชั่วคราวได้”
จางซานเดินวนมองเรือเวทของสวี่ชิงรอบหนึ่ง ถอยหายใจเอ่ยขึ้นอย่างยอมรับโชคชะตา
สวี่ชิงคิดๆ จากนั้นจึงผงกหัว ไม่ถามถึงเรื่องการสร้างฐานของอีกฝ่าย เรื่องนี้ไม่ว่าจะมีความสัมพันธ์เช่นไร การถามไถ่ไปถือเป็นเรื่องต้องห้าม
ดังนั้นจึงประสานหมัดบอกลา
ตอนนี้มืดมากแล้ว และค่ายกลส่งข้ามของเจ็ดเนตรโลหิต นอกเสียจากจะจำเป็นจริงๆ ก็จะไม่เปิดใช้งาน ดังนั้นหลังจากสวี่ชิงครุ่นคิดก็เลือกไม่ไปโรงเตี๊ยม แต่ไปยังกรมปราบพิฆาตแทน
หลังจากเลื่อนขั้นเป็นรองนายกอง เขาก็มีห้องของตนเองห้องหนึ่งในหน่วยนิลกาฬของกรมปราบพิฆาต
ถึงอย่างไรพอเทียบกับโรงเตี๊ยมด้านนอก ระดับความปลอดภัยในกรมปราบพิฆาตยังคงสูงกว่า
สวี่ชิงจึงไปค้างคืนที่กรมปราบพิฆาตเช่นนี้
หน่วยนิลกาฬไม่มีใครอยู่ นายกองเองก็ไม่อยู่ สวี่ชิงเข้าไปยังห้องของตนเอง เปิดใช้งานค่ายกลคุ้มกันที่ซื้อมา หลับตาลงนั่งสมาธิ
คืนหนึ่งผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ฟ้าอรุณช่วงเช้าวันที่สองเพิ่งจะสาง ดวงตาสวี่ชิงก็ลืมตาขึ้นฉับพลัน เก็บค่ายกลแล้วออกจากกรมปราบพิฆาตอย่างรวดเร็วโดยไม่ลังเล ตรงไปยังค่ายกลส่งข้ามใจกลางเมือง
ทะยานอย่างรวดเร็วตลอดทาง ในที่สุดหลังจากผ่านไปครึ่งชั่วยาม เขาก็มองเห็นค่ายกลส่งข้ามอยู่ลิบๆ
ที่นั่นมีคนเข้าแถวเพื่อส่งข้ามอยู่ไม่น้อย ในนี้มีสองคนที่สะดุดตาอย่างมากในกลุ่มคน คนหนึ่งคือจางซาน ส่วนอีกคนคือนายกองที่อยู่บนหลังเขา
พอคิดถึงคำพูดเมื่อวานของจางซาน สวี่ชิงจึงไม่รู้สึกแปลกใจ และนายกองที่เหลียวซ้ายแลขวาอยู่บนหลังจางซาน ก็เห็นสวี่ชิงอย่างรวดเร็ว กินผิงกั่วไปด้วยพลางกวักมือ
พอสวี่ชิงเข้ามาใกล้ นายกองก็กวาดมองเหมือนยิ้มเหมือนไม่ยิ้ม
“นี่ไม่กล้าอยู่ในสำนัก แต่จะไปหาที่ทะลวงขั้นด้านนอกหรือ ให้ข้าแนะนำที่ดีๆ ให้หรือไม่”
จางซานเองก็มองไปทางสวี่ชิง ยิ้มทักทาย พอได้ยินคำพูดนายกอง ดวงตาเขาก็เป็นประกาย จากนั้นมองไปทางสวี่ชิงหลายครั้ง สีหน้าดูยินดีพอใจที่ลงทุนสำเร็จ
“ออกไปทำธุระด้านนอกน่ะ” สวี่ชิงชำเลืองมองกลุ่มคนในค่ายกลส่งข้าม ตอบกลับอย่างสงบ
“รองนายกองสวี่ ท่าทีเจ้าตอนนี้มันเสแสร้งเหลือเกิน ข้าจะสอนเจ้านะ จากนี้หากคิดจะโกหก ต้องมองตาอีกฝ่ายด้วย เช่นนี้ถึงจะดูเป็นเรื่องจริง และที่เจ้าปิดบังแบบนี้ ดูท่าครั้งนี้จะได้ของมาก้อนใหญ่จากบนเกาะสิท่า
“มาๆๆ หยิบออกมาให้ข้าดูหน่อย ดูว่ามีค่าเท่ากับผิงกั่วลูกนี้หรือไม่”
นายกองกินผิงกั่วในมือจนหมด จากนั้นก็หยิบผิงกั่วใหญ่ที่สวี่ชิงให้ในเกาะจวีอิงอีกลูกออกมาโบกอวด กัดไปคำหนึ่ง
“อืม นายกองครั้งนี้จะไปที่ใด” สวี่ชิงพยักหน้า ถอนสายตากลับมาจากค่ายกลส่งข้าม ถามออกมาคำหนึ่ง
“ข้าหรือ ข้าจะไปรักษาตัว รอข้ากลับมาก็จะยอดเยี่ยมกว่าเดิมแล้ว ถึงตอนนั้นหนึ่งหมื่นก้อนหินวิญญาณที่เด็กน้อยอย่างเจ้าติดค้างข้ายังไม่ยอมคืนมา ก็อย่าหาว่าข้าใจร้ายแล้วกัน”
นายกองหรี่ตาลง มองไปยังถุงหนังบนตัวสวี่ชิงอย่างลึกซึ้ง หลังจากเก็บสายตามาก็กัดผิงกั่วไปคำใหญ่
“ขอให้นายกองฟื้นตัวอย่างราบรื่น” สวี่ชิงมองดวงตาของนายกอง เอ่ยขึ้นอย่างตั้งใจ
นายกองตะลึง มองตาสวี่ชิง สีหน้าเผยแววครุ่นคิด เหมือนกำลังวิเคราะห์ระดับความจริงใจประโยคนี้ของสวี่ชิง
ตอนนี้จางซานถอนหายใจ เขามองออกแล้ว ว่าโรคจิตอย่างนายกองกับสวี่ชิงสองคนนี้ทุกครั้งที่เจอกัน ก็จะพูดคุยกันแบบนี้ จึงคิดจะพูดอะไรหน่อย
แต่ตอนนี้เอง จู่ๆ ท้องฟ้าของเมืองเจ็ดเนตรโลหิตก็เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นฉับพลัน ท้องฟ้าที่เดิมทีใสกระจ่างเปลี่ยนเป็นดำมืดในพริบตา แรงกดดันหนึ่งที่ทำให้คนหวาดผวาอย่างที่สุดจุติลงมาจากฟากฟ้า! ทำให้ทั้งเมืองหลักเจ็ดเนตรโลหิตต้องสั่นเทิ้ม กระทั่งว่ายอดเขาทั้งเจ็ดยังส่งเสียงครืนครัน
คนทั้งหมดในเมืองหลัก จะผู้บำเพ็ญก็ดีหรือคนธรรมดาก็ดีล้วนจิตใจสั่นสะเทือน เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าพร้อมกัน กระทั่งคลื่นทะเลก็ยังโถมคลื่นยักษ์ขึ้นมาในท่าเรือตอนนี้ ราวกับกำลังบูชาอยู่
สวี่ชิงหน้าเปลี่ยนสี ตอนเงยหน้าขึ้นเขาก็มองเห็นสาเหตุที่ทำให้ท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีดำ
นั่นเป็นเมฆดำมหึมาที่ไม่เห็นจุดสิ้นสุดผืนหนึ่ง หวีดหวิวมาจากทิศของแดนต้องห้ามปักษาราชัน ขณะที่แล่นผ่านท้องฟ้าเมืองเจ็ดเนตรโลหิตก็บดบังดวงตะวันจนทำให้พื้นดินมืดสนิท
ด้านในเมฆดำนี้มีสายฟ้านับไม่ถ้วนอยู่ ฟาดผ่าครืนครันเส้นขอบฟ้าแล่นกระจายออกไปทั้งแปดทิศ การสยบด้วยพลานุภาพไร้เทียมทานแผ่ออกมาจากเมฆดำ ปกคลุมสรรพชีวิต
คนที่เห็นทั้งหมด ในใจทุกคนล้วนเกิดความรู้สึกวิกฤตต่อความเป็นความตายขึ้นด้วยสัญชาตญาณ
เหมือนมีตัวตนระดับเทพเจ้าตนหนึ่งอยู่รางๆ ในเมฆดำนี้ เหมือนวิหคสวรรค์เหมือนอินทรี!
ร่างสีน้ำตาลเหมือนหินผา ขนนกเหมือนเป็นเปลวไฟหลายลูก
เวลานี้มันเหมือนทะยานไปยังทิศทะเลต้องห้ามด้วยความเดือดดาล มหาสมุทรเองก็ก่อคลื่นยักษ์ขึ้นต่อเนื่องจากการตรงไปด้านหน้าส่งเสียงหวีดหวิวของมัน เสียงดังสนั่นฟ้า
สัมผัสจากความรู้สึก พอเทียบกับมันแล้วจวีอิงก็ยังสู้ไม่ได้ ห่างชั้นอยู่มาก
และสวี่ชิงทางนี้ เพียงแค่มองไปผาดหนึ่ง ในหัวก็อื้ออึงเจ็บปวดหัวแทบแตก คนอื่นรอบๆ ก็เป็นเช่นเดียวกัน ขนาดว่ามีบางส่วนเลือดไหลออกจากทวารทั้งเจ็ดด้วยซ้ำ
สวี่ชิงตกตะลึงในใจ เขาจำอีกฝ่ายได้แล้ว
ตัวตนในเมฆดำนี้คือราชาแห่งแดนต้องห้ามอันดับหนึ่งของทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณที่พบตอนกลับจากการล่องทะเลครั้งแรกเมื่อตอนนั้น วิหคเพลิงสวรรค์!
เพียงแต่ครั้งนั้น เหมือนอีกฝ่ายจะอารมณ์ปกติ ดังนั้นสวี่ชิงจึงไม่มีความรู้สึกปวดหัวจนแทบระเบิด แต่ปัจจุบันวิหคเพลิงสวรรค์ตัวนี้โกรธแค้นอย่างเห็นได้ชัด คลื่นอารมณ์ส่งผลกระทบกับทุกสิ่ง
“วิหคเพลิงสวรรค์ออกทะเล…ดูเหมือนจะมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้น หรือว่าราชาของแดนต้องห้ามมรณะจะเดินออกมาจากแดนต้องห้ามกัน”
ตอนที่นายกองเอ่ยขึ้นเสียงต่ำ เมฆดำหวีดหวิวผ่านท้องฟ้าเมืองเจ็ดเนตรโลหิต หลังจากค่อยๆ ผ่านไป ท้องฟ้าของเจ็ดเนตรโลหิตก็กลับมาแจ่มใสอีกครั้ง แต่จิตใจของคนทั้งหมดยังคงสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง
สวี่ชิงสูดลมหายใจลึก หลังจากกลับมาครั้งที่แล้วเขาเคยถามจางซานเกี่ยวกับเรื่องของวิหคเพลิงสวรรค์ รู้สถานะของอีกฝ่าย และรู้ว่าตัวตนที่น่ากลัวนี้ไม่ใช่พวกที่โหดเหี้ยมใจร้าย เวลาส่วนใหญ่จะอยู่ในสภาวะหลับลึก ตื่นขึ้นบ้างเป็นครั้งคราว
ปฏิบัติต่อเผ่ามนุษย์และต่างเผ่าอย่างเมตตาเท่าเทียมกัน โดยเฉพาะสรรพชีวิตที่อาศัยอยู่บนทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณ ส่วนใหญ่ล้วนได้รับการคุ้มกันจากมันระดับหนึ่ง
ดังนั้นจึงมีเผ่ามนุษย์ส่วนหนึ่งอยู่มาได้จนถึงปัจจุบัน
ครู่ต่อมา เจ็ดเนตรโลหิตก็ฝืนกลับมาโคจรดังเดิมตามการจากไปของวิหคเพลิงสวรรค์ สวี่ชิงถอนสายตากลับ เดินตรงไปยังค่ายกลส่งข้าม พอเหยียบเงาร่างก็สลายไปในพริบตา
“เจ้าเด็กคนนี้ไม่เชื่อใจข้า ดูท่าครั้งนี้จะได้ของดีมา แต่ว่าต่อให้ดีเพียงใด ก็คงไม่ร้ายกาจไปกว่าชิ้นเนื้อจวีอิงของข้าหรอก” นายกองยิ้มขึ้นอย่างภูมิใจ ตบลงไปที่หัวของจางซาน
“ไปเถอะจางซาน พี่ชายจะพาเจ้าไปกินเนื้อ”
จางซานถอนหายใจ แอบพูดขึ้นว่าไม่ใช่แค่สวี่ชิงที่ไม่เชื่อเจ้า ข้าเองก็ยังไม่เชื่อเจ้า แต่ว่าพอคิดถึงการลงทุนของตนเองหลายปีมานี้ก็ไม่มีทางเลือก ทำได้แค่ยอมรับชะตากรรม
“ที่ลงทุนไป มันก็ข้าทั้งนั้น!” จางซานส่ายหัว แบกนายกองเดินเข้าไปในค่ายกลส่งข้าม
เจ็ดเนตรโลหิตก็ค่อยๆ ฟื้นฟูกลับมาเป็นปกติตามการส่งข้ามออกไปของสวี่ชิงกับจางซานและนายกองเพียงแต่ว่า…บนท้องฟ้าไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไร ปรากฏเงามืดขึ้นมาบางส่วน
ราวกับว่าลมพายุฝนกำลังจะมาเยือน