ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 179 พี่สวี่ชิง
บทที่ 179 พี่สวี่ชิง
เวลานี้ ตอนนี้ ในขณะที่สวี่ชิงกำลังทะยานไปในทะเลต้องห้ามอย่างเร็วรี่ ดูดซับอสูรทะเลตัวแล้วตัวเล่า บนท้องฟ้าที่ห่างออกไปในระยะหนึ่งตอนนี้ มีเรือโบราณไม้ดำขนาดมหึมาสามลำกำลังเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วกลางอากาศ
เรือสามลำนี้ฉายกลิ่นอายเก่าแก่ออกมา มองไปไกลๆ แล้วท่อนไม้ยักษ์สามท่อน
บนนั้นเกราะแสงสีดำกะพริบวิบวับ กลิ่นอายทั้งหมดในนั้นล้วนถูกสกัดกั้น คนภายนอกยากจะสัมผัสได้แม้เพียงเล็กน้อย ขณะเดียวกันมองจากภายนอกแล้วก็ยากจะวิเคราะห์ที่มาที่ไป
และความจริงแล้ว นี่คือเรือศึกบินเผ่าสิงซากสมุทรหลังจากที่ปกปิดอำพราง
พลังงานของเรือศึกลำนี้คือไอพลังประหลาด ดังนั้น พลังลอยตัวกลางอากาศก็น่าตื่นตะลึงในระดับหนึ่ง สามารถดูดซับไอพลังประหลาดในฟ้าดินผสานไปในเรือได้ตลอดเวลา
บนเรือศึกเผ่าสิงซากสมุทรสามลำที่เห็นในตอนนี้มีผู้บำเพ็ญเผ่าสิงซากสมุทรร้อยกว่าคน เพียงแต่ในนั้นส่วนใหญ่แล้วเป็นคนในเผ่าระดับรวมปราณ มีเพียงสี่ตนเท่านั้นที่พลังบำเพ็ญไม่ธรรมดา แผ่ระลอกคลื่นพลังระดับสร้างฐาน
อีกทั้งสี่คนนี้ยังไม่ใช่ระดับสร้างฐานทั่วไป พวกเขาล้วนเป็นผู้บำเพ็ญที่ก่อไฟชีวิตได้แล้ว โดยเฉพาะผู้บำเพ็ญเผ่าสิงซากสมุทรชุดคลุมยาวสีขาวที่ยืนอยู่บนเรือศึกข้างหน้าสุด แม้จะไม่ได้เปิดสภาวะแสงนภา แต่เศษพลังไฟชีวิตทั้งร่างก็ชัดเจนมาก
เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นผู้นำของผู้บำเพ็ญในเรือทั้งสามลำ ตอนนี้กำลังมองไปที่ไกล ดวงตาสีเทาฉายความเย็นชาออกมา ทั้งคนยืนอยู่ตรงนั้นเหมือนก้อนน้ำแข็ง คล้ายว่าทุกสิ่งล้วนยากจะดึงดูดความสนใจของเขา
และข้างกายเขามีเด็กสาวคนหนึ่งตามติดอยู่
เด็กสาวคนนี้ก็เป็นเผ่าสิงซากสมุทรเช่นกัน ภายนอกดูแล้วเหมือนเผ่ามนุษย์ไม่มีผิดเพี้ยน เห็นได้ชัดว่าตอนยังมีชีวิตได้รับการเลี้ยงดูอย่างสุขสบาย อีกทั้งหลังจากที่แปรสภาพแล้วตำแหน่งก็สูงมาก ดังนั้น ในตัวนางไม่เพียงแต่ไม่มีกลิ่นอายของพิษศพแผ่ซ่านออกมา ผิวยังขาวละเอียด ไม่มีจ้ำเลือดให้เห็นแม้แต่น้อย
หน้าตาก็งดงามอย่างยิ่ง ฉายความน่ารักใสซื่อออกมารางๆ
โดยเฉพาะความมีชีวิตชีวาในดวงตาก็มีมากกว่าเผ่าสิงซากสมุทรทั่วไปไม่น้อย กระทั่งว่าหากเอาตัวนางไปไว้ในกลุ่มมนุษย์ ถ้าไม่วิเคราะห์อย่างละเอียดก็ยากจะมองออกว่านางเป็นเผ่าสิงซากสมุทร
ตอนนี้นางกำลังดึงแขนของผู้บำเพ็ญเผ่าสิงซากสมุทรชุดขาว เอ่ยอย่างออดอ้อน
“พี่สวี่ชิง ท่านบอกข้าเถอะนะ ท่านหาข้าเจอได้อย่างไร ทั้งๆ ที่ข้าปกปิดฐานะเอาไว้อย่างระวังมากแล้วแท้ๆ”
ผู้บำเพ็ญเผ่าสิงซากสมุทรคนนั้นได้ยินก็ส่ายหน้า แต่ทนต่อคำอ้อนวอนอ่อนหวานของเด็กสาวที่อยู่ข้างๆ ไม่ไหว ดังนั้นหลังจากที่เด็กสาวคนนั้นเอาหินสีดำก้อนหนึ่งออกมา เขาก็รับแล้วเก็บเอาไว้ เอ่ยขึ้นด้วยเสียงราบเรียบว่า
“องค์หญิงสาม ความรู้นั้นประเมินค่าไม่ได้ ในเมื่อท่านให้ความเคารพต่อความรู้เช่นนี้ เช่นนั้นข้าแซ่สวี่จะบอกท่านก็ได้ ข้าแซ่สวี่คนนี้ก่อนที่จะมาเป็นเผ่าสิงซากสมุทรเคยเป็นลูกศิษย์ยอดเขาที่เจ็ดสำนักเจ็ดเนตรโลหิตมาก่อน เคยเรียนวิชาเวทบางอย่าง นี่ถึงได้มองตัวตนขององค์หญิงออก
“องค์หญิง องค์ราชาร้อนใจมากแล้ว ดังนั้นจึงประกาศภารกิจตามหาตัวท่านกลับไป ขอท่านอย่าทำให้ข้าลำบากใจ เส้นทางหลังจากนี้ใช้เวลาไม่นานนักพวกเราก็จะกลับถึงเผ่า ท่านอย่าได้โยนของอะไรตามอำเภอใจ หากล่วงเกินผู้ที่ล่วงเกินไม่ได้จะไม่เป็นผลดี” ผู้บำเพ็ญเผ่าสิงซากสมุทรชุดคลุมยาวสีขาวมองเด็กสาวข้างกายด้วยสีหน้าสงบนิ่ง
“ก็ได้ แต่ว่าพี่สวี่ชิงอย่าลืมเรื่องที่ตกลงไว้กับข้า หลังจากกลับถึงเผ่าแล้วท่านต้องย้ายมาเป็นผู้คุ้มครองส่วนตัวของข้า พี่สวี่ชิง ข้าชอบนิสัยท่านมากเลย รู้สึกว่าท่านพิเศษจริงๆ ถามคำถามท่าน ท่านกลับยังต้องให้ข้าจ่ายด้วยหินพลังประหลาดถึงจะตอบ คนในเผ่าคนอื่นๆ ไม่มีใครกล้าทำเช่นนี้
“แล้วก็ยังมีคำพูดพวกนั้นของท่านอีก อย่างความรู้ประเมินค่าไม่ได้ เคารพความรู้อะไรพวกนั้น ข้าชอบมากหมดเลย พิเศษจริงๆ” เด็กสาวมองผู้บำเพ็ญชุดคลุมยาวสีขาว ยิ้มน่ารักพลางพูด
ผู้บำเพ็ญชุดคลุมยาวสีขาวมือไพล่หลังพลางมองไปที่ไกล เอ่ยเสียงราบเรียบ
“สวี่ชิงไม่โกหก ขอเพียงองค์หญิงให้ข้าทำภารกิจสำเร็จได้อย่างราบรื่น ไม่ต้องบอกว่าให้เป็นผู้คุ้มครอง ต่อให้องค์หญิงต้องการให้สวี่ชิงเป็นชายบำเรอก็ย่อมได้ หากสวี่ชิงโกหกขอให้โดนพิษร้าย ให้ฟ้าผ่า!”
“มาเป็นชายบำเรอของข้าได้จริงๆ หรือพี่สวี่ชิง” องค์หญิงสามตาเป็นประกาย
“ย่อมได้แน่นอน!” ผู้บำเพ็ญชุดคลุมยาวสีขาวกระแอมเบาๆ
ในเวลาเดียวกันนี้…ในทะเลต้องห้ามไกลโพ้น ทั่วร่างสวี่ชิงพลันสะท้านไปในเสี้ยวขณะนี้ ในดวงตาฉายประกายระมัดระวังออกมา มองใต้มหาสมุทรมืดมิดข้างหน้า ร่างค่อยๆ ถอยไปข้างหลัง
ใต้ทะเลที่สายตาเขามองไปตอนนี้มีเงาร่างมายารางเลือนกลุ่มหนึ่ง กำลังเคลื่อนไปข้างหน้าเป็นกลุ่ม และข้างหน้าะพวกมันก็มีเมืองแห่งหนึ่งอยู่
เมืองนี้มีสิ่งก่อสร้างจำนวนมาก สามารถมองเห็นเงาร่างมากมายนับไม่ถ้วนสัญจรไปมาในนั้น กระทั่งว่ามีเสียงเอะอะโหวกเหวกลอยดังออกมา ในเมื่อยังมีร้านค้าและแผงลอยมากมาย วิญญาณที่ไปมาในนั้นหนาแน่นไม่ขาดสาย
มองเผินๆ กระทั่งว่าไม่ต่างอะไรกับเมืองหลักเจ็ดเนตรโลหิตสักเท่าไร คึกคักเป็นอย่างมาก
แต่ภาพนี้กลับทำให้สวี่ชิงระแวงระวังอย่างรุนแรง ต่อให้ด้วยกำลังรบของเขาในตอนนี้ก็ยังรู้สึกหวาดผวา มีความรู้สึกอันตรายอย่างรุนแรง
นี่คือเมืองผีเมืองหนึ่ง
สิ่งที่ทำให้สวี่ชิงรู้สึกอันตรายไม่ใช่วิญญาณในเมืองพวกนั้น แต่เป็นตัวเมือง
ดังนั้นเขาจึงถอยไปอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย เพียงพริบตาก็ห่างไปไกล และเมืองผีเมืองนั้นก็เหมือนจะไม่ได้สนใจเขาเท่าไร ไม่ได้ไล่ตามมา
แต่สวี่ชิงระแวงระวังยังเลือกที่จะเปลี่ยนทิศทางเคลื่อนไปข้างหน้า จนเมื่อห่างไปไกลโดยสมบูรณ์แล้ว เขาถึงถอนหายใจโล่งอก
“อันตรายใต้ทะเล ด้วยพลังบำเพ็ญของข้าในตอนนี้ยังสำรวจถี่เกินไปไม่ได้”
นี่เป็นเรื่องที่ทำให้เขาเห็นแล้วต้องหวาดผวาเรื่องที่สองในช่วงนี้แล้ว ก่อนหน้านี้ ครั้งแรกก่อนหน้านี้เขาเห็นหัวขนาดมหึมาหัวหนึ่ง หลังจากที่ลอยอยู่ใต้ทะเลก็พุ่งขึ้นมาเหนือผิวน้ำ แล้วทิ้งตัวลงไปเหมือนเล่นสนุก แล้วมุดไปใต้ทะเลอีกครั้ง
ทำอย่างนี้ซ้ำๆ ไม่หยุด ส่งเสียงหัวเราะอย่างสนุกสนานออกมาเป็นระลอกๆ
ครั้งนั้นกับครั้งนี้เหมือนกัน สวี่ชิงล้วนหลีกไปไกล ไม่เกิดเรื่องบาดหมาง แต่สวี่ชิงก็ไม่กล้ามั่นใจว่าโชคดีจะมีอยู่ตลอดไป ครั้งที่สามที่เจอเรื่องประเภทนี้ บางทีอาจจะมีอันตรายครั้งใหญ่เกิดขึ้นก็เป็นได้
ดังนั้น หลังจากเขาพึมพำก็ขึ้นมาจากใต้น้ำ เลือกที่จะเอาเรือเวทออกมาแล้วนั่งอยู่บนนั้น อาศัยเจ้าเงาและอสูรคอยาวบรรพกาลของตัวเองไปสำรวจและออกล่า
“อีกไม่นานขั้นที่สองของวิชาวิหคทองหลอมหมื่นวิญญาณก็สำเร็จแล้ว ต่อจากนี้ระมัดระวังรอบคอบไว้เป็นดี” สวี่ชิงคิดถึงตรงนี้ก็นั่งขัดสมาธิ ประสาทสัมผัสแผ่ไปใต้ทะเลเชื่อมไปที่อสูรคอยาวบรรพกาลของตัวเอง
ตอนนี้วาฬบรรพกาลทะเลต้องห้ามแก่นชีพของเขาตัวนี้หน้าตาไม่เหมือนอสูรคอยาวบรรพกาลอีกต่อไปแล้ว แต่เปลี่ยนเป็นร่างที่คล้ายกับอสูรสมุทรบรรพกาล นี่คือการรับรู้ที่สวี่ชิงได้มาหลังจากที่ฆ่าอสูรสมุทรบรรพกาลตัวนั้น แล้วนำมาปรับกับอสูรคอยาวบรรพกาล
“เสียดายที่ฆ่าไปแค่ตัวเดียว ไม่เช่นนั้นจะทำให้วาฬบรรพกาลทะเลต้องห้ามเลียนแบบหน้าตาได้เหมือนขึ้นไปอีก” สวี่ชิงหลับตาลง
เพียงชั่วพริบตา เจ็ดวันก็ผ่านไป
การเดินเรือออกทะเลครั้งนี้ของสวี่ชิงรวมเป็นเวลานานหลายเดือนแล้ว และเขตทะเลที่เขาอยู่ตอนนี้ก็อยู่ห่างจากสนามรบเผ่าเงือก เขาเองก็ไม่รู้ว่าตอนนี้สงครามเป็นอย่างไร แต่ว่า เขาเห็นสรุปอันดับรายชื่อรวมบนป้ายฐานะของตัวเอง เปลี่ยนจากเดิมที่อยู่ในอันดับห้าสิบกว่า มาอยู่อันดับที่ร้อยกว่าแล้ว
นี่หมายความว่าความดุเดือนของสงครามเหมือนจะรุนแรงขึ้น
แต่ตอนนี้สวี่ชิงไม่สนใจเรื่องพวกนี้ ในเจ็ดวันนี้วิหคทองหลอมหมื่นวิญญาณของเขา ในที่สุดหลังจากที่ดูดซับอสูรทะเลจำนวนหนึ่งก็ใกล้จะอิ่มแล้ว
“หาอสูรทะเลระดับสร้างฐานอีกตัวดูดซับ เมล็ดพันธุ์สืบทอดวิหคทองหลอมหมื่นวิญญาณก็จะกระตุ้นขึ้นได้โดยสมบูรณ์!” ในแววตาของสวี่ชิงฉายความวาดหวัง จิตใจจมจ่อมอยู่ที่อสูรสมุทรบรรพกาลทะเลต้องห้ามใต้ทะเล เริ่มเสาะหาอสูรทะเลที่เหมาะสม
ตลอดทางนี้เจ้าเงาก็กระจายเนตรเงาออกไปไม่น้อย ร่วมค้นหาด้วย ส่วนบรรพจารย์สำนักวัชระก็ยิ่งอยู่ใต้ทะเลตลอด ตามอสูรสมุทรบรรพกาลสำรวจค้นหาด้วย
และในเสี้ยวขณะที่จิตใจของสวี่ชิงดำดิ่ง จิตของเขาก็พลันขยับ ลืมตาเงยหน้ามองไปบนท้องฟ้าทันที
ตอนนี้เป็นช่วงพลบค่ำแสงสนธยาที่ปลายขอบฟ้า เชื่อมต่อกันเป็นผืน เหมือนใบไม้ฤดูใบไม้ร่วงปกคลุมม่านฟ้า และในแสงสนธยานี้ ที่ขอบฟ้าไกลลิบ มีเรือศึกแปลกประหลาดที่เหมือนกับท่อนไม้ยักษ์สีดำสามลำสะท้อนมาในสายตาสวี่ชิง
สวี่ชิงมองเรือศึกสามลำนี้ ดวงตาจ้องเพ่ง เขาไม่อาจสัมผัสได้ถึงระลอกคลื่นใดๆ จากเรือศึกพวกนี้ และมองไม่เห็นเงาร่างอะไรในนั้น ในขณะเดียวกัน ในบันทึกของสำนักเจ็ดเนตรโลหิตก็ไม่มีกล่าวถึงเรือศึกประเภทนี้
ดังนั้นสวี่ชิงจึงไม่สามารถมองที่มาที่ไปออกได้ในทันที
แต่ความระแวดระวังในใจของเขาสูงมาก แม้อีกฝ่ายดูแล้วจะเหมือนแค่ผ่านมา แต่เขาไม่ใช่แค่เปิดเกราะป้องกันเรือเวททั้งหมดเท่านั้น ยังเลือกที่จะเปลี่ยนเรือเวทให้อยู่ในสภาวะดำน้ำดำลงไปในทะเล
เช่นนี้แล้ว หากแค่ผ่านมาจริงๆ เห็นสวี่ชิงหลบอยู่ตรงนี้ก็คงจะไม่ลงมือ ต่อให้ลงมือจริงๆ สวี่ชิงก็เตรียมพร้อมโจมตีกลับ หรือไม่ก็เร่งความเร็วหนี
แต่ในเสี้ยวขณะที่เรือเวทของสวี่ชิงเพิ่งดำลงใต้ทะเล จู่ๆ ในเรือศึกที่อยู่ข้างหน้าสุดของเรือศึกทั้งสามลำบนท้องฟ้าก็มีมือของสตรีที่ขาวเนียนละเอียดดุจหยกยื่นออกมา
ในมือข้างนี้ถือมุกสีดำเม็ดหนึ่งเอาไว้ หลังจากที่ปล่อยมาลงมาอย่างแผ่วเบา มุกเม็ดนี้ก็พลันปะทุสายฟ้า ฟาดผ่าไปยังผิวน้ำที่สวี่ชิงดำลงไปด้วยความเร็วที่น่าตกใจ
ความแข็งแกร่งของพลังสะเทือนฟ้าดิน ในมุกเม็ดนั้นยังมองเห็นอักขระตัวหนึ่งที่ถูกผนึกไว้ข้างในอีกด้วย
สวี่ชิงดวงตาจ้องเพ่ง ควบคุมเรือเวทจากไปไกลทันที แต่เสี้ยวพริบตาต่อมาเขาก็หน้าเปลี่ยนสี
เพราะอักขระในมุกที่ร่วงลงมาเม็ดนั้นแค่กะพริบ ก็ทำให้มุกเม็ดนี้เหมือนเคลื่นย้ายในพริบตา มาปรากฏใต้ทะเลอย่างรวดเร็วเหนือเรือเวทของสวี่ชิง
ความเร็วนี้เหนือการวิเคราะห์ของสวี่ชิง เขาบังคับเรือเวทหลบไม่ทัน เสี้ยวพริบตาต่อมาเสียงระเบิดก็ดังสนั่นหวั่นไหว ซัดน้ำทะเลรอบๆ กระจายสาดกระเซ็น เรือเวทสวี่ชิงแตกสลาย เศษชิ้นส่วนนับไม่ถ้วนลอยจากใต้ทะเลขึ้นมาเหนือน้ำ
ยามมองไป เศษชิ้นส่วนบนผิวน้ำเต็มไปหมด เหมือนเรือเวทแตกสลายไปแล้วโดยสมบูรณ์
“โอ๊ะ ไม่ทนเอาเสียเลย เพียงสายอัสนีเดียวของข้าก็แหลกเสียแล้ว ไม่สนุกเลยๆ แต่ว่าตอนที่มันบานสวยมากเลย” บนท้องฟ้า เด็กสาวเผ่าสิงซากสมุทรเอนเกาะอยู่ข้างรั้วเรือศึก ก้มหน้ามองแวบหนึ่ง หัวเราะพลางเอ่ย
แต่ผู้บำเพ็ญชุดคลุมยาวสีขาวที่อยู่ข้างๆ กลับลมหายใจหยุดชะงักไปเล็กน้อย ดวงตาฉายแววแปลกประหลาดออกมา หลังจากมองเรือเวทที่เป็นชิ้นๆ ข้างล่างตรงริมเรือหลายอึดใจ เขาก็ถอนหายใจยาวออกมา
“องค์หญิงสาม ไยต้องทำเช่นนี้ด้วยเล่า ข้าก็แค่อยากทำภารกิจให้เสร็จก็เท่านั้น ทำไมถึงได้ยากขนาดนี้กัน!! ท่านสงบเสงี่ยมสักหน่อยได้หรือไม่ หากล่วงเกินปีศาจดาวพิฆาตตัวใดเข้าจะทำเช่นไร”
พูดแล้ว ผู้บำเพ็ญชุดคลุมยาวสีขาวก็เหมือนกลัดกลุ้มเป็นอย่างมาก หยิบผิงกั่วออกมาจากอกเสื้อแล้วกัดอย่างแรงคำหนึ่ง
“พี่สวี่ชิง ท่านเป็นอะไรไป ก็แค่เรือเวทของสำนักเจ็ดเนตรลำเดียวมิใช่หรือ อีกทั้งอัสนีเทพที่ท่านพ่อผู้ไม่ตายดีคนนั้นมอบให้แค่ฟาดทีเดียวก็แหลกแล้วจะมีอะไรกัน” เด็กสาวหัวเราะ ดวงตาหยีเป็นจันทร์เสี้ยว
ผู้บำเพ็ญชุดคลุมยาวสีขาวส่ายหน้า ท่าทางเหมือนไม่อยากพูดอะไร ถอนหายใจ ขี้เกียจจะสนใจคำเรียกบิดาที่อีกฝ่ายเรียก ตอนนี้เขาบังคับเรือศึกเร่งความเร็วเคลื่อนไปข้างหน้า
ไม่นานนักเรือศึกที่เหมือนไม้ดำสามลำนี้ก็พุ่งทะยานแหวกฟ้าจากไปไกลอย่างรวดเร็ว
ในขณะเดียวกัน จากการที่เรือสามลำนี้จากไป เรือเวทที่กลายเป็นเศษชิ้นส่วนบนผิวน้ำ จู่ๆ ก็กระจายออกไปรอบๆ ตามคลื่นทะเล
ใต้ผิวน้ำ มีเรือเวทที่เล็กกว่าก่อนหน้านี้หนึ่งส่วน แต่กลับยิ่งโหดเหี้ยมกว่าเดิม เผยให้เห็นร่างกิ้งก่าทะเล กำลังไล่ตามทิศที่ไม้ดำสามลำบนท้องฟ้ามุ่งหน้าไป!
ส่วนที่เสียหายก่อนหน้านี้คือผลงานรังสรรค์ของจางซานที่ประดิษฐ์เป็นเปลือกนอกให้กับเรือเวทของสวี่ชิง แค่แตะก็แหลก เป็นทักษะหลอกล่อยอดเยี่ยมมาก
ตอนนี้สวี่ชิงยืนอยู่บนเรือเวทที่แท้จริง เงยหน้าขึ้นด้วยสีหน้าที่น่ากลัว สายตาแหวกผืนน้ำมองไปบนฟ้า จิตสังหารในดวงตาเดือดพล่าน
“เผ่าสิงซากสมุทรหรือ”