ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 19 วิถีชีวิต
บทที่ 19 วิถีชีวิต
ฐานที่มั่นคนเก็บกวาด นอกจากของที่จำเป็นแล้ว สิ่งที่มีมากที่สุดก็คือของจำพวกเนื้อ
ทุกวันมีคนเก็บกวาดไปๆ มาๆ เพราะพื้นที่ต้องห้ามอยู่ใกล้ ดังนั้นเนื้อที่กินได้ จึงมีขายตามแผงในฐานที่มั่นอยู่มากมาย
ดังนั้นหลังจากได้ยินว่าสวี่ชิงอยากกินเนื้องู ใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยของหัวหน้าเหลยจึงคลี่ยิ้มออกมา
เขาเข้าใจว่าสาเหตุที่อีกฝ่ายบอกว่าจะกินงู เป็นเพราะคำพูดประโยคนั้นก่อนหน้าของตนเอง เห็นได้ชัดว่าเด็กหนุ่มตรงหน้านี้จดจำได้ขึ้นใจแล้ว
เขาจึงขวางสวี่ชิงไม่ให้ออกไปซื้อเนื้อ
“ในฐานที่มั่นคนกลุ่มนั้นปลิ้นปล้อนกันทุกคน เจ้ายังไม่ค่อยเข้าใจเรื่องอสูรกลายพันธุ์ของพื้นที่ต้องห้าม คงถูกหลอกเอาง่ายๆ เดี๋ยวเกิดเรื่องบีบบังคับให้ซื้อขายขึ้นมา ข้าไปเองจะเสียดีกว่า” หัวหน้าเหลยพูดพลางลุกขึ้นยืน
พอได้ยินคำว่าบีบบังคับให้ซื้อขาย สวี่ชิงก็ลูบเหล็กแหลมในมือด้วยสัญชาตญาณ หลังจากครุ่นคิดก็ตอบอย่างตั้งใจ
“พวกเขาไม่มีทางทำได้หรอก”
หัวหน้าเหลยกวาดตามองเหล็กแหลม หัวเราะร่าออกมา ไม่พูดอะไรแล้วเดินออกไปจากเรือน
สวี่ชิงมองเงาของหัวหน้าเหลยพลางคิด จากนั้นจึงเดินไปเรือนข้าง หยิบเอาหม้อชามไปล้างจนสะอาด จากนั้นก็เช็ดและจัดโต๊ะ สุดท้ายเตรียมชามตะเกียบออกมาวางไว้ด้านบนสามชุด สวี่ชิงจ้องมองชามตะเกียบที่มีเกินมาหนึ่งชุดก็พลันเข้าใจอะไรขึ้นมา
“นั่นเป็นคนที่ไม่มีทางกลับมาแล้วตลอดกาล” ในหัวของเขาปรากฏคำพูดของหัวหน้าเหลยที่เคยเอ่ย หยิบชามตะเกียบชุดที่สามวางลงข้างๆ ชามตะเกียบของหัวหน้าเหลยอย่างเงียบๆ
เก้าอี้เองก็เช่นกัน
เมื่อทำเรื่องเหล่านี้เสร็จ สวี่ชิงก็หันหน้าไปมองเรือนที่อยู่ด้านนอกประตู เวลานี้ท้องฟ้าเป็นเวลาโพล้เพล้แล้ว ลมที่พัดมาหนาวเย็นอยู่บ้าง เหมือนเจือเกล็ดหิมะอยู่บางๆ
ฤดูกาลช่วงปลายเดือนสาม ในทวีปหนานหวงส่วนตะวันออก แม้ผืนแผ่นดินจะกลับมาอบอุ่น สรรพสิ่งจะฟื้นคืน แต่เหมือนฤดูหนาวจะยังไม่ยินยอม บางครั้งก็ยังโปรยเกล็ดหิมะลงมา ดั่งจะบอกกับสรรพสิ่งว่ามันยังไม่ได้ไปที่ใด
ใต้ท้องฟ้าสีเทาตอนนี้ เกล็ดหิมะถูกสายลมพัดพาลอยไหวอยู่
ราวกับว่าขณะที่ร่วงหล่นซ่านกระจายลงสู่พสุธาบนโลกมนุษย์ ก็ถูกอุณหภูมิบนพื้นดินละลายลงอย่างรวดเร็ว
สุดท้ายสิ่งที่เห็นก็คือกองโคลนที่กระจายอยู่เต็มพื้น
ไม่ว่าจะสูงส่งมาจากแห่งหนใด ไม่ว่าตนเองจะขาวสะอาดเพียงไหน แต่เมื่ออยู่บนโลกมนุษย์ ก็ยังต้องมีเศษธุลีและตะกอนผสมปนเปกันอยู่ ไม่แบ่งแยกกันและกัน
และไม่รู้ว่าในสายลมมีหิมะแฝงอยู่จึงทำให้มันเย็นมากขึ้น หรือว่าหิมะเข้าย้อมสายลมจนทำให้มันหนาวเหน็บกันแน่
เมื่อพัดผ่านพื้นดิน พัดผ่านฐานที่มั่นเวลานี้ ขณะที่พัดผ่านเรือนไม้ไผ่ สวี่ชิงก็รู้สึกหนาวขึ้นมา
แม้จะเป็นผู้บำเพ็ญ แต่ความหวาดกลัวต่อความหนาวเย็นที่สั่งสมมาในส่วนลึกของความทรงจำหลายขวบปีของตนเอง ก็ยังทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจในอากาศหนาวเย็นเช่นนี้นัก
จนกระทั่งเขามองเห็นเงาหนึ่งเดินขากะเผลกต้านลมผลักประตูเรือนเข้ามาท่ามกลางลมหนาว พริบตาที่เงาปรากฏขึ้น น้ำเสียงกลั้วหัวเราะก็ส่งลอดผ่านสายลมหนาวเข้ามา
“เด็กน้อย วันนี้เจ้าลาภปากเสียแล้ว ดูสิว่าข้าซื้ออะไรมา นี่คืองูดอกสีชาดเลยนะ เนื้องูตัวนี้นับว่ายอดเยี่ยม อีกเดี๋ยวข้าจะแสดงฝีมือให้เห็นเอง”
หัวหน้าเหลยหิ้วงูตัวหนึ่ง สาวเท้าก้าวใหญ่เดินไปยังเรือนข้าง
เมื่อสังเกตเห็นความเรียบร้อย การจัดวางโต๊ะเก้าอี้รวมถึงชามตะเกียบ โดยเฉพาะขณะที่มองเห็นสองชุดนั่นถูกวางอยู่ด้วยกันในเรือนข้าง นั้น บนหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยของหัวหน้าเหลยก็มีรอยยิ้มออกมา มองสวี่ชิงอย่างลึกซึ้งผาดหนึ่ง
“อยากลองย่างงูหรือไม่” หัวหน้าเหลยถามขึ้น
“อยาก” สวี่ชิงตาเป็นประกาย เขากระหายใคร่รู้กับความรู้ที่ตนเองไม่มีทั้งหมด โดยเฉพาะงูย่างของหัวหน้าเหลยนั้นอร่อยมากจริงๆ
หัวหน้าเหลยยิ้ม เรียกสวี่ชิงไปข้างๆ แนะนำไปด้วย ทำไปด้วย
“งูนี้น่ะ ถ้าว่าตามหลักการคือต้องตัดหัวตัดหางเสียก่อน แต่คนพวกนั้นไม่รู้ ว่าหางงูมีส่วนใช้ระบายของเสียออก ดังนั้นจำเป็นต้องตัดทิ้ง แต่หัวงูขอแค่จัดการเรื่องพิษให้ดี ก็จะสามารถเพิ่มรสชาติโดยรวมของเนื้องู ซ้ำยังทำให้กลมกล่อมขึ้นอีกด้วย”
หัวหน้าเหลยพูดเรื่องการทำอาหารแล้วดูเบิกบานมาก
สวี่ชิงที่ฟังอยู่ข้างๆ ก็ตั้งใจมากเช่นกัน มองหัวหน้าเหลยล้างงูจนสะอาด ลอกหนังและเครื่องในออก จากนั้นก็สับมันเป็นท่อนๆ วางไว้ข้างๆ
“เด็กน้อยเจ้าต้องจำไว้ว่าเนื้อนี่เวลาเข้าปากจะมีรสชาติหลงเหลือหรือไม่ ก็ต้องไปดูที่น้ำแกง”
หัวหน้าเหลยพูดพลางเริ่มใช้หม้อดินต้มน้ำแกง ทั้งยังใส่สมุนไพรมากมายลงไปในน้ำแกงด้วย สุดท้ายหัวงูที่จัดการอย่างดีก็ถูกโยนลงไปในหม้อเช่นกัน
เมื่อทำเรื่องเหล่านี้เสร็จ สวี่ชิงจึงกลืนน้ำลายเอื๊อกด้วยกลิ่นที่ฟุ้งกระจายไปทั่ว หัวหน้าเหลยเห็นเขาก็หัวเราะร่าออกมา จากนั้นจึงหยิบเอาหม้อที่ล้างสะอาดแล้ว เริ่มผัดเนื้องู
เพียงพริบตา กลิ่นหอมรุนแรงก็นำคลื่นความร้อนโชยซัดเข้ามาที่ใบหน้าพร้อมเสียงกึงกังกึงกังที่สะท้อนก้อง ขณะที่แผ่กำจายจนฟุ้งทั่วเรือนข้าง ก็พัดลอยออกไปด้วย
ราวกับพัดไอเย็นทั้งหลายมลายหายไปจนหมดสิ้น ท้องของสวี่ชิงส่งเสียงจ๊อกๆ ออกมาอย่างควบคุมไม่อยู่ มองดูเนื้องูที่พลิกกลับไปกลับมา ดวงตาก็ยิ่งแข็งค้าง
เพียงไม่นาน หัวหน้าเหลยก็ใส่เนื้องูผัดด้วยไฟที่แผดเผาลงไปในหม้อดิน เมื่อปิดฝาก็มองไปทางสวี่ชิง
“เข้าใจหรือไม่”
ตาสวี่ชิงจ้องหม้อดินเขม็ง ออกแรงพยักหน้า รู้สึกว่าขั้นตอนทั้งหมดเขาเห็นไม่ได้ยากอะไรเลย
หัวหน้าเหลยคลี่ยิ้มบางเบา ขณะเดินออกจากเรือนข้าง กลับมาพร้อมกาสุราในมือสองใบ ใบหนึ่งโยนให้สวี่ชิง อีกใบหนึ่งถือไว้เอง ดื่มลงไปอึกหนึ่งก็เอ่ยชม
“ฐานที่มั่นไม่เคยขาดแคลนเนื้อ แต่สุรานี้ต่างหากที่เป็นของหายาก”
สวี่ชิงหยิบกาสุรา จ้องมองของเหลวขุ่นด้านใน เขาไม่เคยดื่มสุรามาก่อน
สิ่งนี้ถือเป็นของหายากอย่างที่หัวหน้าเหลยพูดไว้ ในถ้ำยาจกไม่มี มีเพียงคนใหญ่โตในเมืองเท่านั้นถึงจะได้ลิ้มรส
แต่เมื่อเห็นหัวหน้าเหลยสีหน้ามีความสุขตอนดื่มจนหมด สวี่ชิงยกขึ้นกรอกปากอย่างลังเล เมื่อดื่มไปแล้วก็ขมวดคิ้ว รู้สึกว่าทั้งปากเผ็ดร้อน แต่ก็ยังกลืนลงไป
ความร้อนวูบหนึ่งปรากฏขึ้นมาที่คอหอย ไหลลงไปในหลอดอาหาร จากนั้นก็ระเบิดแผ่กระจายอย่างรุนแรงไปทั่วทั้งร่างกาย กลายเป็นลมที่ทะลักอยู่ในปาก จนทำให้เขาต้องอ้าปากพ่นกลิ่นสุราออกมา
“ไม่อร่อยเลย” สวี่ชิงมองหัวหน้าเหลย
หัวหน้าเหลยพอได้ยินก็หัวเราะ ชี้ไปที่สวี่ชิง เอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม
“เจ้ายังเด็กเกินไป ยังไม่รู้รสชาติของสุรา หลังจากนี้เมื่อเจ้าโต เจ้าจะชอบมันแน่นอน”
หัวหน้าเหลยพูดพลางจะคว้ากาสุราในมือสวี่ชิงแต่เขากลับหลบ
“ข้าจะลองอีก” สวี่ชิงเอ่ยขึ้นอย่างตั้งใจ จากนั้นก็ดื่มลงไปอีกอึก แม้คิ้วยังขมวด แต่เหมือนปรับตัวกับรสชาติแปลกๆ ได้แล้ว
ผ่านไปไม่นาน ขณะที่หัวหน้าเหลยล้อเลียนที่สวี่ชิงดื่มเหล้า เนื้องูก็เสร็จพอดี
ตอนที่เขายกหม้อดินมา ทันทีที่ฝาเปิดออก กลิ่นหอมแผ่ซ่าน ลูกกระเดือกของสวี่ชิงเคลื่อนไหวขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้ วางเหยือกสุราลง รอหัวหน้าเหลยคีบเนื้อขึ้นก่อน สวี่ชิงถึงใช้ตะเกียบจิ้มลงไปที่เนื้อชิ้นหนึ่ง โยนเข้าปากคำใหญ่ทันที
เขายังแก้นิสัยการกินแบบสวาปามไม่ได้
เป็นเช่นนี้ ขณะที่ด้านนอกลมกับหิมะพัดมาพร้อมกัน หนึ่งชราหนึ่งเด็กหนุ่มในเรือนก็ดื่มสุราไปด้วยกินเนื้อไปด้วย ความอบอุ่นตลบอบอวล
มองท่าทางใช้ตะเกียบหยิบเนื้อน่าขัดหูขัดตาของสวี่ชิง ส่วนลึกในดวงตาหัวหน้าเหลยก็มีความอ่อนโยนแผ่ซ่านออกมา พึมพำจากส่วนลึกของจิตใจ
“สุดท้ายก็ยังเป็นเด็กอยู่ดี น่าเสียดาย…ที่ต้องมาใช้ชีวิตในโลกที่โหดร้ายเช่นนี้”
สายลมหิมะที่พัดอยู่ด้านนอกยังพัดลอดผ่านเข้ามาเวลานี้ เนื่องจากโครงสร้างของบ้านมีร่องมีรู แม้ว่าเขากินจนเหงื่อเต็มหน้าผาก แต่เมื่อลมหนาวนี้กระทบกับตัวสวี่ชิง ก็ยังรู้สึกทานทนไม่ได้อยู่บ้าง จึงห่อตัวลงมาเล็กน้อย
ปฏิกิริยาเล็กน้อยนี้อยู่ในสายตาของหัวหน้าเหลย เขาเหมือนจะคิดอะไรอยู่ แต่ก็ไม่พูดอะไร
ผ่านไปครู่หนึ่ง สวี่ชิงจึงเริ่มดื่มสุราอึกใหญ่อีกครั้งตามหัวหน้าเหลย หลังจากพ่นลมสุราออกมา เขาก็มองชายชราที่พาตนเองออกมาจากซากเมืองตรงหน้าคนนี้ จู่ๆ ก็เอ่ยขึ้นว่า
“อาการบาดเจ็บของท่าน…”
“ไม่เป็นไร ทนมาได้ตั้งหลายปี จะมาตายง่ายๆ ได้อย่างไร ไม่เป็นไรหรอก”
สวี่ชิงนิ่งงัน เดิมทีคิดจะถามเรื่องเกี่ยวกับรากฐานถูกทำลายของหัวหน้าเหลย แต่เมื่อคิดถึงตอนอยู่ในพื้นที่ต้องห้าม สุดท้ายก็ไม่พูดอะไรออกมา
อาหารมื้อนี้กินกันนานมาก จนกระทั่งกาสุราในมือหัวหน้าเหลยว่างเปล่า เขาจึงลุกขึ้นยืน ดวงตาขมุกขมัว เดินกลับไปที่ห้อง
สวี่ชิงมองเงาของเขา สัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าพลังที่เคยมีบนตัวหัวหน้าเหลย เหมือนจะสลายหายไปแล้วหลังจากกลับมาจากพื้นที่ต้องห้ามครั้งนี้
สวี่ชิงนิ่งงัน ครู่หนึ่งเขาจึงลุกขึ้นยืน เก็บกวาดโต๊ะอาหาร จากนั้นก็ล้างหม้อชามจนสะอาดแล้ววางเรียงไว้เรียบร้อย แล้วจึงกลับไปยังห้องของตนเอง
เขานั่งอยู่บนเตียง เงยหน้ามองลมหิมะนอกหน้าต่าง หดห่อตัวแล้วล้วงเอาถุงหนังที่เก็บมาจากหัวหน้าเงาโลหิตในพื้นที่ต้องห้าม
ถึงแม้ด้านในจะไม่มียาลูกกลอน แต่มีเหรียญวิญญาณจำนวนมาก ของสัพเพเหระก็มีเยอะไม่น้อย สวี่ชิงตรวจสอบดูรอบหนึ่ง
สุดท้ายก็ล้วงเอาถุงมือสีดำออกมา ถุงมือนี้เหมือนไม่ได้ทำจากหนัง แต่ดูเหมือนจะมีความเป็นโลหะอยู่เล็กน้อย
พอลองสวม สวี่ชิงก็พบว่าสิ่งนี้มีความยืดหยุ่นสูง พลังป้องกันไม่ธรรมดา ลองชกออกไปหลายหมัดรู้สึกว่าพอใช้ได้ จากนั้นก็ถอดออก หลับตาลงนั่งสมาธิ เริ่มปรับลมหายใจเข้าออก
หนึ่งคืนที่เงียบงัน
เมื่อฟ้าสาง ลมหิมะยังคงพัดอยู่ แต่รู้สึกอุ่นขึ้นไม่น้อย เพียงแต่ความหนาวเย็นจนแทบจะเป็นน้ำแข็งในยามค่ำคืน ทำให้เกล็ดหิมะที่ตกอยู่บนพื้นยังสามารถอยู่ต่อไปได้อีกช่วงเวลาหนึ่ง
ดังนั้นขณะที่สวี่ชิงเดินออกจากเรือน เขาก็เห็นว่าบนพื้นมีหิมะอยู่
สวี่ชิงกระชับเสื้อผ้า สายตากวาดไปยังที่พักของหัวหน้าเหลย แล้วเดินออกไปจากเรือน
เขารู้สึกว่าตนเองควรทำอะไรเสียหน่อย อย่างเช่นการไปซื้อลูกกลอนขาวมาให้หัวหน้าเหลย
ดังนั้นหลังจากที่เดินออกมา สวี่ชิงย่ำไปบนหิมะ เขาก็เดินไปทางร้านขายของพร้อมกับเสียงสวบสาบที่ดังออกมา
เมื่อเดินผ่านกระโจมคาราวานของปรมาจารย์ไป่ สวี่ชิงได้ยินเสียงอ่านตำราของเด็กหนุ่มเด็กสาวดังแว่วออกมาจากกระโจม เสียงนี้ทำให้เขาหยุดเท้าลง มองไปอย่างอิจฉาผาดหนึ่ง
ครู่หนึ่งจึงถอนสายตากลับมา สวี่ชิงหันหน้าออกไปเงียบๆ มองไปทางร้านขายของ
พอเข้าไปใกล้อีกนิด สวี่ชิงก็มองเห็นเด็กสาวกำลังออกแรงกวาดหิมะอยู่ด้านนอกร้านขายของอยู่ไกลๆ เสื้อผ้าของนางบางไปหน่อย มือเล็กเย็นจนแดง ในปากพ่นไอเย็นออกมาเป็นระยะ
ไม่เจอกันหลายวัน เด็กสาวเหมือนจะปรับตัวกับชีวิตในฐานที่มั่นได้แล้ว แม้จะเหนื่อย แต่ก็ยังตั้งใจกวาดให้สะอาดสะอ้าน
แม้ว่าหิมะยังตกอยู่ แต่นางก็ยังคงกวาดต่อ มีเพียงรอยแผลเป็นที่ทำให้ใบหน้าเสียโฉมแผลนั้นที่ยังคงชัดเจนแจ่มชัดอยู่บ้างใต้แสงตะวันยามเช้า
ตอนสวี่ชิงเดินเข้าไปใกล้ เด็กสาวก็เหมือนสังเกตเห็น เมื่อเงยหน้าแล้วเห็นสวี่ชิง ดวงตาของนางก็เป็นประกาย ใบหน้าเผยรอยยิ้มปรีดาออกมา
“อรุณสวัสดิ์”
“อรุณ…” สวี่ชิงไม่ค่อยคุ้นชินกับการทักทายเช่นนี้ หลังจากพยักหน้าให้ก็มองไปด้านในร้านขายของ
บางทีเพราะฟ้าเพิ่งสางหรือสภาพอากาศ ด้านในจึงไม่มีคน เจ้าของเองก็ไม่อยู่
“เจ้าจะซื้ออะไรหรือ ข้าไปหยิบให้” เด็กสาวเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม
“ลูกกลอนขาว” สวี่ชิงมองไปทางเด็กสาว
เด็กสาวพอได้ยินก็นำไม้กวาดในมือพิงกับผนังข้างๆ หลังจากพาสวี่ชิงเดินเข้ามาในร้าน นางก็วิ่งไปรื้อค้นที่หลังชั้นวาง เพียงไม่นานก็หยิบถุงหนังหลายใบออกมา เปิดออกดู จากนั้นก็วางกลับไป
หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง นางก็หยิบออกมาใบหนึ่งยื่นส่งให้สวี่ชิง
“กฎของเจ้าของร้านบอกว่าหนึ่งวันขายได้แค่ห้าเม็ด ดังนั้นจึงขายเยอะมากไม่ได้” เด็กสาวรู้สึกละอาย มองไปทางสวี่ชิง
สวี่ชิงเข้าใจ หลังจากรับถุงหนังไปก็เปิดออกดู สายตาก็แข็งค้างเล็กน้อย
เขาสังเกตเห็นว่าลูกกลอนขาวในถุงหนังคุณภาพดีกว่าที่ขายให้ตนเองก่อนหน้านี้มาก กระทั่งสามเม็ดในนี้ ไม่มีรอยช้ำเลยแม้แต่น้อย ซ้ำยังมีกลิ่นยาลอยออกมาจางๆ อีกด้วย
และคิดไปถึงการกระทำก่อนหน้าของเด็กสาว สวี่ชิงก็เงยหน้าขึ้นมอง
“ไม่เป็นไร ยังอยู่ในขอบเขตอำนาจของข้า” เด็กสาวกระพริบตาปริบ เอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม
สวี่ชิงมองเด็กสาวอย่างลึกซึ้ง ผาดหนึ่ง
“ขอบคุณ”
“เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ไม่ต้องขอบคุณหรอก ข้าสิที่ควรจะขอบคุณเจ้า ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้า ข้าคงมีชีวิตถึงตอนนี้ไม่ได้”
เด็กสาวยิ้มเจิดจ้า ในดวงตาเหมือนมีแสงประกาย พูดจบนางก็เหมือนคิดบางอย่างขึ้นได้ ส่งสวี่ชิงออกจากร้านไปพลางเอ่ยขึ้นเสียงต่ำ
“ข้าได้ยินเจ้าของร้านพูดเมื่อวานนี้ว่าช่วงนี้คนอายุน้อยๆ มากมายในฐานที่มั่นล้วนหายตัวไปในพื้นที่ต้องห้าม ยิ่งไปกว่านั้นจากสีหน้าของเขา รู้สึกเหมือนไม่ใช่เพราะอันตรายจากพื้นที่ต้องห้าม แต่เหมือนจะมาจากมนุษย์…เจ้าต้องระวังตัวหน่อยนะ”
ในดวงตาเด็กสาวมีความห่วงใย ซึ่งสวี่ชิงไม่คุ้นชินกับสายตาเช่นนี้เอาเสียเลย เขาเดินถอยหลังมาหลายก้าว พยักหน้าขอบคุณแล้วเดินจากไป
เดินออกมาไม่ไกลนัก สวี่ชิงก็หันหน้ากลับไป จ้องมองเงาของเด็กสาวที่กำลังกวาดหิมะต่อ จ้องมองรอยแผลเป็นบนหน้านางที่อยู่ใต้แสงตะวัน
จู่ๆ เขาก็คิดถึงสิ่งที่หัวหน้าเหลยพูด ในหมู่ศาลเจ้าพื้นที่ต้องห้าม มีหินที่สามารถขจัดรอยแผลเป็นได้อยู่ชนิดหนึ่ง
‘ถ้ามีโอกาส ข้าจะหากลับมาให้นางสักก้อนแล้วกัน’ สวี่ชิงพึมพำในใจ หันหลังเดินจากไป
เด็กหนุ่มออกเดิน บนถนนมีรอยเหยียบบนหิมะเป็นทาง และสายลมหิมะด้านหลังเขา…ก็พัดแรงขึ้นแล้ว