ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 208 ใช้สิ่งประหลาดต่อกรสิ่งประหลาด
บทที่ 208 ใช้สิ่งประหลาดต่อกรสิ่งประหลาด.
“เป็นไปไม่ได้ที่เจ้าเด็กนั่นจะยังจำอาจารย์ได้ ข้าไม่เชื่อหรอก” จากเสียงที่ดังมาในค่ำคืนนี้ ร่างของถิงอวี้เข้าประชิดหน้าหลุมศพปรมาจารย์ไป่อย่างรวดเร็ว มองความว่างเปล่ารอบๆ นางนิ่งงันไป
“ข้าบอกแล้ว ว่าเขาไม่มีทางมาหรอก” ปากเฉินเฟยหยวนพูดเช่นนี้ แต่ดวงตากลับมองไปรอบๆ อย่างรวดเร็ว
“เขามาแล้ว” ถิงอวี้มองหลุมศพปรมาจารย์ไป่ เอ่ยขึ้นเสียงแผ่วเบา
เฉินเฟยหยวนมึนงง จากนั้นจึงก้มลงมองที่หน้าหลุมศพ กลิ่นสุราโชยวูบหนึ่งเดี๋ยวเลือนเดี๋ยวชัด เห็นได้ว่าหลังจากที่พวกเขาออกไป ที่นี่เคยมีการเซ่นไหว้มาก่อน
“ไม่แน่ว่าอาจจะไม่ใช่เขา ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นคนอื่น ต่อให้เป็นเขาจริง แล้วเป็นอย่างไรหรือ…” หลังจากเฉินเฟยหยวนนิ่งเงียบ ก็ถอนใจออกมา
ถิงอวี้กัดริมฝีปากล่าง ทำทีจะพูดแล้วก็หยุดไป
“ตอนนี้เขาอยู่ที่เจ็ดเนตรโลหิต ดูเหมือนจะได้หน้าได้ตาจนติดลำดับ แต่ถ้ายังไม่ได้ฝากตัวเป็นศิษย์กับนายท่านเจ็ด ท้ายสุดก็จะกลายเป็นจอกแหนไป…เรื่องของอาจารย์ สำหรับเขาแล้วก็คงยากจะจัดการเช่นกัน พวกเราไม่ต้องเพ้อฝันแล้ว บางทีเจ้าอาจจะมองผิด คนเนรคุณอย่างเขาไม่เคยมาที่นี่
“หนี้แค้นนี้ พวกเราจะล้างแค้นกันเอง!”
เฉินเฟยหยวนเอ่ยเสียงเคร่งขรึม ดึงถิงอวี้ที่ใบหน้าขมขื่นและอกสั่นขวัญหายอยู่บ้างออกจากสุสาน หลังจากส่งถิงอวี้กลับที่พัก ตอนที่เขาหันหลังจากไป สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม
เขาที่เดินอยู่บนเส้นทางที่จะไปตระกูลเฉิน ในกลุ่มผู้ติดตามหลายคนที่อยู่ด้านหลัง ในนี้มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเขา เอ่ยขึ้นมาเสียงต่ำ
“คุณชาย คนเนรคุณที่พวกท่านพูดถึงก่อนหน้านี้ คือสวี่ชิงที่กำลังชื่อเสียงเลื่องระบือไปทั่วปักษาสวรรค์ทักษิณคนนั้นน่ะหรือ”
แทบจะพริบตาที่คำพูดชายหนุ่มคนนี้เปล่งออกมา เฉินเฟยหยวนที่เดินอยู่ด้านหน้าด้วยสีหน้าเคร่งขรึมก็หันมาฉับพลัน มองไปยังผู้ติดตามหนุ่มที่ติดตามตนเองมาหลายปีเบื้องหน้า ฟาดฝ่ามือผัวะไป
เรี่ยวแรงมหาศาลจนผู้ติดตามนี้ตัวปลิว หลังจากกลิ้งไปอยู่ข้างๆ ผู้ติดตามคนนี้ก็ร่างสั่นสะท้าน รีบคุกเข่าลงทันที
“ข้าบอกว่าเขาเป็นคนเนรคุณ ที่ข้าพูดเช่นนี้เพราะเขาถือเป็นศิษย์พี่ของข้าแล้ว แม้ข้าจะไม่ค่อยชอบเขานัก แต่อาจารย์ยอมรับเขา ข้าเองก็ยอมรับเขาเช่นกัน
“แต่เจ้ามันเป็นใครกัน กล้ามาพูดว่าเขาต่อหน้าข้าหรือ” เฉินเฟยหยวนเอ่ยขึ้นอย่างเย็นชา ผู้ติดตามคนนั้นก็สั่นระริกไปทั้งตัว โขกศีรษะไม่หยุด
“เห็นแก่ว่าเจ้าติดตามข้ามาหลายปี จะจัดงานศพให้ยิ่งใหญ่ก็แล้วกัน” เฉินเฟยหยวนเอ่ยขึ้นเสียงเรียบ ขณะที่ผู้ติดตามคนนั้นอ้อนวอน เขาก็ถูกผู้ติดตามคนอื่นกดไว้ แล้วหักคอทิ้งทันที รอบด้านแปรเปลี่ยนเป็นเงียบสงบ
เฉินเฟยหยวนไม่แม้แต่จะเหลือบมอง ตอนนี้ขมวดคิ้ว ในดวงตามีแววครุ่นคิด จากนั้นเขาก็เอ่ยขึ้นฉับพลัน
“จัดการเรียกใช้สายที่ข้าเลี้ยงเอาไว้หลายปีเหล่านั้นมาให้หมด ให้พวกเขาคอยจับตาการกระทำของผู้แข็งแกร่งแก่นลมปราณของทั้งแปดตระกูล พวกเขาต้องการอะไร ข้าให้ได้ทั้งนั้น”
“เรียกใช้ทั้งหมดเลยหรือขอรับ” ผู้ติดตามด้านหลังเฉินเฟยหยวนตกตะลึง
“ทั้งหมด สวี่ชิงเจ้าเนรคุณนั่นไม่รู้ตอนนี้มีพลังเช่นไร เรื่องอาจารย์นี้ข้าสงสัยว่าผืนอินทนิลคงเข้าร่วมด้วยเช่นกัน ถ้าเขาเข้ามาเอี่ยวอาจจะมีอันตรายก็ได้
“เขาไม่มาพบพวกเรานั้นถูกต้องแล้ว ถิงอวี้ความคิดตื้นเขิน ค้นคว้ายาลูกกลอนยังพอทำเนา แต่จิตใจยังไม่แกร่งพอ ถ้าเกิดเผยร่องรอยออกมา แล้วถูกคนตรวจสอบว่าเขาเข้ามาแล้วล่ะก็ คงจะเลี่ยงความคิดที่จะลงมือประกาศจับเผ่าสิงซากสมุทรได้ยากแน่
“กระทั่งข้าเองก็ยังสงสัยว่าการตายครั้งนี้ของอาจารย์ บางทีอาจจะเพราะมีคนคิดจะล่อเขาเข้ามา ยิงเกาทัณฑ์นัดเดียวได้นกสองตัว หรือบางทีอาจจะมีคนซ้อนแผน คิดใช้เรื่องนี้เพื่อตกเหยื่อ!
“หวังว่าข้าคงจะคิดมากไป” เฉินเฟยหยวนสูดลมหายใจลึก ในดวงตาปรากฏแววครุ่นคิดอีกครั้ง
สองปีนี้ ไม่เพียงแต่สวี่ชิงที่เปลี่ยนไปมาก หลังจากเขากลับมาที่ผืนอินทนิลแล้วสัมผัสกับอำนาจในตระกูล ก็เปลี่ยนไปมากเช่นกัน โดยเฉพาะในด้านสติปัญญา ขณะเดียวกับที่อิทธิพลที่เขาได้รับจากปรมาจารย์ไป่เองก็หยั่งลึก เกลียดชังอยู่ในใจสถานการณ์ปัจจุบันของผืนอินทนิลเป็นอย่างมาก
เมื่อพูดจบ เขาก็มองไปยังผู้ติดตามสองคนด้านหลัง
“สั่งการไปหรือยัง” ผู้ติดตามสองคนนี้พยักหน้า แต่พริบตาที่พวกเขาพยักหน้า ทั้งสองคนนี้ก็ร่างกระตุก หน้าดำคล้ำ กระอักเลือดขาดใจตายทันที
“ไม่มีทางเลือก ข้าก็ไม่เชื่อใจพวกเจ้าเหมือนกัน พอทำงานเสร็จจึงทำได้เพียงส่งพวกเจ้าไปเช่นนี้” เฉินเฟยหยวนพึมพำ ทั่วทั้งผืนอินทนิล คนที่เขาเชื่อใจมีเพียงอาจารย์กับถิงอวี้ ตอนนี้อาจารย์ถูกสังหาร จึงเหลือเพียงถิงอวี้เท่านั้น
“ส่วนเจ้าคนเนรคุณ ก็ถือว่าเชื่อได้กระมัง ไม่รู้เขาจะพบกับลูกกลอนลาลับสิบสองชั่วยามหรือไม่…แต่ว่าด้วยความเข้าใจต่อสมุนไพรของเขาแล้ว น่าจะชี้นำเบาะแสที่ให้พวกเราพบพิษที่อยู่บนตัวอาจารย์ได้” เฉินเฟยหยวนขมวดคิ้ว จัดการศพ แล้วหันหลังเดินจากไป
ขณะเดียวกัน สวี่ชิงเดินอย่างไม่เผยกลิ่นอายแม้แต่น้อยอยู่ในเงามืดในเมืองหลวงของผืนอินทนิล ดวงตาแฝงไว้ด้วยความเย็นชา กำลังตรงไปเบื้องหน้าอย่างรวดเร็ว
สาเหตุที่เขาไม่ทำเป็นไม่รู้จักถิงอวี้กับเฉินเฟยหยวน ก็เพราะกังวลว่าจะมีปัญหาแทรกซ้อน สวี่ชิงรู้คุณค่าของตนเองในปัจจุบันเป็นอย่างดี เขาก็คิดถึงเช่นกันว่ามีคนใช้เรื่องนี้เพื่อล่อตนเองออกมาหรือไม่
แต่เขารู้สึกว่า ต่อให้เป็นเรื่องจริง ก็ไม่เกี่ยวข้องกับขั้วอำนาจที่มาลอบสังหารปรมาจารย์ไป่
การสูญหายของตำรับยาลูกกลอนจันทราทะนงนั่นก็มองถึงร่องรอยบางส่วนออกแล้ว ว่าแผนการของอีกฝ่ายใหญ่โตมาก
“ดังนั้นถ้าหากมีคนจะล่อข้าออกมาจริงๆ ก็มีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นคนจำพวกในผืนอินทนิล แต่บางทีอาจจะกังวลมากเกินไป ทว่าการระแวดระวังและการเตรียมตัวก็ยังจำเป็นต้องมีอยู่ดี”
สวี่ชิงหรี่ตาลง สาดผงพิษลงไปบนตัวเล็กน้อย อำพรางกลิ่นอายของตนเองแล้วเดินหน้าต่อ
เขาพบเบาะแสและร่องรอยที่น่าจะเป็นของคนร้ายแล้ว
ในแผ่นหยกสีแดงที่นายท่านเจ็ดมอบให้ระบุลักษณะพิเศษของอีกฝ่ายไว้ ขณะเดียวกันก็ยังแจ้งว่าตึงมือพอควร แจ้งว่าเผ่าพรางมายานี้จับกุมยากมาก
แม้นายกองทางนั้นจะเตือนเน้นเรื่องวิธีการมาแล้ว แต่สวี่ชิงก็มีวิธีของตนเอง
ขอแค่เป็นผู้บำเพ็ญที่มีไอพลังประหลาด ก็หนีสัมผัสเฉียบคมของเจ้าเงาไม่พ้น ถึงอย่างไรมันก็กินไอพลังประหลาด
แม้ในเมืองหลวงผืนอินทนิล จะมีดีชั่วปะปนกัน ผู้บำเพ็ญที่มีไอพลังประหลาดเข้มข้นมีอยู่ไม่น้อย แต่ถ้าหากเพิ่มกลิ่นอายทะเลต้องห้ามเข้าไป เช่นนั้นขอบเขตก็จะลดลงอย่างมาก
ดังนั้นเรื่องยากลำบากในสายตาคนอื่น สวี่ชิงไม่ได้ลำบากเลย
สิ่งเดียวที่จำเป็นคือหาตัวคนร้ายจากคนที่เงื่อนไขสอดคล้องกับเจ้าเงาเพ็งเล็งไว้ก็พอ
จุดนี้ง่ายมาก
สวี่ชิงไม่เชื่อว่าด้วยความรู้ด้านยาลูกกลอนของอาจารย์ จะไม่ทิ้งวิธีการใดเอาไว้เลย ต้องรู้ด้วยว่าต่อให้เป็นความรู้ด้านยาสมุนไพรตอนนี้ของสวี่ชิง เขาก็ยังสามารถทิ้งสัญลักษณ์บางส่วนไว้บนตัวอีกฝ่ายได้อย่างไร้ร่องรอย
ดังนั้น ตอนที่สวี่ชิงไปเคารพศพก็สังเกตศพของอาจารย์ในโลงผลึกวารีอยู่ห่างๆ ไว้ก่อนแล้ว และตอนที่อยู่หน้าหลุมศพก็ใช้สัมผัสทำการสำรวจผ่านดินโคลนลงไป
สุดท้ายเขาก็มั่นใจได้ว่าพิษบนตัวของอาจารย์มีชื่อว่าลูกกลอนลาลับสิบสองชั่วยาม
ยาลูกกลอนนี้มีคุณสมบัติในการปรับสภาพร่างกาย จำเป็นต้องกินตลอดทั้งปี ประสิทธิภาพได้มาตรฐานสำหรับคนธรรมดา จุดเสียเดียวก็คือหลังจากที่ตายไป จะเร่งการเน่าเปื่อยของศพ ปกติแล้วในสิบสองชั่วยามก็สามารถทำให้ศพกลายเป็นกองเลนได้
เป็นสิ่งที่ปรมาจารย์ไป่หลอมขึ้นมายามว่าง นับได้ว่าเป็นหนึ่งในตำรับยาเฉพาะ
ต่อให้คนนอกเข้าใจ แต่มากสุดก็มาได้ถึงจุดนี้
มีเพียงศิษย์ของเขาเท่านั้นที่จะรู้ว่าตัวยาหลักของลูกกลอนลาลับสิบสองชั่วยาม มีชื่อว่าหมอกละลายวิญญาณ
“หมอกละลายวิญญาณ มีอีกชื่อว่าสวรรค์ปิดเนตร เป็นหญ้าประหลาดขั้นมหาวิญญาณวงศ์กำเนิดหมอก สรรพคุณของมันคือละลายวิญญาณ ทำสัญลักษณ์ ยากจะค้นพบ ยากจะกำจัด เป็นตัวยาหลักของลูกกลอนลาลับสิบสองชั่วยาม”
สวี่ชิงพึมพำ นี่คือเบาะแสที่ปรมาจารย์ไป่ทิ้งไว้ให้คนข้างหลัง
ชัดเจนแล้ว
ว่าคนที่สังหาร ในดวงวิญญาณจะต้องมีหมอกละลายวิญญาณที่แทบจะตรวจสอบไม่ได้ชนิดนี้ปนเปื้อนอยู่เป็นแน่ และวิธีการตรวจสอบ แน่นอนว่าสวี่ชิงรู้
ดังนั้นเขาจึงเพิ่มความเร็ว ในค่ำคืนนี้ก็มาถึงหนึ่งในสามเบาะแสที่เจ้าเงาบ่งชี้ไว้ ที่นี่เป็นโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง หลังจากสวี่ชิงเข้าใกล้ก็แผ่สัมผัสออกมา ไม่นานก็หันหลังจากไป
“ไม่ใช่คนนี้”
เขาไม่ได้หยุดเท้าเลยแม้แต่น้อย ใช้ประโยชน์จากความมืดตรงไปยังจุดที่สอง ที่นี่เป็นสถานที่พักอาศัยของชาวบ้านในเมืองหลวงผืนอินทนิลแห่งหนึ่ง ไม่มีคลื่นพลังบำเพ็ญแผ่ซ่านออกมาเลย กระทั่งไอพลังประหลาดก็ไม่มี
แต่กลับหนีการค้นหาของเจ้าเงาไม่พ้น
พริบตาที่เข้าใกล้ เท้าของสวี่ชิงชะงัก พริบตาต่อมาในดวงตาเขาก็มีประกายเย็นวาบ ร่างไหววูบอย่างรุนแรง เหยียบเข้าไปในบ้านหลังนี้
ตัวบ้านเรียบง่าย มีชายชราคนหนึ่งนอนอยู่ที่นั่น พริบตาที่สวี่ชิงเข้ามา เขาก็เบิกตากว้าง มองสวี่ชิงอย่างประหลาดใจ ตอนที่กำลังจะพูด พริบตาต่อมาเหล็กแหลมสีดำก็พุ่งหวีดหวิวเข้าใกล้ไปทันที
ชายชราคนนี้ไหวร่างอย่างรวดเร็ว ทั้งๆ ที่ไม่มีคลื่นพลังบำเพ็ญใดแผ่ออกมา แต่กลับเหมือนเข้าสู่สภาวะแสงนภาเสียอย่างนั้น ฉากหลบเหล็กแหลมสีดำ แล้วมาปรากฏเบื้องหน้าสวี่ชิง
“หาข้าเจอด้วยหรือ เจ้าแต่งตัวได้ปลอมมาก ให้ข้าดูหน่อยว่าเจ้าเป็นใครกันแน่” เสียงชายชราทุ้มต่ำ ขณะที่พูดก็ยกมือขวาขึ้นคว้าไปที่หน้าของสวี่ชิง
ราวกับจะลบวิชาอำพรางของเขาทิ้ง
แต่พริบตาต่อมา ชายชราคนนี้ก็หน้าเปลี่ยนสีจากการที่ประกายเย็นเยียบในดวงตาสวี่ชิงปะทุขึ้น ความรู้สึกวิกฤติรุนแรงวูบหนึ่งทำให้เขาต้องฉากถอยออกมาฉับพลัน
แต่ก็ช้าเกินไปแล้ว ร่างของสวี่ชิงแผ่พลังที่น่าตกตะลึงออกมาในพริบตานั้น ในร่างกายราวกับแผ่นดินกำลังเผาไหม้ เสยเข่ากระแทกไปอย่างจัง
เสียงตูมดังขึ้น ร่างชายชราสั่นสะท้านอย่างบ้าคลั่ง หัวเข่าสวี่ชิงอัดจนหน้าอกเว้าลงไป เลือดเนื้อเหวอะหวะ ตอนที่กำลังกระเสือกกระสน สวี่ชิงก็สาวเท้าเข้าไปแล้ว เพลิงพิฆาตแผ่ออกมา แต่อีกฝ่ายไม่มีจิตวิญญาณ สวี่ชิงสีหน้าปกติ เมื่อโบกมือวิหคทองหลอมหมื่นวิญญาณก็สำแดงออกมาด้านหลังเขา สูบตัวชายชราคนนั้นอย่างรุนแรงอีกครั้ง
ครั้งนี้ ร่างชายชราสั่นสะท้านแล้วกลายเป็นเลือดลมวูบหนึ่งในพริบตา หลังจากถูกวิหคทองหลอมหมื่นวิญญาณสูดเข้าไปในร่างกายแล้ว ก็เหลือเพียงหนังผืนหนึ่งร่วงลงพื้นเท่านั้น
สวี่ชิงไม่รู้สึกแปลกใจ เจ้าเงาใต้เท้าเขายืดออกไปอย่างรวดเร็ว หลังจากคลุมหนังแผ่นนี้แล้วก็ส่งข้อมูลให้สวี่ชิง
“นำทาง!”
เจ้าเงาชี้นำอย่างรวดเร็ว สวี่ชิงหันหลังไหววูบ เก็บการอำพรางคลื่นพลังรอบๆ และรีบตรงไปยังสถานที่ที่เจ้าเงาชี้นำ
เขารู้ความแปลกประหลาดและความยากในการสังหารเผ่าพรางมายา แต่ไม่เป็นไร สังหารหลายๆ รอบ สุดท้ายคงมีสักครั้งที่อีกฝ่ายหนีไม่พ้น สิ่งเดียวที่ทำให้สวี่ชิงลังเลก็คืออีกฝ่ายตายด้วยวิหคทองหลอมหมื่นวิญญาณเร็วเหลือเกิน จึงสูดต้นกำเนิดของอีกฝ่ายได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
‘ต้นกำเนิดของเผ่าพรางมายานั้นแปลกประหลาดมาก ยิ่งไปกว่านั้นยังตายไวจนสูดรับได้ไม่มาก แต่ไม่เป็นไร คลื่นอารมณ์ที่รุนแรง สามารถสั่นคลอนจิตวิญญาณเขาได้…รอให้เขาหวาดกลัวร้อนรนเสียก่อน ก็น่าจะสูดรับได้มากขึ้น’
และตอนนี้ในเมืองนี้ ตระกูลโจวของหนึ่งในแปดตระกูล ข้ารับใช้คนหนึ่งที่กำลังหลับลึกก็เบิกตาขึ้นมาฉับพลัน ในดวงตาเผยความสงสัยตกตะลึง ลมหายใจหอบถี่ รีบร้อนมองออกไปรอบๆ
‘เจ้านั่นมันเป็นใครกัน ไม่ใช่แค่หาตัวข้าเจอเท่านั้น แต่ยังมีพลังบำเพ็ญที่น่าตกตะลึงอีกด้วย ถึงกับสะกดข้าได้ แล้วเจ้าร่างที่ข้าชุบเลี้ยงมาหลายปีร่างนั้น พลังต่อสู้ที่สำแดงออกมาได้ในตอนนี้เทียบเท่ากับไฟชีวิตสามดวงเชียวนะ!
‘น่าเสียดายที่ถูกจำกัดด้วยพรสวรรค์ ข้าจึงทำได้เพียงสิงในร่างทั่วไปเพื่อคืนชีพ และในทุกร่างก็จำเป็นต้องค่อยๆ ชุบเลี้ยงจึงสามารถสำแดงพลังที่แท้จริงได้ ไม่เช่นนั้นถ้าคิดจะหนีก็คงง่ายขึ้นเยอะ ให้ตายเถอะ ภารกิจนี้เดิมทีนั้นง่ายแสนง่าย แม้จะถูกผนึกการส่งข้าม แต่ก็คงผนึกไว้ได้ไม่นานนัก ทว่าตอนนี้ทำไมถึงมีผู้บำเพ็ญประหลาดโผล่ออกมาได้ล่ะเนี่ย!’
ดวงตาข้ารับใช้คนนี้ฉายวาบ ระหว่างที่ครุ่นคิดก็เผยความชั่วร้าย มองไปรอบๆ ยิ้มเย็นชาออกมา
‘แต่ก็ไม่เป็นไร คนผู้นี้ที่ข้าทำสัญลักษณ์คืนชีพไว้เป็นข้ารับใช้ของตระกูลโจว ใช้ชีวิตอยู่แต่ในวังจักรพรรดิของตระกูลโจว เว้นแต่เจ้านั่นจะให้ตระกูลโจวช่วย ไม่เช่นนั้นถ้ายังกล้าลอบเข้ามาแบบก่อนหน้า ตัวเขาเองคงได้ตายอย่างไม่ต้องสงสัย!’
ด้วยความใส่ใจและระแวดระวังของคนผู้นี้ หนึ่งคืนจึงผ่านไปเช่นนี้ เช้าตรู่วันถัดมา ชายฉกรรจ์ใบหน้ามีรอยแผลเป็นพลังบำเพ็ญระดับรวมปราณคนหนึ่งก็ผลักประตูใหญ่ที่พักของข้ารับใช้เหล่านี้ออกมาตามแสงตะวันที่สาดส่อง
ข้ารับใช้รอบๆ พอเห็นหน้าที่มีรอยแผลเป็นคนนี้ สีหน้าก็เปลี่ยนไป รีบร้อนลุกขึ้น ไม่กล้าชักช้าอืดอาด หน้าที่มีแผลเป็นคนนี้ถือว่าเป็นข้ารับใช้คนสนิทของตระกูลโจวอย่างแท้จริง ปกติจะก่นด่าจะทำร้ายร่างกายพวกเขาตามใจ คนที่ถูกเขาอัดจนตายทั้งเป็นก็มีอยู่ไม่น้อย
แต่ข้ารับใช้ก็แค่พวกชั้นต่ำ ตายแล้วก็ตายไป
เวลานี้ในขณะที่พวกเขากำลังตึงเครียด หน้าที่มีรอยแผลเป็นคนนี้ก็ถ่มน้ำลาย แค่นเสียงเย็นชาเดินตรงไปทางพวกเขา เดินผ่านข้ารับใช้ไปทีละคนๆ สุดท้ายก็ยืนอยู่เบื้องต่อหน้าข้ารับใช้ที่เผ่าพรางมายาคนนั้นเพิ่งจะสิงร่างไป
หลังจากพิจารณาตั้งแต่หัวจรดเท้า ขณะที่ข้ารับใช้ที่เผ่าพรางมายาคนนี้สิงร่างเผยสีหน้าตึงเครียด ชายฉกรรจ์ที่หน้ามีรอยแผลเป็นก็ชักมีดออกมาเล่มหนึ่ง แทงเข้าไปที่หัวใจของข้ารับใช้คนนี้ ชักออกอย่างรวดเร็ว และปาดไปที่คอของข้ารับใช้คนนี้อีกทีอย่างรุนแรง!
ทั้งหมดนี้รวดเร็วมาก กระทั่งข้ารับใช้คนนั้นกำลังถลึงตาโต เลือดสดสาดกระเซ็นจากร่างในดวงตาก็เผยความไม่อยากเชื่อและสับสนออกมา
เขามึนงงเล็กน้อย ขณะที่ยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ชายฉกรรจ์ที่หน้ามีรอยแผลเป็นก็หัวเราะโหดเหี้ยม กรีดท้องของตนเองออกมาต่อหน้าเขา ต่อหน้าข้ารับใช้ที่กำลังพรั่นพรึงและถอยหนีอย่างหวาดกลัวทั้งหมดรอบๆ ล้วงเอาไส้ของตนเองออกมาพันคอข้ารับใช้คนนี้ และโน้มตัวลงกระซิบ
“เจ้านายข้ามาทักทายเจ้า เขาให้ข้าบอกเจ้าว่า ละคร…เพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น”