ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 236 ยอดเขาลำดับเจ็ดมีรัก
บทที่ 236 ยอดเขาลำดับเจ็ดมีรัก
คืนนี้ ยอดเขาลำดับเจ็ดที่หลังจากอัจฉริยะฟ้าประทานพันธมิตรเจ็ดสำนักมาถึงก็ยังไม่เคยถูกท้าดวลมาตลอด ในที่สุดก็มีผู้ท้าดวลแล้ว
ผู้ที่ท้าดวล คือหวงอี้คุนสำนักโลกันต์ทมิฬแห่งพันธมิตรเจ็ดสำนัก!
มองไกลๆ หวงอี้คุนคนนี้สวมชุดคลุมยาวสีม่วงปักดินทอง ใต้แสงจันทร์ดูสง่าไม่ธรรมดา สีหน้าเย็นชาหยิ่งผยอง พลังอำนาจดุจสายรุ้ง ไฟชีวิตทั้งสี่ดวงในร่างเปิดออก ทั้งตัวเปลวไฟโถมขึ้นฟ้า ร่างกายราวกับเป็นโลกกำลังถูกแผดเผาร้อนแรง
โดยเฉพาะมือขวาที่สวมถุงมือสีแดงของเขาราวกับดึงดูดแสงไฟรอบๆ ทั้งหมดมา กระทั่งจันทร์กระจ่างบนท้องฟ้า ก็เหมือนถูกดึงดูดมารวมที่มือเขาอย่างต่อเนื่อง
ทั้งหมดนี้ทำให้เขาที่ยืนอยู่บนบันไดขึ้นยอดเขาลำดับเจ็ด ดูองอาจห้าวหาญ พร่างพราวเหลือประมาณ!
“ก็แค่ยอดเขาลำดับเจ็ด” หวงอี้คุนเอ่ยขึ้นเสียงเรียบ ก้าวขึ้นบันไดทีละก้าวอย่างไม่รีบร้อน กระทั่งยังดูสบายๆ ชมทัศนียภาพของภูเขาใต้แสงจันทร์เหมือนพักผ่อนเสียด้วยซ้ำ
เพียงแต่เขารู้สึกแปลกประหลาดอยู่บ้าง เพราะยอดเขาลำดับเจ็ดนี้เงียบเกินไป แม้จะเป็นช่วงกลางคืน แต่ทั้งภูเขากลับไม่มีแสงไฟลอดออกมาเลย ไม่มีกลิ่นอายของศิษย์คนใดอยู่ด้วย ราวกับว่าเขาลูกนี้เป็นเขาโล่งๆ
นี่แตกต่างจากการท้าดวลที่เขาเคยเห็นมาทั้งหมด การท้าดวลในยอดเขาอื่นจะมีศิษย์จำนวนมากมาล้อมดู
ครั้งนี้เขาก็ส่งหนังสือท้าดวลมาล่วงหน้าแล้ว เดิมคิดว่าจะมีศิษย์มากมายมามุงดู แต่ยอดเขาลำดับเจ็ดเวลานี้ ไม่มีเลยแม้แต่คนเดียว
“เป็นพวกขี้แพ้ที่ไม่ยอมให้คนอื่นเห็นสินะ” หวงอี้คุนยิ้มเย็น สาวเท้าทีละก้าวจนมาถึงตำแหน่งกลางเขา ซึ่งก็คือสถานที่เป้าหมายการท้าดวลครั้งแรกในคืนนี้ของเขา
องค์ชายสาม ยอดเขาลำดับเจ็ด
แผนการของหวงอี้คุนคือในหนึ่งคืน เริ่มท้าดวลจากองค์ชายสาม จากนั้นก็เป็นองค์หญิงสอง สุดท้ายคือองค์ชายใหญ่ พอเสร็จสิ้นการต่อสู้ทั้งคืน ก็จะสั่นสะเทือนเลือนลั่นในวันพรุ่ง
จากการเดินเข้าใกล้ในตอนนี้ ในที่สุดเขาก็เห็นเงาคน
นั่นเป็นชายหนุ่มคนหนึ่ง กำลังเอนกายพิงหน้าอกสาวสวยคนหนึ่งอยู่บนก้อนหินขนาดใหญ่
เขาสวมชุดนักพรตสีม่วงทั้งตัว ศีรษะมีหมวกสีขาวทรงสูง ปักอักษรคำว่าต้องห้ามเอาไว้ ร่างผอมจนดูเหมือนเอาแต่เคล้าสุรานารี
องค์ชายสามนั่นเอง
ข้างกายองค์ชายสามมีสาวใช้ต่างเผ่าอยู่อีกหลายคน กำลังนวดขาให้เขา เล่นหูเล่นตาใส่กันไม่หยุด ประเดี๋ยวก็มีเสียงครางกระเส่าดังก้องมา…
เมื่อเห็นหวงอี้คุนมา องค์ชายสามก็เงยหน้าขึ้น ดวงตาดำคล้ำชัดเจนก็ยิ้มตาหยีมองไป
“ทำไมเจ้าเพิ่งมา ข้ารออยู่นานแล้ว”
หวงอี้คุนมององค์ชายสาม ชะงักฝีเท้าฉับพลัน
เขารู้สึกว่าผิดปกติ ดวงตาเผยแววระแวดระวังอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
เขาพบว่าตนเองมององค์ชายสามคนนี้ไม่ออก อักษรต้องห้ามบนศีรษะของอีกฝ่ายก็เหมือนเป็นผนึกชั้นหนึ่ง ขณะเดียวกันเขาไม่รู้ว่าด้วยเหตุอันใด ตอนนี้จึงรู้สึกเสียวสันหลัง ความรู้สึกเหมือนถูกอสรพิษจับจ้องอยู่เลาๆ
และอสรพิษนี้ก็ทำให้เขาสัมผัสได้ถึงวิกฤตแรงกล้า
เขาเคยสัมผัสความรู้สึกนี้ได้จากผู้คุ้มครองบางคนเท่านั้น สิ่งนี้ทำให้เขาลมหายใสหอบถี่เล็กน้อย โดยเฉพาะตอนที่สายตาเขากวาดไปยังบรรดาสาวรับใช้ พบว่ารู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตาคนที่องค์ชายสามเอนตัวพิงหน้าอกคนนั้นชอบกล
พริบตาต่อมา หวงอี้คุนดวงตาก็เบิกตากว้าง เขาจำอีกฝ่ายได้แล้ว หญิงสาวคนนี้…คือผู้บำเพ็ญสำนักเซียนล้ำบารมี และเป็นหนึ่งในกลุ่มผู้บำเพ็ญหญิงสามคนที่มายังเจ็ดเนตรโลหิต ผู้บำเพ็ญไฟชีวิตสี่ดวงคนนั้น
เพียงแต่ตัวหญิงสาวเวลานี้ไร้ซึ่งความเย็นชาหยิ่งทะนง ตอนที่มององค์ชายสามก็เปี่ยมไปด้วยความเคารพศรัทธา ดูเชื่อฟังเป็นอย่างมาก
ภาพนี้ทำให้หวงอี้คุนสูดปาก เขารู้สึกว่าการท้าดวลของตนเองดูขอไปทีเล็กน้อย จึงถอยหลังไปหลายก้าว หัวเราะเจื่อน
“วันนี้ข้ายังเตรียมตัวมาไม่ดี ยังไม่ท้าดวลแล้วกัน ขอตัวก่อน ขอตัวก่อน”
พูดจบ ตอนหวงอี้คุนที่จะปลีกตัว แต่พริบตาต่อมาร่างขององค์ชายสามก็หายไปจากที่เดิม มาปรากฏตัวเบื้องหน้าหวงอี้คุนแล้ว คว้ามือขวาของเขาเอาไว้แน่น
ด้วยความเร็วนี้ ทำให้หวงอี้คุนม่านตาหดเล็กลง มือขวาถูกคว้าไว้ ใบหน้าถอดสี
ยิ่งทำให้จิตวิญญาณเขาพรั่นพรึงคือไม่สามารถต้านทานใดได้เลย ราวกับว่าตนเองที่อยู่เบื้องหน้าอีกฝ่ายเป็นแค่ลูกไก่ตัวหนึ่งเท่านั้น เขาเหงื่อแตกพลั่กรีบร้อนเอ่ยว่า
“เจ้าจะทำอะไร”
“ไม่ต้องเครียด เจ้าพกเงินมาเท่าไร” องค์ชายสามยิ้มตาหยีเอ่ยปาก
หวงอี้คุนตกตะลึง
เมื่อองค์ชายสามเห็นเช่นนี้ก็เลิกคิ้วขึ้น
“เจ้านี่ทำตัวไร้มารยาทเสียจริง เอาล่ะ ข้าจะอธิบายให้เจ้าฟังเสียหน่อย เจ้าน่าจะสู้ข้าไม่ไหว แต่ข้ารู้ว่าเจ้าอยู่ในสำนักโลกันต์ทมิฬคงจะขมขื่นมาก พวกเราอันที่จริงก็เหมือนคนกันเอง คนกันเองจะไม่ทำให้คนกันเองต้องลำบากใจ
“ทั้งหมดเป็นการค้า ข้าก็ไม่ได้หลอกลวงเจ้า ราคาสิบล้านหินวิญญาณ ถ้าเจ้ามอบให้ข้า ข้าจะยอมแพ้เจ้าเลย เจ้าวางใจได้ ข้าจะจัดการเรื่องนี้ให้แยบยล ข้าจะประกาศว่าข้าแพ้เจ้า กระทั่งบันทึกภาพให้เจ้าได้ด้วย
“ให้เจ้ากลับไปอย่างสง่างามไง ดีจะตาย”
หวงอี้คุนพอฟังถึงจุดนี้ ดวงตาก็เบิกกว้าง ส่ายหัวตามสัญชาตญาณ
องค์ชายสามหัวเราะเหมือนว่าเจรจาการค้ากันได้ เมื่อเห็นหวงอี้คุนส่ายหัว รอยยิ้มเขาก็ยังไม่เปลี่ยน แต่คำพูดที่ออกมากลับทำให้หวงอี้คุนใจสั่นสะท้าน
“ไม่เห็นด้วย? ไม่เป็นไร ต่อรองกันได้ นิ้วมือของเจ้านี่ไม่เลวเลย เอามาขัดหนี้ได้อยู่”
พูดพลาง องค์ชายสามก็ไม่รอหวงอี้คุนได้ดิ้นรน เสียงหักนิ้วชี้ของหวงอี้คุนดังกร๊อบ…
พริบตาที่เสียงกรีดร้องดังออกมาจากปากหวงอี้คุน เมื่อองค์ชายสามโบกมือ พลังวูบใหญ่ก็แผ่ออกมาทันที พัดหวงอี้คุนปลิวไปตกที่บันไดภูเขา
เสียงดังโครม หวงอี้คุนกระอักเลือด หน้าขาวซีดมีความพรั่นพรึง เมื่อมองไป ในหูก็ได้ยินเสียงหัวเราะขององค์ชายสามดังมา
“เจ้าชนะแล้ว ข้าไม่ส่งนะ”
เมื่อหวงอี้คุนได้ยินก็ตื่นตะหนก จากนั้นก็ก้มหน้ามองมือขวาที่กำลังเปล่งแสงเจิดจ้าของตนเอง นิ้วทั้งห้าแต่เดิม ตอนนี้เหลืออยู่สี่แล้ว ความโกรธแค้นผุดขึ้นในใจเขา
“นี่มันปล้นกันชัดๆ!!”
ความโกรธแค้นรุนแรงทำให้หวงอี้คุนรู้สึกว่าเบื้องหน้าสลัวและพร่ามัวไปบ้าง โดยเฉพาะตอนคิดถึงนิ้วทั้งห้าที่เขาใช้เวลาสั่งสมและสร้างขึ้นมาทั้งชีวิต อยู่ดีดีก็หายไปแล้วหนึ่ง หัวใจเขาก็รวดร้าว
แต่…เขาไม่กล้ากลับไปทวง ความน่ากลัวขององค์ชายสามนั่น ทำให้เขารู้สึกหวาดกลัวอย่างมาก
ขณะที่กำลังทอดถอนใจด้วยความโกรธ เขาก็ตั้งท่าจะทะยานขึ้นฟ้า แต่ฉุกคิดได้ว่ายอดเขาต่างๆ ของเจ็ดเนตรโลหิตผนึกการเหาะเหินไว้ จึงยิ่งขมขื่นมากขึ้น ทำได้เพียงเดินเท้าลงจากเขาไป
เขาไม่อยากอยู่ในยอดเขาลำดับเจ็ดแล้ว…
เพียงแต่เมื่อเดินไปเรื่อยๆ เขาก็มองเห็นคนคนหนึ่ง
หญิงสาวร่างสูงใหญ่นั่งขัดสมาธิอยู่บนเก้าอี้หินไม่ไกลนัก
อีกฝ่ายไม่เพียงแต่สูงใหญ่ กล้ามเนื้อทั้งตัวก็เหมือนจะระเบิดออกมา กระทั่งยังมองเห็นเส้นเอ็นปูดโปนอีกด้วย โดยเฉพาะกระบี่ใหญ่ที่เสียบอยู่ข้างๆ ยิ่งดูน่าขนพองสยองเกล้าไปอีก
ความยาวหนึ่งจั้งกว่า กว้างหนึ่งฉื่อเต็มๆ สีดำสนิททั้งเล่ม ขณะเดียวกันก็มีปราณพิฆาตที่น่าตกตะลึงแผ่ซ่านออกมา เป็นองค์หญิงสองที่ได้รับหนังสือท้าดวลของหวงอี้คุนในคืนนี้นั่นเอง
ภาพนี้ ทำเอาหวงอี้คุนใจสั่นสะท้านบ้าคลั่ง หยุดฝีเท้าทันที
และพริบตาที่เขาหยุด องค์หญิงสองก็ลืมตาขึ้น ตอนที่เห็นหวงอี้คุน ดวงตาก็เผยประกายเย็นชา ทั้งตัวระเบิดเลือดลมโถมฟ้าออกมาในพริบตานี้ ทำให้ลมพายุโหมขึ้นทั่วสารทิศ
“กายเนื้อครึ่งก้าวแก่นลมปราณ!!!” เมื่อลมพายุโถมมาด้านหน้า ช่องเวทในร่างกายเขาก็สั่นสะเทือน ความอาฆาตมาดร้ายรุนแรงระเบิดขึ้นอย่างบ้าคลั่งจากการที่องค์หญิงสองลุกขึ้นยืน
วิญญาณหวงอี้คุนแทะจะหลุดลอย
“เป็นไปได้อย่างไร นี่เป็นสิ่งที่เผ่ามนุษย์ทำได้หรือ ระดับกายเนื้อที่ขนาดต่างเผ่าผู้มีพรสวรรค์หลอมกายาเหล่านั้นยังไม่แน่ว่าจะทำได้ แล้วนี่ไม่ได้ฝึกบำเพ็ญไฟชีวิตด้วย ใช้ช่องเวทชุบเลี้ยงกายเนื้อ เดินบนเส้นทางหลอมกายาเท่านั้น!! ในพันธมิตรเจ็ดสำนักก็ยังไม่เคยได้ยินเลยว่าศิษย์คนใดทำได้ถึงจุดนี้!”
หวงอี้คุนตัวสั่น เมื่อเห็นว่าองค์หญิงสองที่เลือดลมโถมขึ้นฟ้าเดินมา ก็รู้สึกว่ามิอาจเอาชนะหญิงสาวตรงหน้าคนนี้ได้ เทียบไม่ได้เสียด้วยซ้ำ จึงรีบตะโกนออกมาเสียงหลง
“ช้าก่อน…”
เขายังไม่ทันพูดจบ พริบตาต่อมา องค์หญิงสองก็เข้าประชิด กระบี่ใหญ่กวาดวาดแล้วฟันลงมาทันที
เสียงครืนครันดังก้องไปทั่วสารทิศ หลังผ่านไปหนึ่งชั่วก้านธูป หวงอี้คุนก็กระอักเลือด ร่างกายเขียวจ้ำปลิวไป หลังจากร่วงลงพื้น เขาก็โกรธแค้นถึงที่สุด พุ่งทะยานออกไปอย่างรวดเร็วโดยไม่หันกลับมามอง
มือขวาเขาหายไปแล้วอีกหนึ่งนิ้ว เวลานี้เหลืออยู่เพียงสามนิ้วเท่านั้น
และเวลานี้ บนยอดเขาลำดับเจ็ด มีเงาสองร่างยืนอยู่ด้านในหอสูง เป็นนายท่านเจ็ดและผู้ติดตามเขานั่นเอง
นายท่านเจ็ดก็กำลังจับตาดูการต่อสู้ เมื่อเห็นเช่นนี้ ก็ถอนใจยาวออกมา
“เจ้าสามนี่เป็นพวกสนแต่กำไร เพื่อนิ้วแค่นิ้วเดียวกระทั่งเกียรติก็ยังขายได้
“ส่วนเจ้าสองนี่ก็มุทะลุ…เฮ้อ แต่ดวงนางก็ดีเหลือเกิน เดือนที่แล้วสื่อเสียงมาหาข้า บอกว่านางเก็บผู้แข็งแกร่งแก่นลมปราณวังสวรรค์เผ่าวิหคยักษ์ที่หลอมกายาโดยเฉพาะได้ อีกฝ่ายเหาะเหินบนฟ้าอยู่ดีๆ แต่เหาะเหินผ่านวิหคเพลิงสวรรค์เข้า จึงชนเข้าจนตาย แล้วนางก็กลืนแก่นลมปราณของเขาไปอย่างราบรื่นโดยร่างไม่ระเบิดอีก ทั้งยังยกระดับขึ้นด้วยซ้ำ…เรื่องนี้มีแต่นางที่เชื่อ เจ้าล่ะเชื่อหรือไม่”
ผู้ติดตามข้างๆ เงียบนิ่ง ในใจคลื่นยักษ์โหมขึ้นฟ้า ไม่พูดอะไรออกมา
ขณะเดียวกัน หวงอี้คุนที่กำลังวิ่งทะยานอยู่ที่บันไดภูเขากระอักเลือดไม่หยุด สีหน้าวิตกและโกรธแค้น โดยเฉพาะตอนที่เห็นว่านิ้วเจิดจ้าของตนเองเวลานี้เหลือแค่สามนิ้ว เขาก็รู้สึกอยากจะร้องไห้ออกมา
“ข้าไม่ควรมาท้าดวลเลย นี่มันรังแกกันเหลือเกิน!
“พลังกายเนื้อครึ่งก้าวแก่นลมปราณ ถ้ามาอยู่ในพันธมิตรเจ็ดสำนักคงจะมีไม่กี่คนที่กล้าไปยั่วยุ ขนาดข้ายอมแพ้แล้วนางยังจะซัดมาได้!
“อีกอย่างพวกองค์ชายองค์หญิงของยอดเขาลำดับเจ็ดก็ไม่ใช่คนดี ปิดบังกันเก่งเหลือเกิน เขามององค์ชายสามที่เหมือนอสรพิษนั่นไม่ออก บอกว่าเขาเป็นแก่นลมปราณข้าก็ไม่เชื่อ ส่วนองค์หญิงสองที่พลังกายประหลาดจนน่ากลัวขีดสุด ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาก็ยังมาหักนิ้วของข้าไปอีก!!!”
ระหว่างที่ความโกรธแค้น หวงอี้คุนหน้าบวมปูด เดินลงมาถึงตีนเขา พอกำลังจะจากไป แต่พริบตาต่อมาเขาก็เงยหน้าขึ้น มองไปเบื้องหน้า
ถนนเส้นเล็กบนเขาเบื้องหน้า มีชายหนุ่มในชุดนักพรตสีเทาคนหนึ่งเดินมา ชายหนุ่มคนนี้กินผิงกั่วพลางยกมือขึ้นทักทาย ใบหน้ายิ้มแย้ม
“อี้คุน เป็นอะไรไป ถูกเจ้าสองของข้าอัดเอาหรือ”
“เจ้าเป็นใคร!” หวงอี้คุนตัวสั่นทันที หนังหัวแทบจะระเบิด สัญชาตญาณเฉียบแหลมของเขาสัมผัสได้ถึงความน่ากลัวที่มากกว่าองค์ชายสามและองค์หญิงสองจากคนตรงหน้านี้ ในสายตาเขา อีกฝ่ายราวกับไม่ใช่คน แต่เป็นสิ่งประหลาดชั่วร้ายที่ห่อหุ้มหนังมนุษย์คนหนึ่ง
“เจ้าไม่รู้จักข้าหรือ ข้ากับหวงลิ่งเฟยพี่ชายเจ้าเป็นเพื่อนรักกันนะ เขาไม่เคยบอกเจ้าหรือไร” นายกองมองไปทางหวงอี้คุนอย่างประหลาดใจ
“ไม่ต้องเครียดน่า” นายกองเห็นหวงอี้คุนหวั่นวิตกก็ถอนหายใจ ดวงตาแฝงความเกลียดชังและเคียดแค้นเหมือนกัน
“นี่คงถูกเจ้าสองกับเจ้าสามเล่นงานเอาสินะ พวกเขาทั้งสองคนก็เกินไปจริงๆ” นายกองส่ายหัว ทำท่าเหมือนโกรธเคือง แล้วยังมอบยาลูกกลอนหลายเม็ดให้หวงอี้คุนอีกต่างหาก
แต่หวงอี้คุนยังคงระแวดระวังอยู่ เวลานี้หายใจหอบถี่ คิดจะหนีก็ไม่กล้า ขณะเดียวกันก็ยังคาดเดาตัวตนของอีกฝ่ายออก
“องค์ชายใหญ่หรือ”
“อย่าเรียกเช่นนั้นเลย ดูห่างเหินเหลือเกิน เรียกข้าว่าศิษย์พี่ใหญ่ก็พอ ข้าแตกต่างกับพวกเจ้าสองเจ้าสามกับพวกอีกบางคนนะ” นายกองยิ้มสดใส เอ่ยอย่างอบอุ่น
“ศิษย์พี่ใหญ่…” หวงอี้คุนลังเลเล็กน้อย เอ่ยเสียงเบา
“ต้องอย่างนี้สิ เจ้าไม่ต้องกังวล มา ข้าจะส่งเจ้าลงจากเขา” นายกองยิ้มตาหยีเอ่ย
“ไม่ต้อง ข้าไปเองได้…” หวงอี้คุนยิ่งใจสั่น
“เช่นนั้นก็ได้ ข้าไม่ส่งเจ้าแล้วกัน จริงสิ เมื่อครู่ค่ายาลูกกลอนหลายเม็ดนั้น ก็รบกวนศิษย์น้องส่งให้ข้าด้วยนะ นิ้วเดียวก็เกินพอแล้ว”
นายกองเลียริมฝีปาก ในดวงตาเปล่งประกายสีฟ้า ในดวงตามีใบหน้าของเขาปรากฏขึ้น ใบหน้านั้นกำลังหลับตา แต่สีหน้ากลับบิดเบี้ยวเผยความหิวโหยมหาศาลออกมา
ความหิวโหยนี้แผ่ออกมาจากตัวนายกอง หลังจากหวงอี้คุนสังเกตเห็น ใจก็สั่นสะท้านอย่างบ้าคลั่ง วิกฤตเป็นตายที่ไม่อาจพรรณนาได้มากขึ้น เมื่อเห็นว่านายกองเข้ามาใกล้ เขาก็ถอยหลังโดยพลัน ยังไม่ทันได้หนี เบื้องหน้าเขาก็พร่ามัว มีเสียงกร้วมดังขึ้น สามนิ้วของเขากลายเป็นสองนิ้วเสียแล้ว
ถูกองค์ชายใหญ่กัดจนขาดไปหนึ่งนิ้ว
เขาไม่สนใจนิ้วที่ถูกกัด แต่รีบหนีออกไปอย่างบ้าคลั่งพร้อมเสียงกรีดร้อง
เมื่อนายกองเห็นเช่นนั้น ชั่งน้ำหนักนิ้วที่เจิดจ้าเหมือนทองม่วงในมือ ยิ้มออกมา
“เจ้าเด็กคนนี้ ไม่เห็นน่าสนุกเลย อาชิงน้อยของข้าน่าสนุกกว่าตั้งเยอะ”
นายท่านเจ็ดพอเห็นฉากนี้จากยอดเขา ก็พยักหน้าพึงพอใจ
“ในกลุ่มศิษย์พวกนี้ พี่ใหญ่นี่ล่ะที่ดูมีเหตุผลสุด!”
ผู้ติดตามที่อยู่ข้างๆ พอได้ยินก็นิ่งเงียบ ไม่รู้ว่าควรพูดอะไร เขามองไม่ออกเลยว่าองค์ชายใหญ่เป็นคนมีแต่เหตุผลอย่างไร…
“แต่ว่าเช่นนี้ก็ไม่ยุติธรรม พี่ใหญ่เจ้าสองเจ้าสามได้นิ้วมือหมดแล้ว เจ้าสี่จะไม่มีไม่ได้” จู่ๆ นายท่านเจ็ดก็โพล่งขึ้นมา ยกมือขวาขึ้นโบก
เมื่อวิ่งมาจนถึงตีนเขา หวงอี้คุนอัจฉริยะฟ้าประทานสำนักโลกันต์ทมิฬที่ถูกนายกองเล่นงานจนขวัญหนีดีฝ่อ ขณะที่ความคั่งแค้นกับความพรั่นพรึงมหาศาลในใจตีกันอยู่ จู่ๆ ร่างกายก็ถูกลมพายุคลั่งลูกหนึ่งพัดมาจากบนฟ้า
จิตวิญญาณของเขาเกิดระลอกคลื่นขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แทบจะตอนที่วิญญาณเกือบจะหลุดลอย ลมพายุที่ไม่อาจต้านทานก็พัดเขาไปทางท่าเรือที่หนึ่งร้อยเจ็ดสิบหก
พริบตาต่อมา ร่างของหวงอี้คุนก็ร่วงดังโครม กระแทกเข้าที่หน้าประตูใหญ่กรมปราบพิฆาตท่าเรือหนึ่งร้อยเจ็ดสิบหก
ไม่รอให้เขาเห็นรอบๆ ได้ชัด หวงอี้คุนที่ร่างทั้งร่างเหมือนจะแยกออกจากกัน หัวสมองมึนงงสับสน ก็ได้ยินเสียงใสพร้อมกับความประหลาดใจมาด้วยเสียงหนึ่งดังขึ้นที่ด้านหลัง
“ใครน่ะ จู่ๆ ก็ร่วงลงมาตรงหน้าข้า คิดจะลอบโจมตีข้าหรือ เชอะ ทำตัวลับๆ ล่อๆ แค่ดูก็ไม่น่าใช่คนดีแล้ว เสี่ยวผี สะกดเขาเสีย!”
หวงอี้คุนได้สติทันที ความรู้สึกวิกฤตที่สั่นสะเทือนวิญญาณอย่างแรงกล้าปะทุขึ้นอย่างบ้าคลั่งในจิตวิญญาณเขา ก็ไม่ชักช้า ตั้งท่าจะหนีด้วยสัญชาตญาณ
แต่ก็ช้าไปแล้ว รยางค์ขนาดยักษ์เส้นหนึ่งปรากฏกลางอากาศฉับพลัน ระเบิดพลังแก่นลมปราณทรงพลัง หอบตัวเขาขึ้นมา
และเมื่อถูกกลิ่นอายแก่นลมปราณของรยางค์ทำให้สั่นสะท้าน เขาก็กระอักเลือด ถูกสะกดจนสลบเหมือดไป
และก่อนที่จะสลบไสล เขาก็เหมือนได้ยินเสียงหญิงสาวคนนั้นเมื่อครู่ดังก้องขึ้นที่ข้างกาย
“ไม่เลวๆ เหมาะจะส่งไปให้พี่ชายสวี่ชิงทดลองเลย”