ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 48 ขายศพหรือไม่
บทที่ 48 ขายศพหรือไม่
ลมทะเลพัดมา สยายผมของสวี่ชิงขึ้น
เขาเดินตรงไปด้านหน้าปล่อยให้ลมพัดผมสยายพัดขากางเกงเหมือนดาบที่กำลังจะชักออกจากฝัก สองตากระพริบประกายเย็นเหลือบมองหญิงสาวที่เปลี่ยนทิศทางจากไป
สวี่ชิงลังเลไปครู่ เขาไม่อยากสังหารคนตั้งแต่วันแรกที่มาถึงที่นี่ จึงถอนสายตา เดินตรงไปยังโรงเตี๊ยม
ต้นไม้คิดจะสงบ แต่สายลมกลับไม่ยอมหยุดพัก
ตอนที่ลมทะเลพัดขึ้นฝั่ง เจตนาจู่โจมยิ่งแกร่งขึ้น
ชายฉกรรจ์เจ็ดแปดคนที่ไล่สังหารหญิงสาวคนนั้น คนที่มีรอยแผลเป็นบนใบหน้าคนหนึ่งเหมือนจะเป็นหัวหน้า หลังจากที่เห็นฉากนี้ก็หัวเราะเย็นชาขึ้น
“ไม่ว่าจะจริงหรือเท็จ จับเจ้าเด็กนั่นมาด้วย คลื่นพลังฝึกกายาขั้นหกขั้นเจ็ด คิดว่าก็น่าจะเป็นคนที่มีแต้มอุทิศอยู่!”
ระหว่างที่พูดคุย เจ็ดแปดคนนี้ก็แบ่งออกเป็นสองกลุ่มทันที สี่คนไล่ตามหญิงสาวไป ที่เหลืออีกสี่คนพุ่งเข้าหาสวี่ชิง
สวี่ชิงขมวดคิ้ว กวาดสายตาไปยังคนทั้งสี่ที่กำลังเข้ามา สี่คนนี้ไม่ใช่คนธรรมดา ล้วนเป็นผู้บำเพ็ญทั้งสิ้น พลังบำเพ็ญล้วนอยู่ที่ระดับรวมปราณขั้นหก ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นฝึกกายาทั้งหมดอีกด้วย
แต่เขาก็ไม่อยากสังหารคนทันทีที่เพิ่งเข้าเมืองจริงๆ ดังนั้นจึงถอยฉากออกมา ส่งเสียงเคร่งขรึมออกไป
“ข้าไม่รู้จักนาง”
“เจ้าหนู ข้าไม่สนว่ารู้จักไม่รู้จัก ถือว่าเจ้าซวยไปแล้วกัน!” ชายฉกรรจ์ที่โถมมาหาเขา หัวเราะเย็นชาขึ้นเสียงหนึ่ง ง้างแขนซัดหมัดเข้าใส่ ส่วนสามคนที่เหลือแยกกันลงมือ หนึ่งในนั้นในมือยังถือดาบไว้ด้วยรอยยิ้มเหี้ยมเกรียม
คมดาบเปล่งประกายเย็นท่ามกลางแสงจันทร์ ด้านบนยังฉาบพิษไว้อีกด้วย
สวี่ชิงหลุบม่านตาลง
บนโลกนี้มีคนบางจำพวกชอบที่จะเดินวนเวียนไปมาหน้าประตูยมโลก เดิมทีเขาไม่อยากจะลงมือ แต่อีกฝ่ายกลับคิดจะสังหารเช่นนี้ สวี่ชิงร่างไหววูบอย่างเงียบงัน ไม่ถอยหนีอีกต่อไป
และร่างก็ราวกับเป็นสายอัสนี พริบตาก็ไปปรากฏตัวด้านหน้าคนที่ง้างหมัดซัดเข้ามา ยกมือซ้ายขึ้นแล้วตบลงบนศีรษะคนผู้นี้
ความเร็วน่าตกตะลึง
ศีรษะของชายฉกรรจ์คนนี้ระเบิดออกเสียงดังปึง ไม่มีกระทั่งเสียงกรีดร้องด้วยพลังน่าตกตะลึงของสวี่ชิงที่เทียบเคียงได้กับฝึกกายาระดับสมบูรณ์ สวี่ชิงเดินมาอยู่เบื้องหน้าคนที่ถือดาบด้วยสีหน้าเรียบนิ่งท่ามกลางเลือดเนื้อที่กระจายเหวอะหวะ กระแทกไปที่บ่าขณะที่เขายังตกตะลึง
คนที่ถือดาบ ร่างแหลกเหลวฉับพลันไปครึ่งตัว
จากนั้นสวี่ชิงจึงซัดสองหมัดไปกลางอากาศ ซัดเข้าใส่อีกสองคนที่กำลังเบิกตาโตหน้าถอดสี
สองคนนี้คิดจะถอยหนี แต่กลางอากาศตรงหน้าพวกเขาก็ปรากฏคลื่น ซัดปกคลุมเข้ามาฉับพลัน เพียงพริบตาร่างคนทั้งสองก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง กระอักเลือดสดออกมา หน้าอกแตกหักละเอียดยุบเป็นรู ลมหายใจขาดห้วงจนตาย
ทั้งหมดเพียงแค่สองอึดใจ คนทั้งสี่ก็ตายเรียบ
ฉากนี้ทำให้กลุ่มชายฉกรรจ์สี่คนที่แยกไปอีกกลุ่มก็หยุดเท้า จ้องมองสวี่ชิงที่สีหน้าไร้อารมณ์ตาค้าง แต่ละคนเหมือนหนังศีรษะจะระเบิดออกมา
“เข้า..เข้าใจผิด…พวกเรา…” ความกำเริบเสิบสานของหัวหน้าคนนั้นเมื่อครู่หายไปจนสิ้น ร่างกายสั่นเทิ้มคิดจะพูด แต่เมื่อเห็นสายตาที่แฝงความเย็นชาของสวี่ชิงกวาดมา จิตใจของเขาก็ร้องคำราม ถอยกรูดอย่างบ้าคลั่ง
และพริบตาที่เขาถอยหลัง สวี่ชิงก็เคลื่อนไหว
พริบตาต่อมา นอกจากคนที่เป็นหัวหน้า สามคนที่เหลือแต่ละคนก็ร่างกายสั่นเทา ต่างกระอักเลือดสด ที่ขมับปรากฏรูสีเลือด ล้มลงขาดใจตาย
เงาสวี่ชิงปรากฏที่ข้างกายพวกเขา เก็บนิ้วที่อาบไปด้วยเลือดสาวเท้าเดินตรงไปยังหัวหน้าที่กำลังหนี
ความเคยชินของสวี่ชิงไม่ใช่เอาแต่สังหาร แต่หากลงมือแล้วก็ต้องจัดการภัยแฝงเร้นเสียให้สิ้น
เวลานี้ร่างไหววูบเข้าประชิดตัวอีกฝ่าย สวี่ชิงยกมือขวาขึ้นอย่างเฉยเมย ตอนกำลังจะตบลงมา
“สหายเต๋า ข้าคือคนของอ๋องเย่ อย่าได้บุ่มบ่ามเชียว…” ตัวหัวหน้าจิตใจพรั่นพรึง รีบร้อนเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าสิ้นหวัง
สวี่ชิงมือขวาชะงัก มองไปยังชายฉกรรจ์ใบหน้าซีดขาวที่กำลังสั่นเทิ้มอย่างรุนแรงตรงหน้า
“ศิษย์ของเจ็ดเนตรโลหิตหรือ”
“ไม่ใช่เจ็ดเนตรโลหิต แต่…” ชายฉกรรจ์ตอบกลับด้วยสัญชาตญาณอย่างมึนงง ทว่าพูดยังไม่ทันจบ มือขวาของสวี่ชิงก็ตบลงมายังศีรษะของชายฉกรรจ์แล้ว
เสียงโพละดังขึ้น เลือดสดซ่านกระเซ็น
หลังจากสวี่ชิงโค้งตัวเช็ดมือบนตัวของศพ เงยหน้าขึ้นมองไกลออกไปในความมืด ครุ่นคิดครู่หนึ่ง เขารู้สึกไม่คุ้นเคยกับสถานที่จึงไม่ออกไปตามหาหญิงสาวที่หายไปคนนั้น
แต่หน้าตาของอีกฝ่าย เขาจดจำไว้แล้ว
จากนั้นก็ก้มหน้าลงคิดจะจัดการศพ ทว่าจู่ๆ ใจก็กระตุก สวี่ชิงมองหันกลับไปยังโรงเตี๊ยมที่ห่างออกไปลิบๆ ร่างกายอยู่ในท่าพร้อมโจมตีฉับพลัน
ร่างของชายชราคนหนึ่งปรากฏที่ประตูโรงเตี๊ยมนั้นไม่รู้เมื่อไร ชายชราคนนี้สวมชุดคลุมยาวเหมือนเถ้าแก่ หลังค่อมเล็กน้อย บนหน้าเต็มไปด้วยจุดด่างดำ ผิวออกเหลือง ดูเหมือนคนป่วยกระเสาะกระแสะ
หลังจากสังเกตเห็นสายตาของสวี่ชิง เขาก็แสยะฟันเหลืองยิ้มออกมา
“เจ้าหนู ขายศพพวกนั้นหรือไม่ แปดศพ ศพละสิบเหรียญวิญญาณเป็นอย่างไร”
สวี่ชิงมึนงง เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินว่ามีคนซื้อศพด้วย จึงมองไปยังชายชราอย่างระแวดระวังผาดหนึ่ง ไม่พูดตอบ ก้มหน้าก้มตาจัดการศพต่อ
หลังจากถูกปฏิเสธ ชายชราก็ส่ายหัวอย่างจำใจ
“น่าเสียดาย น่าเสียดายจริงๆ ศพที่เพิ่งตายเช่นนี้สดใหม่ที่สุดแล้ว”
ครู่ต่อมา หลังจากสวี่ชิงจัดการเรียบร้อยก็มองไปทางโรงเตี๊ยม ในใจลังเลอยู่ว่าจะเข้าไปพักด้านในดีหรือไม่
เหมือนมองความลังเลของสวี่ชิงออก ชายชราด้านนอกโรงเตี๊ยมจึงเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม
“เจ้าเหมือนจะเพิ่งเคยมาที่นี่ แถวนี้นอกจากโรงเตี๊ยมของข้าที่ยังเปิดอยู่ ที่อื่นล้วนปิดไปหมดแล้ว แปดสิบเหรียญวิญญาณหรือแปดสิบแต้มอุทิศพักได้หนึ่งคืน ไม่มีการหลอกลวง”
“แต้มอุทิศ?” สวี่ชิงมองทางชายชรา ก่อนหน้านี้เขาก็ได้ยินจากปากหญิงสาวที่ยัดของโจรมาให้เขาเอ่ยถึงแต้มอุทิศ
“มาใหม่จริงๆ ด้วย แต้มอุทิศหลังจากนี้เจ้าก็จะรู้เอง มูลค่าเท่ากับเหรียญวิญญาณเลย” ชายชราแสยะยิ้ม
สวี่ชิงขมวดคิ้ว เขารู้สึกว่าทั้งหมดในเมืองนี้แปลกประหลาดเสียเหลือเกิน เหรียญวิญญาณมีมูลค่าเท่ากับแต้มอุทิศ มีคนซื้อศพ ราคาบ้านก็เกินความเป็นจริง
“อย่าคิดว่าแพงเลย กลางค่ำกลางคืนในเมืองไมสงบ โรงเตี๊ยมอื่นราคาก็ไม่ถูกนักหรอก ห้องของข้าตอนนี้เหลืออยู่แค่สองห้องนะ” ชายชราเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มการค้า
สวี่ชิงครุ่นคิดพักหนึ่ง มองสีท้องฟ้า จากนั้นจึงมองชายชรา ระหว่างที่ขบคิดเขาหรี่ตาลง กวาดตามองไปบนถนน ที่นั่นมีเงาโชกเลือดร่างหนึ่งกำลังตรงเข้ามาอย่างรวดเร็ว เป้าหมายคือโรงเตี๊ยมนี้
หลังจากเข้ามาก็เผยให้เห็นเงาของผู้บำเพ็ญคนหนึ่ง ไม่พูดไม่จาล้วงเอาถุงหนังที่ใส่เหรียญวิญญาณไว้เต็มใบหนึ่งออกมา จากนั้นก็หายเข้าไปในโรงเตี๊ยม
“ตอนนี้เหลือห้องเดียวแล้ว” ชายชราชั่งถุงหนังในมือ เอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม
สวี่ชิงคิดๆ จากนั้นจึงเดินเข้าไป จ่ายเหรียญวิญญาณแล้วเปิดห้องสุดท้ายบนชั้นที่สองห้องหนึ่ง ก่อนที่จะเดินเข้าห้อง เขาก็กลับมาหาชายชราที่กำลังสูบยาสูบที่โต๊ะด้านหน้าอีกครั้ง เอ่ยถามขึ้นมาประโยคหนึ่ง
“เจ้าซื้อศพเหล่านั้นไปทำอะไร”
ชายชราเงยหน้า แสยะยิ้ม
“ในบ้านเลี้ยงสัตว์เลี้ยงตัวเล็กไว้ตัวหนึ่งน่ะ มันชอบกินมาก น่าเสียดาย ที่เจ้าไม่ขายให้ข้า หลังจากนี้ถ้ามีเรื่องแบบนี้อีก ก็เอามาขายให้ข้านะ ให้ราคาอย่างงามเลย”
สวี่ชิงนิ่งงัน มองชายชราผาดหนึ่ง จากนั้นจึงเดินเข้าห้อง
เขาตรวจสอบที่นี่อย่างละเอียดรอบหนึ่ง หลังจากยืนยันว่าไม่มีปัญหาใด สวี่ชิงจึงเปิดหน้าต่างมองออกไปด้านนอก
เมืองหลวงในยามราตรีดำทะมึน จันทร์กระจ่างสาดส่องบนท้องฟ้า ราวกับแผ่ผ้าบางลึกลับชั้นหนึ่งลงมาคลุมตัวเมืองสีดำนี้ไว้
เสียงนกหวีดเรือดังอื้ออึงในท้องทะเล สามารถมองเห็นเรือขนาดยักษ์หลายลำเคลื่อนตัวเข้ามาจากคลื่นที่สาดซัดและแสงของหอประภาคารได้
สวี่ชิงที่เห็นสิ่งเหล่านี้ก็คิดไปถึงสิ่งที่ศิษย์หญิงที่อยู่ข้างค่ายกลส่งตัวคนนั้นพูด ในใจก็ตระหนักไว้แล้วว่าเมืองแห่งนี้เหมือนกับบึงลึกที่ซ่อนอันตรายมากมายเอาไว้ ในที่สุดเขาเองก็รู้แล้วว่ากลิ่นคาวเลือดจางๆ เหล่านั้นมาจากที่ใด ถึงอย่างไรตนเองเมื่อครู่ ก็เพิ่งจะเพิ่มกลิ่นคาวเลือดให้กับเมืองแห่งนี้ไปเช่นกัน
ในด้านสิ่งปลูกสร้างและความสะอาดที่นี่แตกต่างอย่างมากกับสิ่งแวดล้อมการใช้ชีวิตของเขาก่อนหน้านี้ แต่ถ้ามองไปถึงแก่นก็เหมือนจะไม่ได้แตกต่างกันสักเท่าไร
“ถึงอย่างไรก็ยังเป็นโลกาววินาศ…” สวี่ชิงงึมงำ ไม่คิดเรื่องเหล่านี้อีก แต่หันไปพิจารณาถึงเรื่องการทดสอบเข้าสำนักถัดจากนี้แทน
“แม้จะเป็นไปได้มากว่าข้าจะผ่านการทดสอบ แต่ก็ต้องเตรียมตัวให้พร้อมว่าถ้าไม่ผ่านขึ้นมาจะไปที่ใดต่อ แล้วยังมีเรื่องบรรพชนสำนักวัชระอีก ปัจจุบันถือเป็นภัยคุกคามที่ใหญ่ที่สุดของข้า ต้องรีบยกระดับตนเองแล้วสังหารเขาทิ้งให้เร็วที่สุด”
ครุ่นคิดพิจารณาอยู่ทางนี้ สีท้องฟ้าด้านนอกก็เข้มขึ้นเรื่อยๆ แม้จะไม่มีเสียงคำรามของอสูรกลายพันธุ์กับเสียงของสิ่งประหลาดแล้ว แต่ก็ยังมีเสียงเอะอะกับเสียงหัวเราะเหิมเกริม เต็มไปด้วยด้านมืดของมนุษย์จากสายลมที่พัดมา
สวี่ชิงเคยชิน ไม่สนใจมันอีก ก้มหน้าล้วงถุงผ้าใบหนึ่งออกมา
สิ่งนี้คือสิ่งที่เขากวาดมาจากในสำนักวัชระ ระหว่างทางก็สำรวจมาบ้างแล้ว ในใจรู้สึกตะลึงอย่างมาก
ถุงผ้านี้ดูแล้วเหมือนเล็กขนาดแค่ฝ่ามือ แต่อันที่จริงเมื่อเปิดออก ด้านในก็เหมือนมีมิติฟ้าดินแฝงอยู่ ด้านในสามารถใส่ของได้มากมาย ขนาดใหญ่ประมาณเตียงหนึ่งเตียงเลยทีเดียว
เขาเคยได้ยินเรื่องของของสิ่งนี้มาบ้างแล้วจากในฐานที่มั่น มันเรียกว่าถุงเก็บของ
ถุงเก็บของถือเป็นของที่พบเห็นได้น้อย มูลค่าน่าตกตะลึง ยิ่งไปกว่านั้นยังหาซื้อยากอีกด้วยในพื้นที่ที่สวี่ชิงใช้ชีวิตมาก่อนหน้านี้
เอาแค่ถุงเก็บของใบนี้ก็ทำให้สำนักวัชระเจ็บปวดรวดร้าวแล้ว ไม่ต้องพูดถึงขวดยาอย่างดีที่ล้วนบรรจุลูกกลอนล้างธุลีทั้งสิ้นอีกมากมายจากด้านในตำหนัก
สามสิบกว่าเม็ด
เมื่อเทียบกับยาเหล่านี้ สิ่งที่ทำให้สวี่ชิงลิงโลดยิ่งกว่าระหว่างทางก็คือด้านในยังมีหินวิญญาณ…อยู่ถึงหนึ่งร้อยสิบก้อน!!
สวี่ชิงไม่เคยเห็นหินวิญญาณ แต่หัวหน้าเหลยเคยพูดเรื่องความรู้รอบตัวเล็กน้อยแก่เขาระหว่างนั่งกินข้าวครั้งหนึ่ง ในนั้นมีเรื่องหินวิญญาณอยู่ด้วย
เจ้าสิ่งนี้เป็นของที่ล้ำค่ากว่าเหรียญวิญญาณมาก หนึ่งก้อนมีค่าเท่ากับหนึ่งพันเหรียญวิญญาณ สร้างขึ้นมาจากพลังวิญญาณที่เข้มข้นที่สุด สามารถนำมาใช้ฝึกบำเพ็ญในช่วงเวลาสำคัญ มีมูลค่ามหาศาลทุกก้อน และบรรยายถึงลักษณะเอาไว้ ดังนั้นสวี่ชิงจึงมองปราดเดียวก็รู้
ของเหล่านี้เป็นกำไรที่เขาได้รับจากสำนักวัชระมากที่สุด ส่วนของสัพเพเหระอื่นๆ ไม่ได้มีค่าอะไรเลย เมื่อเทียบกับถุงใส่ของและหินวิญญาณ
ต่อให้สวี่ชิงจะตรวจสอบมาระหว่างทางแล้วหลายรอบ แต่ตอนนี้เมื่อจัดเสร็จ จิตใจเขาก็ยังถูกแรงปะทะจากลาภก้อนโต นี่เป็นทรัพย์สมบัติมูลค่ามากที่สุดที่เขาเคยได้รับตั้งแต่เกิดมา
“หากทดสอบไม่ผ่าน เช่นนั้นเงินก้อนนี้ ก็น่าจะสามารถทำให้ข้าเพิ่มความเร็วการฝึกบำเพ็ญในเมืองหลักเจ็ดเนตรโลหิตได้กระมัง…” สวี่ชิงงึมงำแผ่วเบา หลับตาลงเริ่มฝึกบำเพ็ญ
ไม่ว่าจะสถานที่ใด การทดสอบต่อมาจะเป็นอย่างไร สำหรับสวี่ชิงแล้ว การฝึกบำเพ็ญจะหยุดลงไม่ได้ นี่คือรากฐานแห่งชีวิตของเขา และเป็นหลักประกันที่ดีที่สุดในการมีชีวิตรอดต่อไป
ถึงอย่างไรในโลกาวินาศ เรื่องที่เหมือนจะคงอยู่ชั่วนิจนิรันดร์ดั่งตะวันขึ้นหรือตก ก็เป็นไปได้ว่าวันหนึ่งอาจจะเกิดการเปลี่ยนแปลง
ทั้งหมดเป็นไปได้ทั้งนั้น
สิ่งเดียวที่ไม่มีทางเปลี่ยน ก็คือเรื่องปลาใหญ่กินปลาเล็ก
ยิ่งไปกว่านั้น…สถานที่มีคนอยู่มาก ระดับอันตรายของมันมากยิ่งกว่าพื้นที่ต้องห้ามเสียอีกจากประสบการณ์ของสวี่ชิง เพราะความชั่วร้ายของใจคนยากแท้หยั่งถึง
โดยเฉพาะเมืองหลักเจ็ดเนตรโลหิตที่ซ่อนทั้งอันตรายและความลึกลับไว้อย่างชัดเจนนี้
สำหรับเด็กหนุ่มแล้ว ที่นี่ก็คือพื้นที่ต้องห้าม
พื้นที่ต้องห้ามอีกแห่งหนึ่ง