ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 51 ใช้เรือเลี้ยงชีพ
บทที่ 51 ใช้เรือเลี้ยงชีพ
ตอนนี้เป็นเวลาย่ำค่ำ แสงอาทิตย์อัสดงที่สาดทอมายังถนนเส้นเล็กกลางภูเขาคล้ายว่าคลุมผ้าโปร่งบางสีส้มทองชั้นหนึ่งให้กับขั้นบันไดหินในภูเขาแห่งนี้ เพิ่มความศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาอีกหลายส่วน
เหมือนว่าเดินอยู่บนนั้น เหยียบแสงอาทิตย์ ก็จะสามารถเดินไปสู่ความรุ่งโรจน์ได้ตลอดทาง
สองฝั่งถนนยิ่งสามารถเห็นต้นไม้ดอกไม้ได้ทั่วทุกที่ กลิ่นดอกไม้ฟุ้งกระจาย กลิ่นดินผสานอยู่ในลมภูเขาที่พัดผ่าน แทรกซึมเข้ามาในจิตใจ แผ่ซ่านไปทั่วทั้งร่างกายตามความชื้นที่ปะทะหน้ามา
ส่วนต้นไม้รอบๆ ให้ร่มเงา เสียงนกร้องใสเสนาะที่ดังมาเหมือนแต่งเป็นท่วงทำนองแห่งอนาคตให้กับคนที่สัญจรผ่านถนนในภูเขาเส้นนี้ และโอบล้อมกลุ่มคนที่อยู่ที่นี่ในตอนนี้
คนกลุ่มหนึ่งห้าคน ข้างหน้าสุดเป็นชายกลางคนใบหน้ากลมคนนั้น เขาเอามือไพล่หลัง เดินพลางแนะนำสำนักกับพวกสวี่ชิงที่อยู่ข้างหลัง
“ในเมื่อพวกเจ้าเข้าสำนักเจ็ดเนตรโลหิตได้สำเร็จ เช่นนั้นข้าก็จะอธิบายเกี่ยวกับสำนักให้พวกเจ้าฟัง ความจริงสำหรับข้า เจ็ดเนตรโลหิตไม่ใช่สำนัก
“มันเป็นเหมือนกลุ่มธุรกิจผลประโยชน์ขนาดใหญ่ที่ใช้ชื่อว่าสำนักมากกว่า!”
ชายกลางคนใบหน้ากลมเอ่ยเสียงราบเรียบ คำพูดของเขาดังขึ้นในหูของคนข้างหลังทั้งสี่ ทำให้เด็กหนุ่มสาวที่เพิ่งเข้ายอดเขาที่เจ็ดต่างตื่นตะลึง
ในสี่คนนี้นอกจากสวี่ชิง คนที่เหลือสามคนคือโจวชิงเผิง หลี่จื่อเหมย และมีเด็กสาวอีกคนหนึ่ง
เด็กสาวมีชื่อว่าสวี่เสี่ยวฮุ่ย นางมัดผมหางม้า เสื้อผ้าธรรมดาๆ เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่คนร่ำรวย แต่ก็ดีกว่าคนเก็บกวาดมากมายนัก น่าจะมาจากเมืองเล็กๆ
ตลอดทางนางเคยผูกมิตรกับสวี่ชิง แต่เขาพูดไม่เก่ง ทั้งยังไม่ชอบให้คนอื่นมาใกล้มากเกินไป จึงแค่พยักหน้า ดังนั้นไม่นานเด็กสาวคนนี้ก็เริ่มไปประจบประแจงโจวชิงเผิง
โจวชิงเผิงรอยยิ้มอบอุ่นตรงข้ามกับคนพูดน้อยอย่างสวี่ชิง ทำให้เด็กสาวคนนั้นยิ่งรู้สึกสนิทสนม ทั้งสองคนยังซุบซิบหยอกล้อหัวร่อต่อกระซิกกันบ้างมาตลอดทาง
ส่วนหลี่จื่อเหมยนางเหมือนเป็นคนที่ระมัดระวังกิริยามาก ทั้งยังมองตัวเองในแง่ลบนิดๆ ดังนั้นจึงอยู่ท้ายสุดของแถว รักษาระยะห่างกับทุกคนในระดับหนึ่งเอาไว้
แต่ว่าโจวชิงเผิงคอยสังเกตนางกับสวี่ชิง ดังนั้นจึงประเดี๋ยวก็เป็นฝ่ายยิ้มมาให้ ทำให้ความระมัดระวังของหลี่จื่อเหมยเหมือนจะลดลงมาบ้าง
ตอนนี้ลมภูเขาพัดมา ผมของคนทั้งหลายปลิวพลิ้ว ส่งคำพูดของชายกลางคนใบหน้ากลมมา
“สำนักเจ็ดเนตรโลหิตแบ่งเป็นบนเขาและล่างเขา พวกเจ้าจะมองเป็นโลกสองใบก็ได้ และความจริงแล้วมันก็เป็นโลกสองใบจริงๆ ส่วนพวกเจ้า…คือคนล่างเขา
“มีเพียงระดับสร้างฐานเท่านั้นถึงจะมีคุณสมบัติขึ้นเขา มีสิทธิ์ในการแบ่งผลประโยชน์ของสำนักเจ็ดเนตรโลหิต ส่วนคนล่างเขาชีวิตอยู่ในความโหดร้ายและยากลำบาก ทำได้แค่ดิ้นรนเท่านั้น
“ดังนั้นสำหรับคนล่างเขาแล้ว บนเขาเป็นความปรารถนาสูงสุดของชีวิตนี้ พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าในเมืองหลักล่างเขามีคนอยู่เท่าไร” ชายกลางคนใบหน้ากลมมองเด็กหนุ่มสาวทั้งสี่ข้างหลังแวบหนึ่ง
“สามล้านคน!” เขายกมือขวาขึ้นมาชูสามนิ้ว
“ประชากรสามล้านคนนี้รวมประชาชนธรรมดาและลูกศิษย์ระดับล่างของทุกยอดเขาแล้ว พวกเจ้าเป็นหนึ่งในนั้นเช่นกัน จะต้องมีชีวิตอยู่ให้ได้ภายใต้กฎของสำนักเจ็ดเนตรโลหิต
“กฎของเมืองหลักเจ็ดเนตรโลหิตง่ายมาก นั่นก็คือแต้มอุทิศ คนล่างเขาทุกคนจะเป็นประชาชนก็ดีหรือจะเป็นลูกศิษย์ก็ดี จะต้องจ่ายค่าอยู่อาศัยเมืองหลักสามสิบแต้มอุทิศ หรือก็คือสามสิบเหรียญวิญญาณทุกวัน
“ทุกชั่วขณะของทุกวันจะถูกหัก เมื่อจำนวนแต้มอุทิศของป้ายแผ่นหยกเป็นศูนย์ก็จะถูกขับออกจากเมืองเจ็ดเนตรโลหิต ประชาชนเป็นเช่นนี้ ลูกศิษย์ก็เป็นเช่นนี้เช่นกัน
“หากฝืนอยู่ต่อ หลังจากนั้นหนึ่งชั่วยามก็จะถูกค่ายกลสังหาร”
คำพูดของผู้บำเพ็ญหน้ากลมทำให้พวกสวี่ชิงทั้งสี่คนต่างสีหน้าเปลี่ยนไป ต่อให้เป็นโจวชิงเผิงที่มีความเข้าใจอยู่แล้วได้ฟังกฎอีกครั้งดวงตาก็ฉายความหวาดกลัวออกมาเหมือนกัน
“นี่เป็นเพียงแค่ค่าใช้จ่ายพื้นฐานเท่านั้น ส่วนกินอยู่อาศัย อันนี้ดูที่พวกเจ้าเลือก กฎการคัดสรรทางธรรมชาติ ราคาสินค้าในเมืองหลักเจ็ดเนตรโลหิตสูงมาก แต่ที่แพงที่สุดคือทรัพยากรฝึกบำเพ็ญ”
ฟังคำพูดของผู้บำเพ็ญหน้ากลม สวี่ชิงเงียบนิ่ง ส่วนสามคนที่เหลือต่างตื่นตระหนกหวาดกลัวเพราะคำพูดอันโหดร้ายนี้ สวี่เสี่ยวฮุ่ยถามเสียงเบาหลังจากที่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ทำไมจึงมีประชาชนมากมายมาที่นี่ วันละสามสิบเหรียญวิญญาณทุกวัน…เดือนหนึ่งก็เท่ากับหินวิญญาณก้อนหนึ่ง นี่แพงมากเลยนะเจ้าคะ อีกทั้งพวกเราก็ได้ฐานะลูกศิษย์แล้ว หากยังต้องจ่ายแต้มอุทิศ สถานะลูกศิษย์จะมีประโยชน์อันใด”
ชายกลางคนใบหน้ากลมกวาดตามองสวี่เสี่ยวฮุ่ยแวบหนึ่ง
“ประชาชนที่ไม่เสียดายค่าใช้จ่ายมหาศาลส่งข้ามมาที่นี่ล้วนแต่เป็นคนที่มีความสามารถทั้งนั้น เหตุที่พวกเขาเฮโลแย่งกันมาก็เพราะเมืองหลักเจ็ดเนตรโลหิตปกป้องประชาชน ลูกศิษย์ไม่อาจสังหารผู้บริสุทธิ์ได้ตามอำเภอใจ นอกจากนั้น…ที่นี่มีค่ายกลสกัดกั้นไอพลังประหลาด ทำให้อายุขัยเพิ่มขึ้น
“เทียบกับโลกภายนอกที่ไอพลังประหลาดลอยอวล สัตว์ร้าย โจรผู้ร้ายอยู่ไปทั่วทุกที่แล้ว เมืองหลักเจ็ดเนตรโลหิตย่อมเป็นสถานที่ที่พวกเขาถวิลหาแม้ในยามฝัน
“สำหรับเป็นลูกศิษย์แล้วมีประโยชน์อันใด
“หนึ่งคือ ทรัพยากรฝึกบำเพ็ญจะขายให้เพียงคนที่มีคุณสมบัติเป็นลูกศิษย์เท่านั้น คนอื่นซื้อไม่ได้ และห้ามเผยแพร่สู่ภายนอกอย่างเด็ดขาด หากจับได้ ตายสถานเดียว
“สองคือ มีเพียงลูกศิษย์ที่ฝึกฝนเคล็ดวิชาเจ็ดเนตรโลหิตจนถึงระดับสร้างฐานแล้วเท่านั้นจึงจะสามารถขึ้นเขาและมีสิทธิ์ได้รับการแบ่งผลประโยชน์ ดังนั้นในวันข้างหน้าพวกเจ้าจะต้องพยายามให้มากๆ แม้ในกฎสำนักจะห้ามไม่ให้สังหารกันเอง แต่ทุกเดือน…ในเมืองก็จะมีลูกศิษย์หายตัวไปอย่างน่าสงสัย ทั้งยังจำนวนไม่น้อยอีกด้วย สำหรับเรื่องนี้ สำนักล้วนหลับตาข้างหนึ่ง เลี้ยงกู่[1]จะบาดเจ็บล้มตายก็เป็นเรื่องธรรมดา
“แต่หากเป็นผู้บำเพ็ญระดับสร้างฐานข้างนอกมาลงมือกับลูกศิษย์ระดับรวมปราณอย่างพวกเจ้า เช่นนั้นคนที่ลงมือก็จะถูกลงโทษอย่างหนัก นี่ถือเป็นการทำลายกฎของพวกเราสำนักเจ็ดเนตรโลหิต แน่นอน ระดับรวมปราณข้างนอก สำนักไม่สนใจ”
ผู้บำเพ็ญหน้ากลมยิ้มอย่างมีนัยยะ
สวี่ชิงฟังถึงตรงนี้ก็ถอนหายใจโล่งอกเล็กน้อย นี่ก็คือหนึ่งในเหตุผลที่เขามาสำนักเจ็ดเนตรโลหิต
ตอนนี้หลี่จื่อเหมยที่อยู่ข้างๆ หลังจากลังเลก็เอ่ยถามขึ้นมา
“หากเป็นดังนี้ เช่นนั้นลูกศิษย์ที่เติบโตในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ สำนักจะทำให้พวกเขามีความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งได้อย่างไร สำนักเองจะมีพลังสามัคคีได้อย่างไร”
ผู้บำเพ็ญหน้ากลมหัวเราะร่า
“พลังสามัคคีอย่างนั้นหรือ อะไรคือพลังสามัคคี คุณธรรมน้ำใจนับเป็นประเภทหนึ่ง ทราบซึ้งบุญคุณนับเป็นประเภทหนึ่ง หวาดเกรงก็นับเป็นประเภทหนึ่งเช่นกัน แต่สิ่งพวกนี้ล้วนไม่จีรังยั่งยืน ในโลกาวินาศนี้ ความรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกันที่แท้จริง พลังสามัคคีที่แท้จริงคือผลประโยชน์!
“ขอแค่เป็นลูกศิษย์สำนักเจ็ดเนตรโลหิต ทะลวงถึงระดับสร้างฐานด้วยเคล็ดวิชาเจ็ดเนตรโลหิต ก็จะมีคุณสมบัติขึ้นเขา ยิ่งมีสิทธิ์ได้รับส่วนแบ่งผลประโยชน์ของสำนัก
“รายได้ของสำนักเจ็ดเนตรโลหิตทุกเดือนมาจากค่าพักอาศัยของทุกคน การซื้อขายทรัพยากรฝึกบำเพ็ญ และการเข้าออกท่าเรือล้วนเปิดเผยโปร่งใส ทุกวันมีประมาณห้าร้อยล้านเหรียญวิญญาณเข้าบัญชี นับเป็นหินวิญญาณก็ได้ห้าแสนก้อน ทุกเดือนก็จะมีรายได้เป็นหินวิญญาณสิบห้าล้านก้อน
รายได้เหล่านี้จะแบ่งให้ตามสิทธิ์ของการบำเพ็ญที่ต่างกันไป หลังจากที่สำนักหักรายจ่ายประจำวันส่วนหนึ่ง ที่เหลือก็จะแบ่งให้กับลูกศิษย์ที่เป็นระดับสร้างฐานขึ้นไปทุกคน
“ยิ่งพลังบำเพ็ญสูงก็จะยิ่งได้ส่วนแบ่งมาก ลูกศิษย์ที่เป็นระดับสร้างฐานขั้นต้นทุกเดือนก็จะได้ส่วนแบ่งประมาณหินวิญญาณห้าพันก้อน หากถึงระดับหลอมตันเถียน อย่างน้อยทุกเดือนก็จะได้หินวิญญาณหลายหมื่นก้อน
“นี่ก็คือเหตุผลที่ทำไมข้าจึงบอกว่าสำนักเจ็ดเนตรวิญญาณถึงเป็นเหมือนกิจการมากกว่า ลูกศิษย์ระดับสร้างฐานที่เลื่อนขั้นไปบนเขาก็เท่ากับเป็นหุ้นส่วนของกิจการนี้ ขอเพียงสำนักเจ็ดเนตรโลหิตดำรงอยู่ ก็จะได้รับผลประโยชน์!
“ดังนั้น ข้าจึงคิดว่าในยามที่มีศัตรูมาแย่งชิงกิจการของเจ้า เจ้าจะมองประโยชน์ของตัวเองถูกแย่งชิงไปเฉยๆ ไม่ลงมือเช่นนั้นหรือ”
ในดวงตาของสวี่ชิงฉายประกายล้ำลึกออกมาทางหนึ่งตามคำพูดของผู้บำเพ็ญหน้ากลม ตอนนี้เขานับว่าเข้าใจสำนักเจ็ดโลหิตได้สมบูรณ์แล้ว
พลังสามัคคีในโลกวินาศ บางที…ก็อาจจะเหมือนกับที่อีกฝ่ายพูดจริงๆ ก็ได้ ผลประโยชน์สามารถผูกมัดทุกอย่าง
หลี่จื่อเหมยก็เงียบนิ่ง ไม่พูดอะไร
ผู้บำเพ็ญหน้ากลมยิ้มบาง เขาพาลูกศิษย์เข้าสำนักมาหลายรุ่น ผลประโยชน์เป็นหลักเหตุผลที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงในโลกาวินาศที่พูดเมื่อครู่ก็พูดไม่รู้กี่หนต่อกี่หน ตอนนี้เขาชี้ไปล่างเขา
“พูดถึงความรุ่งเรืองของสำนักเจ็ดเนตรโลหิตอีกครั้ง พวกเจ้าดูทางนั้น นั่นเป็นท่าเรือที่ใหญ่ที่สุดของทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณ ปกติจะมีเรือกลหลั่งไหลเข้ามาไม่ขาดสาย ไม่ว่าจะเป็นการขนส่งจากขั้วอำนาจใดในของโลกภายนอก หรือจะเป็นลูกศิษย์ยอดเขาอื่นๆ ของสำนักที่ออกเดินทางทะเลทำภารกิจสำเร็จกลับมา ส่วนมากล้วนต้องผ่านที่นี่ทั้งนั้น และพื้นที่ที่ยอดเขาที่เจ็ดควบคุมก็คือเขตท่าเรือ
“ดังนั้น เรือ…จึงเป็นสิ่งสำคัญในการฝึกบำเพ็ญของลูกศิษย์ยอดเขาที่เจ็ด พวกเราเรียกมันว่าเรือเวท”
สวี่ชิงมองไปตามทางนิ้วที่ชี้ ตอนนี้ ท่ามกลางแสงอาทิตย์ยามเย็น จากตำแหน่งนี้บนภูเขาสามารถมองเห็นท่าเรือเมืองหลักที่อยู่ข้างล่างได้อย่างชัดเจน
พื้นที่ที่ติดกับทะเลถูกขุดเจาะเป็นท่าเรือรูปร่างเหมือนเกือกม้าหลายแห่ง ทุกแห่งล้วนใหญ่โต น่าจะรองรับเรือได้จำนวนมหาศาล และท่าเรือที่เป็นลักษณะเช่นนี้มีจำนวนไม่น้อย มีมากถึงหลายร้อยแห่ง
ยิ่งใหญ่ไพศาล ในขณะเดียวกับที่แผ่ออกไปกว้างขวาง สีของมันก็ไม่เหมือนกัน ครึ่งหนึ่งเป็นสีขาวที่มีเรือสินค้าลำโตในนั้นมากมาย และยังมีท่าเรืออีกครึ่งหนึ่งที่สิ่งก่อสร้างในนั้นล้วนเป็นสีม่วง
มองไกลๆ แล้ว เรือในเขตสีม่วงเล็กมาก เรียงรายแน่นขนัด
นอกจากนั้นแล้ว ภายในท่าเรือทุกแห่งล้วนมีประตูน้ำและหอประภาคารที่ตั้งสูงตระหง่าน
“เขตพื้นที่สีขาวสำหรับบุคคลภายนอก ส่วนเขตพื้นที่สีม่วงเป็นที่พักอาศัยของลูกศิษย์ยอดเขาที่เจ็ด”
“เรือในนั้นก็คือเรือเวทที่ข้าพูดไปเมื่อครู่นี้!” คำพูดของผู้บำเพ็ญหน้ากลมดังมา
“เรือเวทของยอดเขาที่เจ็ดมีชื่อเสียงเป็นอย่างมากในเมืองทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณ ทั้งยังเป็นสิ่งสำคัญและเป็นจิตวิญญาณการบำเพ็ญของลูกศิษย์ยอดเขาที่เจ็ด
“มันเป็นทั้งแดนเซียนและเป็นพาหนะของเจ้า ยิ่งเป็นสหายร่วมรบและสิ่งจำเป็นที่จะให้ซึ่งทรัพยากรบำเพ็ญ พวกเจ้ามองเรือเวทเป็น…ของวิเศษเวทชิ้นหนึ่งได้เลย!”
ผู้บำเพ็ญหน้ากลมพูดถึงตรงนี้ หลี่จื่อเหมยและสวี่เสี่ยวฮุ่ยล้วนเบิกตาโพลง เห็นได้ชัดว่ารู้เรื่องของวิเศษเวท ดวงตาโจวชิงเฟิงก็ฉายประกายประหลาดแฝงไว้ด้วยความปรารถนาอันแรงกล้าเช่นกัน
สวี่ชิงก็ตื่นตะลึงเช่นเดียวกัน เขารู้ถึงความหายากและของราคาของวิเศษเวทดี ดังนั้นจึงมองไปทางท่าเรือเขตพื้นที่สีม่วงอีกครั้ง เพียงแต่เรือแน่นขนัดในนั้นทำให้เขารู้สึกว่ามันเหมือนจะตรงกันข้ามกับความหายากของของวิเศษเวทอยู่หน่อยๆ
“แน่นอนว่าไม่ใช่ของวิเศษเวทในความหมายที่แท้จริง แต่เรือเวทของพวกเรายอดเขาที่เจ็ดมีความสามารถในการพัฒนา ตามการยกระดับของเขตพลังบำเพ็ญและการฝึกฝนอยู่ตลอดของพวกเจ้า ไม่ช้าก็เร็วสักวันหนึ่งเปลี่ยนเป็นของวิเศษเวทก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้
“ดังนั้นมีเรือเวทเป็นของตัวเองหนึ่งลำ เป็นความฝันและความปรารถนาสูงสุดสำหรับลูกศิษย์ที่เพิ่งฝากตัวเข้ายอดเขาที่เจ็ด
“เพียงแต่เรือเวทที่เป็นพื้นฐานที่สุดก็ต้องซื้อเหมือนกัน หนึ่งแสนแต้มอุทิศหรือหินวิญญาณร้อยก้อนก็สามารถซื้อได้แล้ว
“นอกจากนั้น มีเพียงลูกศิษย์ที่มีเรือเวทเท่านั้นถึงจะมีสิทธิ์กระจายงานแบบสุ่มให้ทำงานและฝึกฝนในท่าเรือ
“สำหรับลูกศิษย์ที่ไม่มีเรือเวทก็ทำได้แค่หาวิธีหาเงินเอาเอง มีกำหนดสามปี หากในสามปียังไม่สามารถสะสมแต้มอุทิศซื้อเรือเวทได้ ก็จะถูกริบพลังบำเพ็ญคืน ขับไล่ออกไป
“เพราะเคล็ดวิชาของยอดเขาที่เจ็ดเกี่ยวกับทะเล เมื่อรวมกับการฝึกฝนเรือเวท อาศัยค่ายกลรวมวิญญาณข้างในก็ลงแรงน้อยได้ผลมาก จริงสิ เคล็ดวิชาไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย เป็นลูกศิษย์ก็จะได้รับ”
ฟังคำพูดของชายกลางคนใบหน้ากลม ในใจของสวี่ชิงก็เกิดระลอกคลื่น ในขณะที่ถูกเรือเวทของยอดเขาที่เจ็ดดึงดูด เขาก็ค่อยๆ เข้าใจยอดเขาที่เจ็ดมากขึ้น
เรือเวทเป็นของสำคัญของลูกศิษย์ยอดเขาที่เจ็ด
ลูกศิษย์ที่มีเรือเวทจะได้รับมอบหมายหน้าที่ ทั้งยังมีสิทธิ์อาศัยในเขตท่าเรือสีม่วง ดังนั้นก่อนหน้านี้ชายกลางคนใบหน้ากลมจึงบอกว่า เรือก็คือแดนเซียน แต่ว่าพักอาศัยแน่นอนว่าก็ต้องจ่ายแต้มอุทิศเช่นเหมือนกัน
ส่วนลูกศิษย์ที่ไม่มีเรือทำได้แค่อยู่บนฝั่ง รับจ้างจิปาถะ ดิ้นรนฝึกบำเพ็ญ ทุกวันล้วนต้องขยันสะสมแต้มอุทิศ
ยิ่งเป็นเพราะยอดเขาอื่นๆ กระทั่งทั้งทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณส่วนมากล้วนต้องผ่านที่นี่ ดังนั้นหลายครั้งจึงต้องเช่าเรือของลูกศิษย์ยอดเขาที่เจ็ด นี่ก็เป็นวิธีหาแต้มอุทิศเช่นกัน
โดยพื้นฐานแล้วลูกศิษย์ส่วนมากล้วนเป็นเช่นนี้ทั้งยอดเขาที่เจ็ด ทุกคนต่างพยายามมีชีวิตรอด อยากทะลวงขั้นสำเร็จระดับสร้างฐาน ได้รับสิทธิ์แบ่งผลประโยชน์ของสำนัก
‘ดังนั้น เรือเวทและการฝึกบำเพ็ญจึงเป็นสิ่งสำคัญในการมีชีวิตต่อไปก่อนจะเป็นระดับสร้างฐานของเรายอดเขาที่เจ็ด
‘ต้องรีบซื้อเรือเวทให้เร็วที่สุด!’ ดวงตาสวี่ชิงฉายประกายวาววับ ในใจมีความรู้สึกรีบเร่งรุนแรง
พวกสวี่ชิงมาถึงตีนเขาภายใต้การแนะนำจากผู้บำเพ็ญใบหน้ากลมมาตลอดทางเช่นนี้ ที่นี่เป็นที่เปิดความสามารถทั้งหมดของป้ายฐานะให้กับลูกศิษย์เข้าใหม่ ในขณะเดียวกันก็จะมีเคล็ดวิชา และชุดนักพรตมอบให้ด้วย
ชุดนักพรตมีแค่แบบเดียวเท่านั้น นั่นก็คือชุดนักพรตสีเทา
ชุดนักพรตสีเทาเป็นชุดพื้นฐานของลูกศิษย์ทุกยอดเขา ขอเพียงแค่ลูกศิษย์เปิดความสามารถของป้ายฐานะก็จะมอบให้โดยไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ
เพียงแต่เปิดความสามารถของป้ายต้องใช้หนึ่งพันแต้มอุทิศ และป้ายที่เปิดความสามารถแล้ว ข้างในก็จะบันทึกข้อมูลและแต้มอุทิศของทุกคน ทั้งยังสามารถใช้ติดต่อสื่อสารได้อีกด้วย
จากนั้นทุกคนก็เอาเคล็ดวิชาไป และทยอยเปิดความสามารถป้ายฐานะ ได้ชุดนักพรตสีเทามา สวี่ชิงถือมันเอาไว้ในมือ สัมผัสระลอกพลังวิญญาณอ่อนๆ ที่แผ่ออกมาก็รู้ว่าวัสดุของชุดนักพรตไม่ธรรมดา
เมื่อลูบไปก็นุ่มมาก ไม่เกิดรอยยับง่ายๆ หากอยู่โลกภายนอก ราคาของชุดนักพรตชุดนี้ไม่น้อยเป็นแน่
หลี่จื่อเหมยที่อยู่ข้างๆ ก็ลูบคลำชุดนักพรตเหมือนสวี่ชิงเช่นกัน ในดวงตาฉายแววมุ่งมั่น ส่วนสวี่เสี่ยวฮุ่ยที่อยู่ข้างๆ นางกลับมองไปทางโจวชิงเผิง
โจวชิงเฟิงกะพริบตาปริบๆ หลังจากสายตากวาดไปหาผู้บำเพ็ญใบหน้ากลมและผู้อาวุโสในสำนักที่แจกจ่ายทรัพยากรแล้ว ก็พลันเอ่ยเสียงเบาขึ้นมา
“ผู้อาวุโส ผู้เยาว์อยากซื้อเรือเวทสักหน่อยขอรับ”
ผู้บำเพ็ญหน้ากลมได้ยินก็ยิ้ม คนที่แจกสิ่งของอยู่ข้างๆ เป็นชายชราผอมแห้ง เขากะพริบตากวาดมองสวี่ชิง แล้วเอ่ยเสียงราบเรียบ
“หนึ่งแสนแต้มอุทิศ ไม่ก็หินวิญญาณร้อยก้อน” ชายชราผอมแห้งพูดจบ หลี่จื่อเหมยและสวี่เสี่ยวฮุ่ยต่างสูดปาก ในขอบเขตความรู้ความเข้าใจของพวกนางเป็นจำนวนมหาศาลที่ไม่อาจจินตนาการได้
ในตอนนี้โจวชิงเผิงรีบก้าวขึ้นไป หยิบตั๋วสีทองแผ่นหนึ่งออกมา แล้วยื่นออกไปอย่างเคารพนอบน้อม
“ตั๋ววิญญาณของยอดเขาที่สองหรือ ได้สิ” ชายชรารับมาดู หลังจากเก็บมันเรียบร้อยก็หยิบกล่องผ้าไหมสีม่วงใบหนึ่งออกมาแล้วผลักออกไป จากนั้นก็เงยหน้ามองคนอื่น
“มีใครอยากซื้ออีกหรือไม่”
หลี่จื่อเหมยและสวี่เสี่ยวฮุ่ยต่างก้มหน้า สวี่ชิงหลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง ฝืนสะกดความปวดใจ ก้าวขึ้นไปก่อนจะหยิบหินวิญญาณในถุงหนังออกมาร้อยก้อน วางลงข้างหน้าชายชราผอมแห้ง
ชายชราไม่พูดพร่ำทำเพลง มอบกล่องผ้าไหมให้เขาไปใบหนึ่งเหมือนกันท่ามกลางความอิจฉาของหลี่จื่อเหมยกับสวี่เสี่ยวฮุ่ย และการปรายตามองจากโจวชิงเผิง
สวี่ชิงรับมาแล้วเปิดออกดู ในกล่องมีของเพียงสองอย่างเท่านั้น แผ่นหยกหนึ่งแผ่น และขวดเล็กโปร่งแสงใบหนึ่ง
ขวดเล็กน่าอัศจรรย์มาก มีขนาดแค่ฝ่ามือเท่านั้น ข้างในมือของเหลวครึ่งหนึ่ง เหมือนจะเป็นน้ำทะเล และเหนือน้ำทะเลนั้นก็มีเรืออูเผิง[2]ลำน้อยลอยอยู่ลำหนึ่ง!
เรือเล็กลำนี้เป็นสีดำทั้งลำ ดูเหมือนเรียบง่าย แต่หากมองให้ละเอียดแล้วก็จะพบว่าไม้กระดานทุกแผ่นล้วนแน่นขนัดไปด้วยอักขระจำนวนมหาศาล ต่อให้เรือทั้งลำถูกเก็บอยู่ในขวด แต่ก็ยังคงสัมผัสได้ถึงพลังกดดันไม่ธรรมดาแผ่ออกมาเป็นระลอกๆ
พูดได้ว่าไม่ว่าจะเป็นตัวขวดหรือเรือเล็กลำนี้ ราคาก็เกินร้อยหินวิญญาณไปมหาศาล ส่วนแผ่นหยกแผ่นนั้นบันทึกข้อมูลของเรืออูเผิงลำน้อยเอาไว้
“เอาล่ะ พวกเจ้าลงเขาไปได้แล้ว จำเอาไว้ เคล็ดวิชาและเรือเวทห้ามเผยแพร่ภายนอกเด็ดขาด ไม่อย่างนั้น…อเนจอนาถเป็นแน่” เสียงของชายกลางคนใบหน้ากลมหยุดการสำรวจของสวี่ชิง
“สวี่เสี่ยวฮุ่ยกับหลี่จื่อเหมย พวกเจ้าต้องขยันให้มากๆ รู้ตัวนะว่าต้องทำอย่างไร รีบซื้อเรือเวทให้ได้ ส่วนโจวชิงเผิงกับสวี่ชิง ป้ายฐานะของพวกเจ้ามีข้อมูลตำแหน่งหน้าที่อยู่ แยกย้ายกันไปเถิด”
คนทั้งสี่ประสานหมัดโค้งคารวะผู้บำเพ็ญใบหน้ากลม สวี่ชิงกำลังจะจากไปกลับถูกผู้บำเพ็ญใบหน้ากลมเรียกเอาไว้
“สวี่ชิง”
สวี่ชิงหันหน้าไป มองผู้บำเพ็ญใบหน้ากลมอย่างเคารพ
“ในบรรดาผู้บำเพ็ญขั้นต่ำเจ้าแข็งแกร่งมาก ทั้งๆ ที่เป็นเพียงแค่ฝึกกายาขั้นเจ็ด แต่กลับสร้างเงาเลือดลมที่มีเพียงฝึกกายาขั้นบริบูรณ์เท่านั้นถึงจะมีได้ เห็นได้ว่าพรสวรรค์ของเจ้าไม่เลวเลย พูดได้ว่าในหมู่ผู้บำเพ็ญขั้นต่ำ เจ้าเป็นผู้แข็งแกร่งแล้ว สังหารพวกฝึกฝนไร้ระบบและคนสำนักเล็กๆ ผู้บำเพ็ญระดับรวมปราณขั้นสิบก็ง่ายราวพลิกฝ่ามือ
“แต่ฝึกกายาค่อนข้างง่าย เป็นเพียงแค่การรวมของความเร็ว พลัง และการฟื้นฟูเท่านั้น นี่ไม่ใช่ทางสายหลักหรอกนะ
“วิถีหลักของพวกเราผู้บำเพ็ญคือการฝึกเวท! ข้าแนะนำว่าจากนี้เจ้าให้ความสำคัญกับการฝึกเวทให้มาก พลังวิชาเวทของพลังวิญญาณในกายเจ้าอ่อนแอมาก เจอกับพวกฝึกฝนไร้ระบบยังดี แต่หากเจอกับลูกศิษย์สำนักใหญ่เจ้าจะเสียเปรียบอย่างมาก!”
สวี่ชิงฟังถึงตรงนี้ก็ตื่นตะลึง
“นอกจากนั้น ข้าไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้เจ้าใช้ชีวิตอยู่ที่ใด แต่ว่าคงจะเป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยอันตรายล้อมรอบแน่นอน ดังนั้นจึงทำให้เจ้ามีความเคยชินบางอย่างไปตามสัญชาตญาณ”
“ความเคยชินหรือ” สวี่ชิงอึ้ง
“เห็นแก่ที่ข้าเป็นคนทดสอบเจ้าครั้งนี้ ข้าจะขอเตือนเจ้าสักหน่อย ยกตัวอย่างเช่น เวลาเจ้าเดิน มือขวาก็แทบจะไม่ขยับ โดยเฉพาะนิ้วชี้กับนิ้วกลางจะอยู่ในสภาวะที่ระแวดระวังอยู่ตลอดเวลา ข้าเดาว่าในถุงหนังด้านขวาของเจ้ามีอาวุธลักษณะอย่างเข็มหรือไม่ก็มีดบินที่สองนิ้วคีบได้อยู่ สะดวกให้เจ้าเอามันออกมาได้ทุกเวลา”
สวี่ชิงสีหน้าเคร่งเครียด เป็นครั้งแรกที่เขาถูกคนมองทะลุทะลวงอย่างชัดเจนเช่นนี้
“แต่ข้าขอเตือนเจ้าว่า ทางที่ดีที่สุดคืออย่าปล่อยปละละเลยความเคยชินพวกนี้ เช่นนั้นแล้วจะทำให้คนมองออกได้ง่ายจนเสียเปรียบจากเรื่องนี้ ต้องรู้ว่าไร้ร่องรอย ซ่อนคมเข็มไว้ในผ้า ถึงจะเป็นวิถีของเรา”
ชายกลางคนใบหน้ากลมพูดยิ้มตาหยี ดูแล้วไม่มีประกายคมปลาบอะไรแม้แต่น้อย ครั้งนี้เขาเตือนลูกศิษย์เบื้องหน้าคนนี้ สำหรับเขาเป็นแค่การช่วยไปตามโอกาส นับว่าเป็นการลงทุนเล็กๆ ก็เท่านั้น
แต่สวี่ชิงกลับรู้สึกหลังเย็นวาบ หลังจากที่ยืนสูดลมหายใจลึกอยู่ตรงนั้นก็โค้งคารวะอีกฝ่ายสุดตัว
จนเมื่อเดินจากไปไกล ในใจของสวี่ชิงก็ยังมีคำพูดของอีกฝ่ายดังสะท้อนก้องอยู่ เขาก้มหน้ามองมือขวาของตัวเอง พยายามควบคุมให้มันเป็นธรรมชาติอีกนิด
ขณะลองควบคุม มือขวาของเขาก็ค่อยๆ มีการเปลี่ยนแปลง มันไม่แข็งทื่ออีกต่อไป แต่เป็นธรรมชาติขึ้นมาอีกนิด แต่หากมองไปอย่างละเอียดก็จะเห็นว่าในความเป็นธรรมชาตินั้น ทุกครั้งที่ขยับเหมือนจะซ่อนเอาไว้ซึ่งประกายคม
และในการพยายามไม่หยุดตลอดทางที่เขาลงจากเขา ในป่าที่ไกลออกไปจากเมืองเจ็ดเนตรโลหิตลิบลับ ณ ฐานที่มั่นคนเก็บกวาดที่ไม่คุ้นเคยแห่งหนึ่ง นายท่านเจ็ดนั่งย่อตัวอยู่บนหลังคาแห่งหนึ่ง มองเด็กหนุ่มที่ห่างออกไปไม่ไกลกำลังฆ่าล้างสังหารกับสุนัขจรจัดอย่างสนอกสนใจ ในปากของเด็กหนุ่มเต็มด้วยชิ้นเนื้อเปรอะเลือดติดขนสุนัข สีหน้าเหมือนจะแฝงด้วยแววกระหายเลือด
เห็นภาพนี้ ในดวงตาของนายท่านเจ็ดก็เผยความชื่นชม
ข้างกายเขามีผู้ติดตามนั่งย่อตัวอยู่ตรงนั้น ตอนนี้หยิบเอาแผ่นหยกขึ้นมาตรวจสอบ หลังจากตรวจสอบก็เอ่ยเสียงเบาขึ้นมา
“นายท่านเจ็ด เด็กน้อยมาถึงเจ็ดเนตรโลหิตแล้ว”
“เด็กน้อยอะไร” นายท่านเจ็ดมองไปยังเด็กหนุ่มเบื้องหน้า พลางเอ่ยถามไปตามปาก
ผู้ติดตามยิ้มขื่น อธิบายเสียงต่ำทุ้ม
“ก็คือเด็กหนุ่มก่อนจะฆ่าคนก็เสียดายเสื้อใหม่คนนั้น ท่านยังช่วยเขาพูดกับปรมาจารย์ไป่ให้ถ่ายทอดวิชาสมุนไพรให้เขา ภายหลังก็ให้ป้ายแนะนำสีขาวกับเขา”
นายท่านเจ็ดสีหน้าเหม่อลอย พยักหน้าหงึกๆ นึกถึงสวี่ชิงออก ดวงตาฉายแววชื่นชมขึ้นมาอีกครั้ง
“ข้านึกออกแล้ว นั่นเป็นเด็กดีที่มีคุณธรรมน้ำใจ”
“ต้องดูแลเป็นพิเศษหรือไม่” ผู้ติดตามถาม
นายท่านเจ็ดโบกมือ
“ไม่ต้อง ในโลกาวินาศเช่นนี้ หากอยากมีชีวิตรอดต่อไปต้องอาศัยความพยายามของตัวเอง หากในท้ายที่สุดแล้วเขาสามารถเดินมาอยู่ตรงหน้าข้าด้วยตัวเองได้ ข้าก็จะให้มอบโชคชะตาให้กับเขา” นายท่านเจ็ดพูดแล้วก็ชี้ไปทางเด็กหนุ่มที่กำลังรบราฆ่าฟันกับสุนัขจรขัดที่ห่างออกไปไม่ไกลนัก
“เจ้าว่าเด็กหนุ่มคนนี้เมื่อเทียบกับเด็กน้อยแล้วใครเหมือนลูกหมาป่ามากกว่ากัน”
ผู้ติดตามมองเด็กหนุ่มที่นายท่านเจ็ดชี้ หัวเราะเสียงขื่นขึ้นมา คำถามประเภทนี้เขาตอบไปหลายรอบมากแล้ว นี่เป็นเด็กคนที่เก้าที่นายท่านเจ็ดเห็นแววหลังจากเด็กน้อยตลอดทางมานี้
“พอๆ กันกระมังขอรับ”
นายท่านเจ็ดได้ยินก็หันหน้าไปมองผู้ติดตามแวบหนึ่ง จู่ๆ ก็หัวเราะขึ้นมา
“ข้าช่วยเด็กน้อยพูดกับปรมาจารย์ไป่ ให้ป้ายแนะนำสีขาวเขา นี่ก็คือบุญคุณที่ข้าให้เขา แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าข้าจะต้องรับเขาเป็นศิษย์ และข้าก็ไม่ได้ติดค้างเขา แต่ให้โอกาสก็เท่านั้น
“ข้าก็ต้องการรับลูกศิษย์คนที่สี่จริงๆ นั่นแหละ ตอนนั้นรับเจ้าสามข้าแจกป้ายสีขาวออกไปห้าสิบกว่าแผ่น ถึงจะมีเจ้าสามออกมาคนหนึ่ง เจ้าติดตามข้าไม่นานดังนั้นจึงยังไม่รู้รูปแบบของข้า
“ครั้งนี้ข้ารู้สึกว่าป้ายแนะนำห้าสิบแผ่นก็ยังไม่พอจะให้มีเจ้าสี่ออกมาได้ อย่างน้อยๆ คงต้องร้อยแผ่น
“เด็กหนุ่มคนนี้เจ้าเอาป้ายแนะนำสีขาวไปให้ก็แล้วกัน ไม่ต้องพูดอะไรเหมือนเดิม” นายท่านเจ็ดหลังจากบอกแล้วก็เดินจากไป
[1] เลี้ยงกู่ (养蛊) คือ การเลี้ยงสัตว์มีพิษโดยขังเอาไว้รวม ไม่ให้อาหาร ปล่อยให้มันฆ่ากันและเอาตัวรอดกันเอง
[2] เรืออูเผิง เรือประเภทหนึ่งของจีน ตอนกลางเรือมีหลังคากันแดด กันฝน