ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 99 เดินทางสู่ทุ่งสีชาด
บทที่ 99 เดินทางสู่ทุ่งสีชาด
บนยอดเขาที่เจ็ด นายท่านเจ็ดมองไปทางมหาสมุทรอย่างเย็นชา นานกว่าจะดึงสายตากลับมา
“มา เดินหมากต่อ”
ผู้ติดตามรับคำ หลังจากจัดวางหมากเรียบร้อยแล้ว เขาก็ลังเลเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยเสียงต่ำทุ้ม
“นายท่านเจ็ด องค์ชายสามกับเด็กน้อยทางนั้น…”
นายท่านเจ็ดปรายตามองผู้ติดตามแวบหนึ่ง เอ่ยขึ้นเสียงราบเรียบ
“เจ้าสนใจเด็กน้อยเหลือเกินนะ”
ผู้ติดตามก้มหน้า ไม่พูดอะไร
“ไม่เลือกวิธีการคือนิสัยของเจ้าสาม ปกติใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความอ่อนโยน แต่ความจริงแล้วในใจไม่มีความรู้สึกอะไร นี่เป็นวิธีที่เขาทำตัวให้โดดเด่นที่ล่างเขา เดินมาถึงหน้าข้า และก็เป็นสิ่งที่ข้าชื่นชมในตัวเขา
“ส่วนเด็กน้อยจะมองความคิดของเจ้าสามทะลุหรือไม่ จะขบคิดอะไรบางอย่างจากเรื่องนี้ได้หรือไม่ก็ดูสติปัญญาของเขาแล้ว ในโลกาวินาศเช่นนี้คนโง่มีชีวิตอยู่ได้ไม่นานเท่าไร”
นายท่านเจ็ดพูดจบก็มองไปทางท้องฟ้าก่อนที่อรุณรุ่งจะมาเยือน ใกล้สว่างแล้วเต็มทีตรงนั้น
ใต้ท้องฟ้า ในท่าเรือที่เจ็ดสิบเก้า สวี่ชิงนั่งอยู่บนกระดานเรือเวท แววตาแฝงแววครุ่นคิด ในเสี้ยวพริบตาที่แสงสาดมายังร่างของเขาจากดวงอาทิตย์ที่ลอยขึ้น แสงอรุณรุ่งขับไล่ความมืดมิดไป แววตาของเขาก็แปรเปลี่ยนมาเป็นล้ำลึก
‘หนึ่ง สามสิบปีก่อนมนุษย์ทำสงครามกับเผ่าเงือก หลังจากนั้นเผ่าเงือกได้กลายมาเป็นพันธมิตร ความสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่ายภายนอกดูย่อมปรองดองแต่แท้จริงแล้วแตกแยก อีกทั้งวันนั้นที่ร้านศิษย์ยอดเขาที่หก สีหน้าของเด็กหนุ่มเผ่าเงือกเมื่อได้เห็นองค์หญิงสองก็เต็มไปด้วยความหวาดกลัว อธิบายได้ว่าองค์หญิงเมื่อสามสิบปีที่แล้วคงจะสังหารเผ่าเงือกไปมหาศาล
‘สอง ลูกศิษย์ยอดเขาที่เจ็ดน่าจะไม่ขัดต่อความประสงค์ของอาจารย์ ท่าทีขององค์หญิงสองที่มีต่อเผ่าเงือกก็บ่งบอกถึงปัญหา เช่นนั้นองค์ชายสามฆ่าเผ่าเงือก ก็ใช่ว่าจะทำความเข้าใจไม่ได้
‘เช่นนั้น เหตุใดองค์ชายสามจึงเชิญเผ่าเงือกมาเมืองเจ็ดเนตรโลหิต มาแล้วก็ฆ่า…อีกทั้งยังลงมือต่อหน้าข้าอีกด้วย
‘นี่คือองค์ชายสามมีจุดประสงค์อื่น หากข้าเป็นองค์ชายสาม สถานการณ์ใดที่ข้าจะทำแบบนี้กัน แล้วสถานการณ์ใดข้าถึงฆ่าคนต่อหน้าผู้มาเยือน’
สวี่ชิงหรี่ตา หลังจากนั้นครู่หนึ่งในใจก็มีคำตอบ
‘มีเพียงแค่สถานการณ์เดียวเท่านั้นคือข้าจะเอาจุดอ่อนของเผ่าเงือกไปขูดรีดเผ่าเงือก ถึงได้ทำเช่นนี้ หากไม่มีจุดอ่อน ก็สร้างมันขึ้นมา! ในขณะเดียวกันก็จะฆ่าต่อหน้าคนที่มาเยือน เพราะข้าจะทำให้คุณค่าของการฆ่ามีค่าขึ้นไปอีก ในขณะเดียวกับที่ขูดรีดเผ่าเงือก ก็ซื้อบุญคุณนับว่าคุ้มค่า
‘เงื่อนไขคือ คนที่มาเยือนคนนี้จะต้องมีคุณค่า’
สวี่ชิงนึกถึงภาพที่นายกองพูดเรื่องบนเกาะกิ้งก่าทะเลคล้ายจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม อีกฝ่ายมีเส้นสายสำหรับสืบข่าวที่ตนไม่รู้
นายกองมีได้ ไม่แน่ว่าองค์ชายสามก็มีเหมือนกัน
นอกจากนั้น สวี่ชิงนึกถึงกลิ่นอายที่จับพุ่งเป้ามายังตนบนผิวน้ำในวันนั้นที่ตนหนีมาจากเกาะกิ้งก่าทะเล วันนั้นเขาอยู่ใต้ทะเล มองไม่เห็นว่าเป็นใคร ตอนนี้ในดวงตาฉายประกายวาววาบขึ้นมา มีการคาดเดาที่มากยิ่งขึ้น
‘อีกทั้งสำนักเจ็ดเนตรโลหิตยอมให้เกิดเรื่องนี้ เช่นนั้นก็อธิบายได้เพียงว่า…จะทำสงครามกับเผ่าเงือกแล้ว!
‘ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ต้องไปจากที่นี่ระยะหนึ่ง!’
สวี่ชิงไม่แน่ใจว่าการวิเคราะห์ของตัวเองถูกต้องโดยสมบูรณ์หรือไม่ ดังนั้นเขาจึงวางแผนจากไปช่วงหนึ่ง ดูว่าเรื่องนี้มีอะไรตามมาภายหลังหรือไม่ หากทุกอย่างสงบ เช่นนั้นตนค่อยกลับมาก็ไม่สาย
ในเมื่อเขาขาดแค่ก้าวสุดท้ายก็จะเป็นผู้บำเพ็ญระดับรวมปราณขั้นสิบแล้ว จากนั้นหากทะลวงระดับสร้างฐานได้ ก็จะมีสิทธิ์ขึ้นเขา อีกทั้งยังมีสิทธิ์ได้รับการแบ่งผลประโยชน์ของสำนักเจ็ดเนตรโลหิตด้วย
หนึ่งเดือนอย่างน้อยจะได้รับปันผลเป็นห้าพันก้อนหินวิญญาณ อีกทั้งขอเพียงสำนักเจ็ดเนตรโลหิตดำรงอยู่ก็จะได้รับต่อไป นี่ทำให้สวี่ชิงใจหวั่นไหวนานแล้ว แน่นอนว่าเทียบกันแล้วมีชีวิตต่อไปสำคัญกว่า
ดังนั้นสวี่ชิงจึงไม่ลังเล เลือกที่จะจากไปคอยสังเกตการณ์ก่อน
อีกทั้งเขายังรู้สึกว่าฉวยโอกาสช่วงนี้ไปจัดการเรื่องใหญ่ที่ฝังอยู่ในใจตนมานานแล้วได้พอดี
ประกายเย็นเยือกในดวงตาสวี่ชิงกะพริบวูบ เขาจะถอนหนามอีกชิ้นหนึ่งที่ฝังอยู่ในใจมานานแล้วให้สิ้นซาก
นั่นก็คือ…บรรพจารย์สำนักวัชระ
ไม่ฆ่าคนคนนี้ กลางคืนสวี่ชิงยากจะข่มตาหลับ
หลังจากที่ตัดสินใจแบบนี้แล้ว สวี่ชิงก็ไม่เสียเวลา ในเสี้ยวพริบตาที่ฟ้าสางก็เก็บเรือเวท ร่างเพียงไหววูบก็มุ่งหน้าไปยังกรมปราบพิฆาต
“จะอย่างไรสำนักวัชระก็เป็นสำนักหนึ่งเหมือนกัน ต่อให้พลังจะค่อนข้างอ่อนแอ แต่การย้ายของพวกเขาก็ยากจะเก็บซ่อนร่องรอย การเคลื่อนไหวของทุกอย่างในขอบเขตขั้วอำนาจสำหรับสำนักเจ็ดเนตรโลหิตแล้ว ล้วนไม่มีอะไรที่เป็นความลับ”
ในช่วงเวลานี้ที่สวี่ชิงมาสำนักเจ็ดเนตรโลหิต ในฐานะที่เป็นสมาชิกคนหนึ่งของกรมปราบพิฆาต เขามีสิทธิ์อ่านเอกสารในกรม รู้ว่าสิ่งที่บันทึกส่วนใหญ่ในนั้นเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงในขอบเขตสำนักเจ็ดเนตรโลหิต
แม้จะละเอียดไม่เท่ากรมข่าวกรอง แต่สวี่ชิงสืบค้นได้ง่ายกว่าไปกรมข่าวกรอง
ดังนั้น ไม่นานหลังจากที่เขามาถึงกรมปราบพิฆาต ก็พุ่งตรงไปที่เก็บเอกสาร
และชื่อเสียงของเขาในกรมปราบพิฆาตมากกว่าข้างนอก ทุกอย่างนอกจากที่เขาแสดงความสามารถตอนภารกิจนกเขาราตรีแล้ว ยิ่งมาจากหัวของนักโทษประกาศจับหัวแล้วหัวเล่า
ดังนั้นลูกศิษย์ที่อยู่ส่วนเก็บเอกสารจึงเกรงใจเมื่อเขามาเยือนเป็นอย่างมาก ปล่อยให้สวี่ชิงอ่านข้างในคนเดียว ไม่นาน ในที่สุดสวี่ชิงก็หาเบาะแสที่อยากได้เจอจากข้อมูลสะเปะสะปะที่สำนักเจ็ดเนตรโลหิตไม่ค่อยให้ความสำคัญ
“ไปพึ่งลัทธินอกวิถีอย่างนั้นหรือ”
สวี่ชิงมองเอกสารข้างหน้า ดวงตาค่อยๆ หรี่ลง คนของลัทธินอกวิถีล้วนเป็นพวกบ้าคลั่ง ท่าทีของขั้วอำนาจอื่นๆ ที่มีต่อลัทธินอกวิถีคือทั้งเกลียดทั้งกลัว ดังนั้นหลายครั้งจึงล้วนหลีกเลี่ยงให้ไกล ไม่ค่อยติดต่อสัมพันธ์กับพวกเขาเท่าไร
‘น่าจะไม่ได้ย้ายเพราะข้า แต่เป็นเพราะของกำนัลแสดงคำขอโทษขององค์หญิงสองสาหัสหนักหน่วง ทำให้หลังจากที่สำนักวัชระจ่ายแล้วก็เสียหายหนัก ยิ่งเต็มไปด้วยความตื่นกลัว ดังนั้นจึงไม่กล้าอยู่ในพื้นที่ขั้วอำนาจเจ็ดเนตรโลหิตแล้ว’
สวี่ชิงลูบคาง จำทิศทางที่เกี่ยวกับสำนักวัชระที่เขียนไว้ในเอกสาร แล้วจึงไปจากกรมปราบพิฆาต
เดินอยู่บนถนนเขตท่าเรือ สวี่ชิงพึมพำครู่หนึ่ง ก็ไปหลายร้าน ขายของต่างๆ ที่ได้มาจากเกาะกิ้งก่าทะเลและคราบกิ้งก่าทะเลบางส่วน ทั้งยังซื้อของจำเป็นสำหรับเดินทางออกข้างนอกบางอย่าง กระทั่งสมุนไพรพิษก็ซื้อมากมาย
สุดท้ายเขายืนอยู่ข้างนอกร้านขายของวิเศษอักขระโดยเฉพาะร้านหนึ่ง หลังจากคิดๆ แล้ว ก็สะกดความเจ็บปวดใจต่อหินวิญญาณ แล้วเดินเข้าไป
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ตอนเขาเดินออกมา ในตัวเขาก็มีของวิเศษอักขระที่ใช้พิเศษชิ้นหนึ่งเพิ่มขึ้นมา ของวิเศษอักขระที่เปลี่ยนแปลงกลิ่นอายและหน้าตาได้ แม้จะไม่สมบูรณ์แบบมากแต่ก็มากพอให้สวี่ชิงใช้ได้ในครั้งนี้
ตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงวัน แม้ฤดูหนาวจะมาเยือน แต่ตำแหน่งทางภูมิศาสตร์ที่ตั้งของเมืองเจ็ดเนตรโลหิต ทำให้ฤดูหนาวของที่นี่ส่วนมากอบอุ่น แสงแดดตอนนี้นับว่าร้อนแรง ค่อนข้างเจิดจ้า
ดังนั้นเงาร่างของสวี่ชิงใต้แสงแดดหายไปในมุมตรอกแห่งหนึ่ง ยามออกมาอีกฝั่งหนึ่ง หน้าตาของเขาก็เปลี่ยนไปแล้ว ไม่หล่อเหลางดงามอีกต่อไป แต่เป็นชายกลางคนหน้ายาวใบหน้าอมโรค ชุดนักพรตบนร่างก็เปลี่ยนเป็นชุดคลุมยาวทั่วไป
ระลอกคลื่นพลังบำเพ็ญบนร่างก็เปลี่ยนไปเช่นกัน ไม่เป็นระดับรวมปราณขั้นเก้าอีกต่อไป แต่เป็นเหมือนระดับรวมปราณขั้นสามเช่นนั้น
เขารู้ดีว่าโลกภายนอกระดับรวมปราณขั้นเก้าล้วนแต่เป็นบุคคลที่มีตัวตนโดดเด่นเป็นอย่างมากกันทั้งนั้น มีเพียงคนเก็บกวาดที่อยู่ในระดับรวมปราณขั้นสามเท่านั้นที่จะมีทั้งพลังสยบในระดับหนึ่ง อีกทั้งในขณะเดียวกันก็เป็นระดับขั้นที่ไม่ดึงดูดความสนใจจากคนอื่น
สัมผัสถึงพลังการเปลี่ยนแปลงของของวิเศษอักขระ สวี่ชิงในใจระมัดระวังรอบกาย แต่ใบหน้ากลับไร้ซึ่งอารมณ์ เดินไปทางค่ายกลส่งข้าม
ไม่ได้ใช้ป้ายฐานะจ่าย แต่จ่ายด้วยหินวิญญาณ ไม่นาน สวี่ชิงที่ยืนอยู่ในค่ายกลส่งข้าม มองรอบๆ อย่างระแวดระวัง ก็ถูกแสงกลบมิดหายลับไปตามการส่องกะพริบจากแสงค่ายกล
ด้านตะวันออกของทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณอยู่ห่างจากสำนักวัชระในอดีต ในบริเวณที่ห่างกันหลายหมื่นลี้นั้นมีพื้นที่กว้างใหญ่ประชากรเบาบางอยู่แห่งหนึ่ง
พื้นที่รกร้างที่นี่เพราะมีหญ้าที่มีลักษณะเหมือนฟันสีแดงชนิดหนึ่งขึ้นอยู่ จึงได้รับชื่อว่าทุ่งสีชาด
มองไกลๆ แล้วเหมือนพื้นที่ทั้งผืนอาบย้อมไปด้วยเลือดสดๆ ในขณะที่ดูน่าสยดสยองแล้ว ไอพลังประหลาดที่ลอยอวลอยู่ในนั้นก็เข้มข้นมากกว่าพื้นที่อื่นๆ ในทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณเล็กน้อย ดังนั้นแล้วสัตว์ร้ายที่นี่จึงยิ่งดุดันโหดเหี้ยมยิ่งกว่า
ในสภาพแวดล้อมที่เทียบแล้วเลวร้ายกว่า เมืองย่อมมีไม่มาก มักจะเป็นระยะหลายร้อยลี้ถึงจะเจอเมืองหนึ่ง อีกทั้งสิ่งก่อสร้างและรูปแบบล้วนเป็นแบบดึกดำบรรพ์หยาบๆ ส่วนถ้ำยาจกที่นี่ส่วนมากล้วนเป็นคนเก็บกวาดรวมตัวกัน
ไม่ว่าจะเป็นลักษณะทางภูมิศาสตร์หรือประชากร ทุ่งสีชาดล้วนเป็นสถานที่ที่เลวร้ายมาก ดังนั้นตระกูลต่างๆ ในผืนอินทนิลจึงไม่เหลือบแล เจ็ดเนตรโลหิตยิ่งไม่สนใจ มีเพียงลัทธินอกวิถีเท่านั้นที่เนื่องจากคำสอนของลัทธิ พวกเขาจึงชอบพื้นที่ที่เลวร้ายในการเพิ่มจำนวนสาวกมากกว่า
ดังนั้นทุ่งสีชาดจึงกลายเป็นพื้นที่ของขั้วอำนาจลัทธินอกวิถีไปโดยปริยาย
ตอนนี้ที่ชายขอบทุ่งสีชาด ณ ค่ายกลส่งข้ามเพียงแห่งเดียวในทุ่งสีชาดที่ผืนอินทนิลและเจ็ดเนตรโลหิตร่วมกันสร้างไว้ที่ใจกลางเมืองโทรมๆ แห่งหนึ่ง ลำแสงส่องกะพริบวูบวาบ
เงาร่างของผู้บำเพ็ญกลางคนใบหน้าอมโรค สวมชุดคลุมยาวสีดำปรากฏขึ้นในค่ายกลส่งข้าม
เขาก็คือสวี่ชิงที่อาศัยของวิเศษอักขระแปลงร่างเปลี่ยนโฉมนั่นเอง
เพิ่งมาถึงยังไม่ทันจะออกไปจากค่ายกลส่งข้าม กลิ่นเน่าและเหม็นสะอิดสะเอียดก็ลอยมาตามลมจากรอบๆ หากเปลี่ยนเป็นคนอื่นที่ไม่เคยผ่านความยากลำบากมาก่อน ก็จะไม่ค่อยชินกับกลิ่นนี้แน่นอน
แต่สำหรับสวี่ชิง นี่ล้วนเป็นสภาพปกติของสถานที่ที่เขาเคยอยู่อาศัย เพียงแต่กลิ่นเน่าของที่นี่รุนแรงกว่าเล็กน้อยก็เท่านั้น
สวี่ชิงสีหน้านิ่งสงบ เดินออกมาจากค่ายกลส่งข้ามภายใต้สายตาเฉยชาขององครักษ์ที่เกียจคร้านเอื่อยเฉื่อยทั้งหลาย
เมืองที่สะท้อนในตา สิ่งก่อสร้างทุกอย่างล้วนเป็นสีเทาดำ เต็มไปด้วยความผุพังทรุดโทรม บนพื้นล้วนแต่เป็นขยะต่างๆ นานา สิ่งปฏิกูลเต็มไปหมด
ประชากรในเมืองมีน้อยมาก ล้วนแต่มีความระแวดระวังสูง ล้วนแต่ผลักไสซึ่งกันและกันอย่างรุนแรง
อีกทั้งผู้หญิงน้อยมาก ต่อให้มีก็ล้วนมีสีหน้าที่ดุดันเหี้ยมเกรียม ในขณะเดียวกัน ในมุมตรอกบางแห่งก็มีเด็กที่ซ่อนตัวอยู่ แต่ละคนสายตาล้วนไม่ใสซื่อบริสุทธิ์ บางคนมีกลิ่นอายความตายและความเย็นชา
ประเดี๋ยวเดียวก็มีเสียงกรีดร้องและเสียงด่าทอดังออกมาจากเมืองแห่งนี้
‘เหมือนเป็นฐานที่มั่นคนเก็บกวาดยิ่งกว่า’
สวี่ชิงกวาดสายตารอบๆ เดินไปข้างหน้าอย่างสงบนิ่ง
สวี่ชิงไม่สนใจสายตาที่ระมัดระวังและแฝงด้วยรอยประจบประแจงที่มองมายังตนตลอดทางมานี้เลย ไม่โอ้เอ้อยู่ในเมืองแห่งนี้นาน หลังจากออกจากเมือง เขาก็พลันระเบิดความเร็วขึ้น พุ่งไปทางพื้นที่รกร้างอย่างรวดเร็ว
ที่ที่สำนักวัชระย้ายไปคือบนทุ่งสีชาดแห่งนี้ เพียงแต่ไกลจากเมืองที่สวี่ชิงส่งข้ามมาตอนนี้เล็กน้อย
ตอนที่มาสวี่ชิงดูแผนที่ของจากกรมปราบพิฆาต ตอนนี้ในใจกำหนดทิศทางหนึ่ง พุ่งทะยานไปในพื้นที่รกร้าง
ความเร็วของเขารวดเร็วมาก ลมที่ปะทะหน้ามาพร้อมกับความหนาวเสียดกระดูก ทั้งยังเหมือนว่ามีเกล็ดหิมะปะปนมาในนั้นด้วยเลาๆ กระทั่งว่าเนินเขาไกลๆ บางแห่งยังเห็นหิมะขาวปกคลุมบางๆ
ฤดูหนาวที่อบอุ่นสำหรับเมืองเจ็ดเนตรโลหิตแล้ว ที่นี่เป็นความหนาวเย็นเยียบที่ค่อยๆ ย่างเยื้องมาถึง
ความเหน็บหนาวเช่นนี้ปลุกความทรงจำมากมายยามอดีตในหัวของสวี่ชิงให้ตื่นขึ้น โดยเฉพาะสัตว์ร้ายและกระดูกมากมายที่เขาได้เห็นในยามที่อยู่บนเส้นทางพื้นที่รกร้างเส้นนี้
‘โลกาวินาศ’ แววตาสวี่ชิงนิ่งสงบ เร่งความเร็วยิ่งกว่าเดิม
เวลาไหลไปเช่นนี้ กลางดึกมาเยือน จากความเย็นเยียบยามราตรีที่แผ่ซ่าน ในยามที่ลมแรงขึ้น หิมะฉายความโหดเหี้ยมออกมา สวี่ชิงที่ออกมาจากเมืองได้ระยะทางหนึ่ง เข้ามาในทุ่งสีชาดโดยสมบูรณ์ จู่ๆ ฝีเท้าก็หยุดนิ่ง เงยหน้ามองไปที่ไกล
ลมพัดมาจากตรงนั้น มาพร้อมกับรอยยิ้มเหี้ยมเกรียมและกลิ่นคาวเลือด
มองเห็นรางๆ ว่าในบริเวณไกลลิบที่เห็นหิมะนั้นมีศพเกลื่อนพื้น ในนั้นมีประชาชน มีองครักษ์ และยังมีข้าวของกระจัดกระจายและรถม้าที่แหลกละเอียด
นี่เห็นได้ชัดว่าเป็นขบวนรถที่จะมุ่งหน้าไปที่เมือง
และข้างๆ ศพเหล่านั้นในตอนนี้มีคนร้ายสิบกว่าคนที่สวมชุดขาดๆ ผมสยายรุงรัง สีหน้าเหี้ยมเกรียม แววตาฉายความดุดันกระหายเลือด บนร่างส่วนมากมีระลอกคลื่นพลังระดับสองระดับสาม
ในพวกเขามีคนที่แทงศพซ้ำ มีคนที่พลิกค้นข้าวของ มีคนที่ลากศพไปไกลๆ และยิ่งไปกว่านั้นยังมีหลายคนที่ทับอยู่บนศพของผู้หญิงร่างเปลือยเปล่า ระบายความเดรัจฉานของตัวเองออกมา
ที่ไกลออกไป มีแสงไฟรางๆ เหมือนกำลังใช้ชีวิต หุงหาอาหาร สิ่งที่ลอยมาตามลมคือไออุ่นที่หลงเหลือบางเบา
เห็นได้ชัดว่าขบวนรถขบวนนี้เจอกับคนชั่วช้าที่นี่เข้า ตายอย่างอเนจอนาถน่าสังเวชหมด
การมาเยือนของสวี่ชิงสร้างความระแวงระวังของคนชั่วช้าพวกนี้ที่นี่ทันที ตอนนี้ต่างพากันเงยหน้าขึ้นมา จดจ้องสวี่ชิงอย่างโหดเหี้ยม
หลังจากค้นพบพลังบำเพ็ญระดับสามในกายของสวี่ชิง คนชั่วช้าพวกนี้ก็ต่างหัวเราะเหี้ยมเกรียมออกมา ความโหดเหี้ยมปะทุ พุ่งใส่สวี่ชิงทันทีโดยไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว
พวกเขาคิดว่าสวี่ชิงจะเป็นเหยื่อของพวกเขา
สวี่ชิงมองคนชั่วช้าที่พุ่งเข้ามาหาอย่างเย็นชา สำหรับเขา การฆ่าสังหารเบื้องหน้า เขาเห็นมามากมายนักตั้งแต่เด็กจนโต
และประสบการณ์ของคนเก็บกวาดก็ทำให้เขารู้ว่าขบวนรถในที่รกร้างที่กล้าเดินทางในพื้นที่รกร้างนั้น เดิมก็น้อยนักที่จะมีพวกที่ใจดีมีเมตตา หรือเจอคนที่อ่อนแอ ความจริงส่วนมากก็มักจะแปลงร่างเป็นผู้แย่งชิง ฆ่าสังหาร
โลกาวินาศก็เป็นเช่นนี้แล ดังนั้น ฆ่าคนกับถูกฆ่าเป็นเรื่องที่ปกติมาก เขาไม่ได้มีความเห็นอกเห็นใจมากมายมาใช้พร่ำเพรื่อและไปตรวจสอบว่าใครดีใครชั่ว
แต่…ในเมื่อคนพวกนี้จะลงมือกับตน เช่นนั้นก็ไม่เหมือนกันแล้ว