ผู้พิทักษ์รัติกาลแห่งต้าฟง - บทที่ 101 ยึดทรัพย์
พนักงานเต่าถูกตีก็ไม่โกรธสักนิด รอยยิ้มยังประดับอยู่บนใบหน้า ท่าทางเคารพนบน้อมถึงขั้นมีความประจบสอพลออยู่ด้วย
“ท่านรอสักครู่ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้ คุณชายหยางอุตส่าห์ให้เกียรติมาเยือน นายหญิงรู้เข้าจะต้องดีใจมากแน่ๆ ขอรับ”
สวี่ชีอันเรียกใช้ฝูเซียงอยู่บ่อยครั้ง คนในลานเชื่อมานานแล้วว่าเขาคือคนรักของแม่นางคณิกา พนักงานต้อนรับตัวน้อยหยิ่งยโสเย็นชากับแขกคนอื่นๆ แต่ไม่กล้าละเลยสวี่ชีอัน
แทบจะรอเลียแข้งเลียขาไม่ไหว
สวี่ชีอันนำหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลเข้าไปในเรือน ต้นบ๊วยที่มุมกำแพงส่งกลิ่นหอมลอยโชย กำแพงสีขาวกระเบื้องดำ งามสง่าอย่างยิ่ง
เมื่อนางคณิกาได้ยินว่าสวี่ชีอันมาเหมาที่นั่งจึงให้สาวใช้แต่งหน้าอย่างงดงามประณีตทันที นางสวมกระโปรงยาวลากพื้นสีขาวชมพู เผยให้เห็นกระดูกไหปลาร้าละเอียดอ่อนกับลำคอขาวสล้าง
เกาะอกสีขาวเดี๋ยวผลุบเดี๋ยวโผล่ท่ามกลางผ้าบางโปร่งใส
ฝูเซียงมารับแขกด้วยตัวเอง นางเทเหล้ารินชาให้กับสวี่ชีอัน บางครั้งก็เอ่ยคำพูดข้างหูบ้าง รอยยิ้มงามราวกับบุปผา
ฆ้องทองแดงทั้งคณะเห็นแล้วอิจฉาเป็นที่สุด
ฝูเซียงนั้นเป็นคณิกาที่มีชื่อเสียงยิ่ง และหลังจากกลอน ‘กลิ่นหอมละมุนคลุ้งกลางจันทรายามสายัณห์’ เผยแพร่ออกไป ค่าตัวของนางก็เพิ่มสูงขึ้น
ได้ยินมาว่าไม่ได้รับแขกอีกแล้ว อย่างน้อยกับคนธรรมดาก็เป็นไปไม่ได้
แม้ว่าจะเป็นเช่นนี้ แต่แขกที่มาดื่มสุราฟังดนตรีและดื่มชาสนทนากันในหออิ่งเหมยก็ยังมีมากมายราวกับปลานิลกระโดดข้ามแม่น้ำ เพราะฝูเซียงจะออกมาเป็นเจ้าภาพในบางครั้งบางคราวและจัดให้ทุกคนได้เล่นดื่มสุรากัน
พอดื่มสุราไปได้สามรอบ สวี่ชีอันก็ขยิบตาให้กับซ่งถิงเฟิงแล้วลุกขึ้น “สหายร่วมงานทุกท่าน ข้าแซ่สวี่คออ่อนนัก ขอไปพักผ่อนก่อน พวกท่านสนุกกันไปเถิด”
เหล่าฆ้องทองแดงย่อมไม่มีความเห็นใด แต่ละคนสบตากันแล้วหัวเราะหึๆ ออกมา
นัยน์ตาของฝูเซียงกลอกหมุน เหลือบมองสวี่ชีอันอย่างแปลกประหลาด ปล่อยให้เขาโอบไหล่หอมกรุ่นจากไป
…
หลังจากอาบน้ำเสร็จ สวี่ชีอันก็สวมชุดคลุมสีขาว เอนนั่งอย่างเกียจคร้าน ในมือถือแก้วเหล้า
“คุณชายสวี่พาสหายร่วมงานมาดื่มสุราน้อยครั้งนักเจ้าค่ะ” ฝูเซียงที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จเหมือนกันและมานั่งอยู่บนเตียงที่ค่อนข้างอยู่ห่างไป นางเอียงศีรษะแล้วเช็ดผม
ผิวของนางนุ่มนวล ใบหน้าไร้ที่ติท่ามกลางเงาเทียนสั่นไหวนั้น นางดูมีเสน่ห์ลึกลับขึ้นมาไม่น้อย
“เรื่องนี้พูดแล้วยาว” สวี่ชีอันดื่มเหล้าหนึ่งอึกแล้วถอนหายใจ “สองสามวันก่อนมีฆ้องทองคำสองคนถูกใจข้า ล้วนอยากจะให้ข้าไปอยู่ใต้บังคับบัญชา จึงทะเลาะกันในหน่วยงานลาดตระเวนยามวิกาล”
ฝูเซียงลงจากเตียง กระโปรงเลื่อนลงมาคลุมขายาวสีขาวราวหิมะทั้งสองข้าง นางโอบกอดสวี่ชีอันจากด้านหลังแล้วยิ้มแผ่วเบาพร้อมเอ่ย “เจอคนอิจฉาตาร้อนใส่หรือเจ้าคะ”
“โรคตาร้อนเช่นนี้มีมาตั้งแต่โบราณ” สวี่ชีอันไม่ได้ปฏิเสธ
“คุณชายสวี่บอกมาโดยเร็วเถอะว่าข้าน้อยจะให้ความบันเทิงแก่สหายร่วมงานแทนท่านได้ดี” ฝูเซียงเอ่ยอย่างเสียใจ
นางไม่ได้สนใจฆ้องทองแดงคนอื่นๆ ตอนนั่งอยู่ด้วยกันนัก
“ไม่จำเป็น” สวี่ชีอันแย้มยิ้ม
เขาไม่ได้ขาดความสามารถด้านมนุษยสัมพันธ์ เขาพลิกมือมากอดฝูเซียงไว้ในอ้อมแขนแล้วเทแก้วสุราลงไป เหล้าเย็นๆ ไหลไปตามลำคอขาวราวหิมะของฝูเซียง
“ดื่มเหล้าแบบนี้สิถึงจะสนุก” สวี่ชีอันก้มหน้าพร้อมยิ้มกว้าง
ฝูเซียงที่ทั้งตัวเต็มไปด้วยกลิ่นเหล้ากลับไปแช่น้ำอีกครั้ง สวี่ชีอันจึงอ้างว่าจะออกไปสูดอากาศ เขาออกจากห้องนอนหลักไปดูที่ห้องสุรา เหล่าสหายร่วมงานกำลังเล่นเกมอย่างมีความสุขท่ามกลางเสียงดนตรี ราวกับได้เปิดโลกใบใหม่ออกมา
อันที่จริงขอเพียงมีเงินเพียงพอ เหล่าสาวใช้ในลานของสำนักสังคีตก็จะไม่ปฏิเสธ ตั้งแต่โบราณมาล้วนเป็นเช่นนี้
สวี่ชีอันกระโดดขึ้นไปบนกำแพง หยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาจากอกเสื้อแล้วเผามัน
เขาเงยหน้าขึ้น ปราณใสสองสายพุ่งผ่านค่ำคืนมืดมิด แวบหนึ่งก็หายวับไป
ในสายตาของเขามีปราณแต่ละอย่างแต่ละชนิดปรากฏขึ้นมา โลกก็เปลี่ยนไปเป็นมีสีสันพร่างพราว
สวี่ชีอันรู้มาจากทางฉู่ไฉ่เวยว่าสีเขียวมรกตหมายถึงไอปีศาจ ตอนที่ลาดตระเวนยามวิกาลวันนั้น เขามองเห็นแสงสีเขียวกะพริบวูบอยู่กลางอากาศเหนือสำนักสังคีตอย่างชัดเจน
นี่หมายความว่าในสำนักสังคีตมีมารปีศาจซ่อนตัวอยู่ เป็นการคาดเดาที่ใจกล้าอย่างยิ่ง เพราะสำนักสังคีตเป็นสถานที่ที่ขุนนางระดับสูงมักจะมาดื่มสุราหาความสุขกัน สถานที่เช่นนี้กลับมีมารร้ายซ่อนตัวเสียได้
แต่นี่คือความจริง
ครั้งนี้สวี่ชีอันจดจำหลักการที่ว่าไม่หาเรื่องตายก็จะไม่ตายได้อย่างดี เขาไม่ได้จ้องมองไปทางสำนักโหราจารย์เพื่อเลี่ยงไม่ให้ถูกท่านโหราจารย์ทำให้ตาสุนัขของเขาบอดอีก
เขากวาดมองอากาศเหนือของสำนักสังคีต ทุกที่ที่มองไปก็มีสีสันมากมายส่องประกาย แต่ไม่มีไอปีศาจ
“มารร้ายหนีไปแล้ว…หรือว่าใช้วิธีการพิเศษมาซ่อนตัวอยู่” สวี่ชีอันกระโดดลงจากกำแพงแล้วกลับเข้าไปในห้องส่วนตัวของคณิกาฝูเซียง
…
ฝูเซียงนอนขดตัวอยู่ในอ้อมกอดของสวี่ชีอัน ดวงตาเป็นประกายวาววับ “คุณชายสวี่ ไถ่ตัวให้ข้าน้อยได้หรือไม่เจ้าคะ”
พูดเรื่องเงินแล้วทำร้ายความรู้สึกยิ่งนัก…สวี่ชีอันผู้อยู่ในช่วงทำตัวเป็นปัญญาชนไม่หวั่นไหว
หญิงคณิกาบิดตัวแล้วเอ่ยอย่างแง่งอน “ขอเพียงให้ตัวข้าเป็นอนุคนหนึ่งก็พอใจแล้ว คิดเพียงอยากจะรับใช้อยู่ข้างกายคุณชายสวี่เท่านั้นเจ้าค่ะ”
สวี่ชีอันลูบศีรษะนาง นิ้วมือเคลื่อนผ่านผ้าไหมสีคราม “อย่าซุกซน ความรู้สึกจริงใจเช่นนี้ของพวกเราไม่ควรแปดเปื้อนด้วยเรื่องเงินทอง”
ขอบตาของฝูเซียงแดงก่ำ เอ่ยพร้อมน้ำตา “ท่านแค่ต้องการเล่นสนุกกับข้า พอเล่นจนเบื่อแล้วก็จะผลักไสข้าออกไป”
นี่เจ้าจับได้แล้วหรือ! สวี่ชีอันครุ่นคิดอย่างประหลาดใจ
ปากเขาก็เอ่ยอย่างจนปัญญา “เจ้าเป็นคณิกาของสำนักสังคีต การไถ่ตัวเจ้า หากไม่มีสักสี่ห้าพันตำลึงก็เป็นไปไม่ได้หรอก อีกอย่างไม่แน่ว่ากรมพิธีการอาจไม่ยอมรับ”
“หลายปีมานี้ข้าน้อยได้เก็บเงินเอาไว้ส่วนหนึ่ง อีกอย่างข้าก็ได้จ้างคนไปถาม ฆ้องทองแดงใช้เวลาแค่สามปีก็สามารถซื้อบ้านในเมืองชั้นในได้แล้ว” ฝูเซียงกอดเขา อ้อนวอนเสียงเบา “คุณชายสวี่ ไถ่ตัวข้าเถิดนะเจ้าคะ”
คณิกามากมารยาไม่เพียงรู้จักการแง่งอน แต่ยังใช้ประโยชน์จากต้นทุนของตัวเองอย่างเต็มที่ ส่วนนูนเด่นงดงามเปล่งปลั่งแนบชิดติดกับสวี่ชีอัน
ดวงตาแฝงด้วยหยาดน้ำตาคลอ น่าสงสารยิ่งนัก
สวี่ชีอันขมวดคิ้ว นี่ไม่ใช่เรื่องน่าลำบากใจอะไร ชาติก่อนเขาก็เคยพบผู้หญิงประเภทนี้ที่รู้จักการทำตัวแง่งอนเอาแต่ใจ จะซื้ออันนั้นจะซื้อนั้นนี้ (ของหรูหรา) แต่สวี่ชีอันก็จัดการได้
เขาแค่แปลกใจนิดหน่อย คณิกาผู้มีชื่อเสียงโด่งดังคนหนึ่งที่ธุรกิจกำลังรุ่งเรืองก้าวหน้าและกำลังอยู่ในวัยแรกแย้ม แม้ว่าอยากจะกลับใจไปเป็นฝั่งเป็นฝา แต่มันไม่เร็วไปหน่อยหรือ
อีกอย่าง ถึงแม้ว่าหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลจะทำให้เหล่าขุนนางหวาดกลัวเพราะเหตุผลทางโครงสร้าง แต่ด้วยตำแหน่งของฝูเซียง การไปเป็นอนุให้ข้าราชการระดับสี่ก็มีกินมีใช้เหลือเฟือแล้ว
“เรื่องนี้ไม่รีบร้อน รอให้ข้าเก็บเงินได้จำนวนหนึ่งแล้วค่อยมาไถ่ตัวเจ้า” สวี่ชีอันเอ่ยอย่างขอไปที เขากอดเรือนร่างนุ่มลื่นของคณิกาเอาไว้ ทำให้ตนหลับใหลในสามวินาที
ท่ามกลางความมืดมิด ฝูเซียงจ้องมองใบหน้าของสวี่ชีอันอย่างเงียบเชียบ นัยน์ตาสว่างชัด
…
วันต่อมายามเช้าตรู่ คนทั้งคณะก็ออกจากสำนักสังคีต
เมื่อเหล่าฆ้องทองแดงเห็นสวี่ชีอันก็เอ่ยทักทายพร้อมรอยยิ้ม ความสัมพันธ์สนิทสนมขึ้นมามาก ถ้าหากก่อนหน้านี้เพียงแค่เห็นสวี่ชีอันเป็นสหายร่วมงาน ตอนนี้ก็เห็นเขาเห็นสหายน้อยแล้ว
ผลลัพธ์ดียิ่งนัก
ความจริงตราบใดที่ไม่ใช่ผู้ที่มีจิตใจริษยาจนเกินไปหรือมีตำแหน่งสูงเกินไป ฆ้องทองแดงในระดับเดียวกันก็จะไม่เกลียดชังเขาอย่างไร้สมองหรอก
ความคิดจิตใจยืดหยุ่น สนองตามความต้องการของผู้อื่น เปิดเผยมีน้ำใจ คนส่วนมากยินดีจะคบหาสวี่ชีอันอยู่แล้ว
ด้วยเหตุนี้ สถานะของเจ้าคนโชคขี้หมาที่ถูกฆ้องทองคำสองคนต้องตาก็เปลี่ยนไปเป็น ‘เจ้าคนที่ถูกฆ้องทองคำต้องตาผู้นี้คือเพื่อนของข้าเอง’
ขณะที่เดินและพูดคุยกันตามทาง จู่ๆ ฆ้องทองแดงคนหนึ่งก็เอ่ยพร้อมรอยยิ้ม “หนิงเยี่ยนช่างเป็นอัจฉริยะจริงๆ ทำให้ข้ารู้ว่าเมื่อก่อนข้าช่างโง่เง่าและน่าเบื่อมากขนาดไหน”
เหล่าสหายร่วมงานหัวเราะใจดีและคลุมเครือ
สวี่ชีอันยักไหล่ ไกลับไปข้าจะสอนวิธีการเล่นที่สนุกยิ่งกว่านี้พวกเจ้า”
สนุกยิ่งกว่า…ดวงตาของทุกคนเปล่งประกาย
เมื่อมาหนึ่งหน่วยงานของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลตอนยามเหม่า[1] หลังจากประชุมศาลแล้ว สวี่ชีอันและพวกซ่งถิงเฟิงทั้งสามคนก็มาอยู่ที่ห้องข้างของโถงชุนเฟิง ดื่มชาไปสองสามคำและกำลังเตรียมจะออกไปลาดตระเวนที่ท้องถนน เจ้าพนักงานคนหนึ่งก็รีบร้อนวิ่งเข้ามา
“ใต้เท้าทั้งสาม ใต้เท้าหลี่ให้มาเชิญขอรับ”
มีงานแล้ว…พวกสวี่ชีอันสามคนแขวนดาบพกแล้วเดินเคียงบ่าไปยังโถงชุนเฟิง
หลี่อวี้ชุนแต่งกายพิถีพิถันผสานไปกับโถงชุนเฟิงอันเป็นระเบียบเรียบร้อยเช่นเดียวกันได้อย่างสมบูรณ์แบบ ไม่มีโดดออกมาแม้แต่น้อย
พี่ชุน ใช้ชีวิตแบบนี้มันเหนื่อยมากนะ…สวี่ชีอันรู้สึกเห็นใจต่อโรคย้ำคิดย้ำทำของหัวหน้าเล็กน้อย
หลี่อวี้ชุนชี้ไปยังใบเอกสารสามใบบนโต๊ะ “วันนี้ต้องไปยึดทรัพย์ พวกเจ้าสามคนเป็นตัวแทนข้าไป ข้ายังต้องทำแบบเดียวกันซ้ำๆ พวกเจ้าอย่าได้ทำเกินจำเป็น อีกหนึ่งเค่อไปรวมตัวกันที่ลานด้านหน้า แล้วตามสหายร่วมงานคนอื่นๆ ไป”
คิดไม่ถึงว่าจะเป็นการค้นบ้านยึดทรัพย์!
สวี่ชีอันตกใจ ค้นบ้านยึดทรัพย์คือหนึ่งในหน้าที่ของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล เป้าหมายคือขุนนางต้องโทษ
“นี่คือเอกสารไ หลี่อวี้ชุนนำเอกสารที่ส่งมาให้เขามอบให้คนทั้งสามดู
เป้าหมายในการยึดทรัพย์ครั้งนี้คือหัวหน้ากรมทองของกรมการคลัง ข้าราชการขั้นหก ได้รับโทษเนรเทศและยึดทรัพย์โทษฐานที่ทุจริตละเลยหน้าที่
สิ่งที่เรียกว่า ‘ยึดทรัพย์’ ก็คือการริบมรดกตกทอดและทรัพย์สินในบ้านทั้งหมดเข้าสู่หลวง เมื่อดูที่โลกก่อนของสวี่ชีอัน นี่ก็คือการริบทรัพย์ส่วนตัวของผู้ต้องหา
หลี่อวี้ชุนเหลือบมองสวี่ชีอันแล้วเอ่ย “คนผู้นี้คือผู้ใต้บังคับบัญชาของรองเจ้ากรมโจวแห่งกรมการคลัง”
นี่คือกำลังบอกสวี่ชีอันว่าเรื่องนี้เป็นผลที่ตามมาจากคดีเงินภาษี
การล่มสลายของลูกพี่ใหญ่ในราชสำนักก็ต้องนำมาซึ่งการปลดตำแหน่งและลงโทษเหล่าขุนนางที่แนบติดมาพร้อมกับเขาด้วย ก็เหมือนกับล้างโคลนออกจากหัวไชเท้า
พวกสวี่ชีอันทั้งสามคนรับคำสั่งแล้วจากไป ระหว่างทางไปลานด้านหน้า ซ่งถิงเฟิงก็เอ่ยขึ้น “นี่เป็นครั้งแรกที่เจ้าเข้าร่วมการยึดทรัพย์ ยังไม่รู้กฎบางอย่าง ข้าจะบอกเจ้าเอง เวลายึดทรัพย์ เจ้าพนักงานจะนำของมีค่าออกมาวางที่ลานด้านหน้าแล้วบันทึกลงในบัญชี จากนั้นก็นำกลับมายังหน่วยงานราชการ แต่พวกเขาจะไม่เข้าร่วมการค้นหา”
เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ ซ่งถิงเฟิงก็ทำสีหน้าแบบที่ว่า ‘เจ้าก็รู้’ ออกมา
คนเจนโลกอย่างสวี่ชีอันเข้าใจความหมายในทันที
ไแต่ฟังจากความหมายของหัวหน้าแล้ว…” สวี่ชีอันลองหยั่งเชิง
“เฮ้ย เจ้าไม่ต้องไปสนใจเขา” ซ่งถิงเฟิงเบ้ปาก ไหัวหน้าน่ะเป็นพวกบื้อ ไม่รู้จักพลิกแพลง พวกเราต้องหาผลประโยชน์ให้ตัวเองอย่างสมเหตุสมผลสิ”
ก็ค่อนข้างจะเป็นการแสวงหาผลประโยชน์อย่างมีเหตุผลจริงๆ นั่นแหละ สวี่ชีอันพยักหน้า
ซ่งถิงเฟิงเหมือนกับเขา ไม่อยากไปรีดไถพ่อค้าหรือข่มขู่ชาวบ้าน แต่ตอนนี้มันคือการยึดทรัพย์ สิ่งที่ถูกยึดคือบ้านของขุนนางทุจริต
เดิมทีเงินนี่ก็ไม่สะอาดอยู่แล้ว เพราะไปปอกลอกขนแกะของต้าฟ่งมา ไม่ใช่ขนแกะของชาวบ้าน
เรื่องแบบนี้ไม่ว่าจะเป็นชาติก่อนหรือชาตินี้ เขาล้วนเคยเห็นมาหลายครั้ง สวี่ชีอันแสดงท่าทางไม่คัดค้านไม่เห็นด้วย
การยึดทรัพย์ครั้งนี้ประกอบด้วยฆ้องเงินหนึ่งคนเป็นผู้นำ ฆ้องทองแดงอีกสี่กอง และเจ้าหน้าที่พลเรือนอีกยี่สิบสี่นาย
ฆ้องทองแดงทุกคนมาจากฆ้องเงินที่แตกต่างกัน ระบบการรวมตัวแบบหลายกลุ่มมีไว้เพื่อกำกับดูแลและรายงานความประพฤติของกันและกัน
ระบบนี้ดี เพียงแต่พอนานเข้า ทุกคนก็เข้าใจกันและกัน ล้วนหยิบไปแค่เล็กๆ น้อยๆ เท่ากับว่าไม่มีใครหยิบไปเลย
เมื่อฟังเกร็ดความรู้ของซ่งถิงเฟิงแล้ว ทั้งสามคนก็มายังลานด้านหน้า เห็นว่ามีฆ้องทองแดงกำลังรวมตัวกันอยู่
ผู้นำคือฆ้องเงินหนุ่มคนหนึ่ง อายุสามสิบต้นๆ ริมฝีปากบาง คิ้วและตาเผยให้เห็นความไม่ยอมใคร แค่มองหน้าก็รู้แล้วว่าไม่ใช่คนที่จะเข้าด้วยได้ง่าย
ซ่งถิงเฟิงพาสหายร่วมงานสองคนเข้าไปใกล้ หยิบใบเอกสารออกมาจากอกเสื้อแล้วส่งไปให้ฆ้องเงิน
เมื่อฆ้องทองแดงผู้นั้นเห็นทั้งสามเดินเข้ามา แววตาก็เฉียบคมขึ้นมาทันใด เขาเอ่ยเสียงขรึม “พวกเจ้าสามคนมาสาย”
สวี่ชีอันเอ่ยอย่างประหลาดใจ “พวกเราไม่ได้มาสายนะขอรับ”
พอได้รับข่าวพวกเขาก็มาทันที แม้ว่าระหว่างทางจะพูดคุยกัน ไม่ได้เดินเร็วนัก แต่ไม่มีทางเกินกว่าหนึ่งเค่อแน่นอน
เมื่อฆ้องเงินได้ยิน คิ้วก็ตั้งขึ้น แววตาคมกริบขึ้นมาทันที เขาดึงดาบพกหลังเอวออกมาแล้วตบไปที่แก้มของสวี่ชีอัน
ท่ามกลางเสียงตัดอากาศ ร่างของสวี่ชีอันเอนไปด้านหลังเล็กน้อย พริบตาเดียวก็หลบการชักตีอย่างโหดเหี้ยมไปได้
ฆ้องเงินคล้ายจะคิดไม่ถึงว่าสวี่ชีอันจะหลบได้ เขาชะงักไปแล้วพูดพร้อมยิ้มชั่วร้าย “ยังกล้าหลบหรือ”
ไใต้เท้า ใต้เท้า…” ซ่งถิงเฟิงรีบร้อนเข้ามาแทรกระหว่างทั้งสองคน ทำหน้าตาเขินอายพลางกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ใช่ขอรับ พวกเรามาสายขอรับ ใต้เท้าท่านอย่าได้มีโทสะ จะทำให้ธุระล่าช้า ยังมีงานรอท่านอยู่นะขอรับ”
เขาสามารถยกเรื่องยึดทรัพย์มาพูดได้
แต่ใครจะรู้ว่าฆ้องเงินผู้นี้จะไม่ไว้หน้ากัน เขายกเท้าขึ้นเตะท้องน้อยของซ่งถิงเฟิงจนกระเด็นออกไป ดิ้นรนอยู่พักหนึ่งก็ไม่ได้ยืนขึ้นมา
เขากำลังเพ่งเล็งข้า…แต่ข้าไม่ได้ไปขัดใจเขาเลยนะ…ในใจของสวี่ชีอันมีไฟโทสะพุ่งขึ้นมา เขาแตะด้ามดาบโดยไม่รู้ตัว
ฆ้องเงินหรี่ตาลง ไม่โกรธแต่กลับยิ้ม แล้วยังตบฝักดาบลงมาอีกครั้งพร้อมเอ่ยยิ้มเยาะ “ทำไม จะชักดาบสู้หรือ เจ้าคู่ควรหรือ”
ชักดาบออกมาข้าก็ตายแน่น่ะสิ…สวี่ชีอันยกมือขึ้นกั้นสองสามครั้ง กระดูกถูกตีจนปวดแสบปวดร้อน
มีคนดูอยู่ตั้งมากขนาดนี้ ออกจะขายหน้านิดหน่อย
เมื่อเห็นสวี่ชีอันหวาดกลัว ฆ้องเงินก็ตบลงไปอีกสองสามครั้งแล้วยิ้มเย็น “ไสหัวเข้าไป”
พวกสวี่ชีอันสามคนเข้าไปในกลุ่ม
จากนั้นก็ยังมีฆ้องทองแดงเข้ามาเพิ่มอีกหลายต่อหลายคน ฆ้องเงินผู้นั้นก็ไม่สนใจไม่ไถ่ถาม ปล่อยให้พวกเขาเข้ามาในแถว
เมื่อเห็นภาพนี้ สวี่ชีอันก็แน่ใจอย่างยิ่งว่าฆ้องเงินผู้นี้เพ่งเล็งมาที่เขา ที่น่าสงสัยก็คือตนไม่ได้ไปขัดใจอะไรเขานี่
“โชคดีที่เมื่อกี้เจ้าไม่ได้ชักดาบออกมา ไม่อย่างนั้นเจ้าจบสิ้นแน่” มีคนเอ่ยขึ้นด้านหลัง
สวี่ชีอันหันหน้าไปมอง เขาคือฆ้องทองแดงที่เมื่อคืนไปดื่มสุราเคล้านารีด้วยกัน
“ข้าไม่ได้โง่ขนาดนั้น ชักดาบใส่ฆ้องเงินก็เป็นความผิดมหันต์น่ะสิ” เขาพูด
ฆ้องทองแดงพยักหน้าแล้วเอ่ยเสียงเบา “เขาแซ่จู เป็นฆ้องเงินที่อายุน้อยที่สุดในหน่วยงานราชการ”
สวี่ชีอันกล่าวอย่างหดหู่ “ข้าไม่รู้จักเขา”
ฆ้องทองแดงส่งเสียง “อืม” ออกมา “บิดาของเขาก็แซ่จู”
ในใจของสวี่ชีอันบอกว่านี่ไม่ใช่คำพูดไร้สาระ แล้วได้ยินจูกว่างเสี้ยวที่อยู่ข้างๆ เอ่ยเสียงต่ำว่า “ฆ้องทองคำจูหรือ”
ฆ้องทองแดงผู้ดื่มเหล้าเคล้านารีด้วยกัน “อืม” ออกมาแล้วกล่าวเสริม “เขาเป็นฆ้องเงินที่อายุน้อยที่สุด และเป็นชายหนุ่มมีความสามารถเป็นที่จับตามองที่สุดในหน่วยงานราชการเมืองหลวงของพวกเรา อืม ก่อนที่สวี่ชีอันจะปรากฏตัว วันก่อนข้าไปดื่มเหล้ากับฆ้องทองแดงใต้บังคับบัญชาของเขา ได้ยินเขาพูดว่าฆ้องเงินจูไม่ชอบหน้าเจ้าอย่างยิ่ง และไม่ใช่แค่ครั้งเดียวที่พูดว่าเจ้าเป็นแค่ฆ้องทองแดงตัวเล็กจ้อย…”
ตอนนี้เอง สายตาคมกริบของฆ้องเงินจูก็กวาดมองมายังทุกคน ฆ้องทองแดงคนนั้นเงียบลงทันที
……………………………………….
[1] ยามเหม่า เท่ากับเวลา 05.00 น. จนถึง 06.59 น