ผู้พิทักษ์รัติกาลแห่งต้าฟง - บทที่ 103-2 ตัดเอว
ฆ้องทองคำจูเคยได้ยินชื่อของเจ้าคนต่ำช้าผู้นี้ เจียงลวี่จงและหยางเยี่ยนทะเลาะกันก็เพราะเขา เป็นแค่ฆ้องทองแดงตัวเล็กๆ คนหนึ่ง กลับสามารถทำร้ายลูกชายเขาได้เชียวหรือ
“ตอนรวมกลุ่มกัน ฆ้องทองแดงชั้นต่ำคนนั้นมาสาย ฆ้องเงินจูจึงสั่งสอนเขาไปครั้งหนึ่ง ไม่คิดเลยว่าในใจจะมีความแค้น ยามที่ยึดทรัพย์ ฆ้องเงินจูเพียงลวนลามสตรีบ้านขุนนางต้องโทษผู้หนึ่ง แต่เขากลับชักดาบออกมาฟันคน”
ความจริงแล้วฆ้องเงินผู้นี้ก็ได้ยินมาจากฆ้องทองแดงที่มารายงานเช่นกัน เรื่องราวเป็นเช่นนี้จริงๆ เพียงแต่เมื่อผ่านการเสริมเติมแต่งจากเขา ลำดับความสำคัญจึงเลือนรางและแอบเปลี่ยนใจความหลักไป
เขาโยนต้นเหตุความขัดแย้งไปยังฆ้องทองแดงที่ชื่อสวี่ชีอันคนนั้น ถึงอย่างไรเขาก็ไม่อาจพูดต่อหน้าบิดาของคนอื่นได้ว่า ‘ลูกชายเจ้าหยามเกียรติสตรีบ้านขุนนางต้องโทษจนถูกคนเขาฟันเอา’
มองเห็นฆ้องทองคำจูหน้าเขียวปั๊ด ฆ้องเงินก็พูดต่อ “สวี่ชีอันผู้นั้นกำลังอยู่ระหว่างทางคุมตัวกลับมา คาดว่าคงใกล้ถึงที่ทำการแล้วขอรับ”
เมื่อแน่ใจว่าคนชุดขาวของสำนักโหราจารย์ยังมีเวลามาเพียงพอ จูหยางจึงมองดูลูกชายคนเล็กที่หมดสติอยู่อย่างล้ำลึก แล้วหายวับออกจากห้องโถงราวกับลมแรง
ฆ้องทองคำจูเพิ่งจะพุ่งออกมาจากที่ทำการ เขาก็จ้องมองไปยังทิศทางของถนนสายยาว แลเห็นม้าหกตัวค่อยๆ เข้ามาใกล้ หนึ่งตัวในนั้นมีสวี่ชีอันนั่งอยู่ สองมือถูกมัดเอาไว้แน่น
รอบตัวเขามีม้าห้าตัวล้อมอยู่เพื่อคุมตัวเขากลับมายังที่ทำการ หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลคนที่เหลือยังคงค้นบ้านและตรวจนับทรัพย์สินกันอยู่
ฆ้องทองคำจูจดจ้องฆ้องทองแดงตัวเล็กๆ ที่อยู่บนหลังม้า ไม่มีความโกรธเกรี้ยวและไม่มีจิตสังหาร นิ้วมือชี้นำพลังปราณ ‘ชิ้ง’ ดาบพกของจูกว่างเสี้ยวถูกชักออกมาเอง แล้วฟันไปยังสวี่ชีอันตามการควบคุมพลังปราณนี้
ทุกคนยังไม่ทันตั้งตัว รวมไปถึงสวี่ต้าหลางที่ถูกมัดมือไว้ด้วย
ตึง
ดาบพกของฆ้องทองแดงอีกคนเคลื่อนออกจากฝักแล้วขวางกั้นคมดาบที่จะฟาดฟันสวี่ชีอันเอาไว้
ดาบพกมาตรฐานสองเล่มตกลงพื้นพร้อมกันจนเกิดเสียง ‘เคร้ง’ สองครั้งดังขึ้นมา
สวี่ชีอันได้สติก่อน แผ่นหลังยังคงหลั่งเหงื่อเย็น
จูหยางที่มองอารมณ์ความรู้สึกไม่ออกเหมือนกับบดขยี้มดแมลง ในที่สุดสีหน้าของเขาก็มืดครึ้ม หันหน้าไปจ้องชายหนุ่มผู้มีใบหน้าอัมพาตข้างหลังเขม็ง เขาระงับไฟโทสะแล้วกล่าวขึ้นว่า
“พยายามฆ่าเจ้านาย ใช้กฎหมายมาตัดสิน เจ้าปกป้องเขาไม่ได้”
“จะตัดสินก็ต้องให้บิดาข้าตัดสิน” หยางเยี่ยนผู้มีใบหน้าอัมพาตจ้องรับดวงตาโกรธเกรี้ยวของอีกฝ่ายแล้วเอ่ยเสียงเรียบ “มีที่ให้เจ้ามาแตะต้องคนของข้าตั้งแต่เมื่อไหร่”
“ได้ เช่นนั้นเรื่องนี้ให้เว่ยกงตัดสิน”
ทั้งสองไปที่หอเฮ่าชี่ทันที ให้เว่ยเยวียนเป็นผู้มอบความยุติธรรม
หลังจากได้รับอนุญาตให้ผ่าน หยางเยี่ยนผู้มีใบหน้าไร้อารมณ์และจูหยางผู้เปี่ยมไฟโทสะยากจะสงบก็ขึ้นบันไดไปพบเว่ยเยวียนที่ชั้นเจ็ด
เว่ยเยวียนยืนอยู่ในโถงสังเกตการณ์ หันหลังให้กับห้องชา
หนานกงเชี่ยนโหรวยืนอยู่ที่ส่วนเชื่อมระหว่างโถงสังเกตการณ์กับห้องชา เอนตัวพิงผนัง ใบหน้ายิ้มเย็นระคนสนุกสนาน
“เว่ยกง!” จูหยางกอบหมัดเอ่ยเสียงขรึม “บุตรชายของข้าจูเฉิงจู้ถูกฆ้องทองแดงสวี่ชีอันฟันจนบาดเจ็บสาหัส ความเป็นความตายอยู่บนเส้นด้าย ตอนนี้ยังไม่พ้นขีดอันตรายขอรับ หวังว่าเว่ยกงจะให้ความเป็นธรรมแก่ผู้น้อย ลงโทษฆ้องทองแดงสวี่ชีอันสถานหนัก”
เขาเงยหน้ามองร่างของเว่ยเยวียน เมื่อเห็นเขาหันกลับมาก็กล่าวต่อ “เว่ยกง เรื่องนี้…”
จูหยางอธิบายความออกไปตั้งแต่ต้นจนจบ
เว่ยเยวียนจึงหันหน้า ก้าวกลับมายังห้องชาแล้วนั่งลงที่โต๊ะ
หยางเยี่ยนกล่าว “ท่านพ่อบุญธรรม ข้ามีข้อโต้แย้งที่แตกต่างกัน จูเฉิงจู้ฉวยโอกาสจากการยึดทรัพย์มาหยามเกียรติสตรีบ้านขุนนางต้องโทษแล้วถูกฆ้องทองแดงสวี่ชีอันขัดขวางไว้ แทนที่จูเฉิงจู้จะกลับใจ กลับโยนสตรีบ้านขุนนางต้องโทษมายังลานบ้าน ทำให้เสื่อมเสียเกียรติในที่สาธารณะ สวี่ชีอันห้ามปรามไม่เป็นผล จึงลงมือเพราะความโกรธ”
ลำบากฆ้องทองคำหยางแล้ว เขาเอ่ยคำพูดสำหรับวันทั้งวันจนจบภายในลมหายใจเดียว
“เหลวไหล!” จูหยางโมโหมาก “เห็นอยู่ชัดๆ ว่าฆ้องทองแดงสวี่ชีอันแก้แค้นเรื่องส่วนตัว”
เว่ยเยวียนวางถ้วยชาและต้มชาราวกับอยู่เพียงลำพัง รอจนฆ้องทองคำทั้งสองทะเลาะกันเสร็จ หลักๆ จะเป็นจูหยางที่ตะโกนก่นด่า ส่วนหยางเยี่ยนคร้านจะสนใจ
“ในเมื่อมีความแตกต่าง เช่นนั้นก็มาเผชิญหน้ากันเถอะ” เว่ยเยวียนกล่าว
ไม่นาน ซ่งถิงเฟิง จูกว่างเสี้ยว และฆ้องทองแดงคนอื่นที่กลับมาก่อนก็ถูกเรียกตัวขึ้นไป รวมถึงสวี่ชีอันด้วย
เขาถูกทุกคนคุมไว้ตรงกลาง ที่มือมีเชือกมัดอยู่
“พูดมาให้กระจ่าง!” เว่ยเยวียนกวาดตามองทุกคนแล้วเอ่ยอย่างโอนอ่อน
ฆ้องทองแดงทุกคนก้มหน้าลงพร้อมกัน กลับไม่กล้ามองสบตาเขา แม้ว่าขันทีใหญ่ผู้นี้จะแสดงภาพลักษณ์อ่อนโยนน่าเคารพมาโดยตลอดก็ตาม
สายตาคมกริบของจูหยางจ้องเขม็งไปที่ฆ้องเงินที่มารายงานข่าวให้ตน “เจ้ารายงานเรื่องทั้งหมดให้เว่ยกงฟังอย่างละเอียดอีกครั้งสิ”
ฆ้องเงินผู้นั้นรายงานออกไปอีกครั้งหนึ่ง เนื้อหาเหมือนกับที่บอกจูหยางทุกประการ
ฆ้องทองแดงสองสามคนนั้นขมวดคิ้ว
จูกว่างเสี้ยวผลักซ่งถิงเฟิงเล็กน้อย เขาเงียบขรึมไม่พูดจา ไม่ถนัดใช้คำรื่นหู ให้สหายร่วมงานที่นิสัยเปิดเผยออกหน้าจะดีกว่า
อยู่ต่อหน้าเว่ยกง เขาก็พูดพร้อมตัวสั่นน่ะสิ…ซ่งถิงเฟิงสูดลมหายใจเข้าลึก “เว่ยกง ผู้น้อยมีเรื่องจะรายงาน”
หลังจากเว่ยเยวียนพยักหน้าแล้ว ซ่งถิงเฟิงก็เอ่ยเสียงเบา “ยามรวมตัวกัน พวกเราไม่ได้มาสาย แต่ฆ้องเงินจูจงใจหาเรื่อง ลงมือทุบตีข้ากับสวี่ชีอัน ตอนที่ไปยึดทรัพย์ เขาบังคับให้พวกข้าสามคนอยู่แต่โถงด้านหน้าไม่อนุญาตให้เข้าไปในเรือน ขุนนางบีบคั้นคนตาย พวกเราก็มีแต่ต้องทำตาม จนกระทั่งเรือนด้านหลังมีเสียงร้องไห้ตะโกนของพวกญาติสตรีดังมา สวี่ชีอันอดทนไม่ไหวจึงพุ่งเข้าไป เขาตะโกนไล่ฆ้องทองแดงคนอื่นๆ ได้ แต่กลับจนปัญญากับฆ้องเงินจูขอรับ ฆ้องเงินจูรู้กฎแต่ทำผิดกฎ ไม่เพียงไม่กลับตัว แต่กลับลากญาติสตรีไปยังลานบ้าน วางแผนจะหยามเกียรติเพื่อบีบให้สวี่ชีอันลงมือ”
จูหยางหรี่ตาลง “ใส่ร้ายเจ้านาย มีโทษตายเหมือนกัน”
ซ่งถิงเฟิงกัดฟันเอ่ยเสียงดัง “เว่ยกงโปรดให้ความกระจ่าง เรื่องนี้ฆ้องทองแดงในที่เกิดเหตุล้วนเห็นชัดทุกคน”
เรื่องเดียวกัน วิธีการพูดไม่ต่างกันเท่าไหร่ แต่ความจริงแล้วเป็นคนละใจความ
ในการรายงานของฆ้องเงินผู้นั้น เห็นได้ชัดว่าเน้นไปที่ความผิดที่สวี่ชีอันมุ่งเป้าฆ้องเงินจู โกรธจนลงมือฆ่าเพื่อแก้แค้นเป็นการส่วนตัว
แต่ใจความของซ่งถิงเฟิงคือฆ้องเงินยั่วยุด้วยเจตนาร้าย หาเรื่องได้ทุกที่ สวี่ชีอันอดกลั้นไว้นาน สุดท้ายไม่อาจทนดูความผิดของฆ้องเงินได้ จึงลงมือด้วยความโกรธ แผ่ขยายความยุติธรรม
เว่ยเยวียนมองไปยังฆ้องทองแดงอีกสองสามคนที่เหลือ
ฆ้องทองแดงสองสามคนนั้นก้มหน้า ไม่กล้าพูดอะไร
ทวยเทพทะเลาะกัน พวกเขาขัดใจฝ่ายใดไม่ได้
เว่ยเยวียนเอ่ยอย่างอ่อนโยน “พูดความจริง รับรองว่าพวกเจ้าจะไม่เกิดเรื่อง”
ความมั่นใจมีมากขึ้น เหล่าฆ้องทองแดงมองสบตากันแล้วเอ่ยเสียงเบา “พวกสวี่ชีอันสามคนไม่ได้มาสายจริงๆ ขอรับ…”
อีกคนอดกลั้นอยู่แต่ก็ทนไม่ไหว กล่าวว่า “คำพูดทั้งหมดของซ่งถิงเฟิงเป็นความจริงขอรับ ฆ้องเงินจูลากญาติสตรีมายังลานบ้านจริงๆ เพื่อให้เสื่อมเสียต่อหน้าพวกเรา คำพูดของเขามีการยั่วยุสวี่ชีอันอยู่มากขอรับ”
นี่ก็คือข้อดีของโครงสร้างแบบรวมหลายกลุ่ม ถ้าหากเหล่าฆ้องทองแดงล้วนเป็นคนของฆ้องทองคำจูหมดล่ะก็ เหตุผลก็จะเป็นแบบเดียวกันหมด ซึ่งล้วนโจมตีไปที่สวี่ชีอัน
จูหยางแค่นเสียงเย็น “แม้จะเป็นเช่นนี้ก็ควรให้ที่ทำการเป็นผู้จัดการ”
เขาเปลี่ยนข้อขัดแย้งได้อย่างแยบยล เรื่องนี้ไม่ว่าเหตุผลที่แท้จริงจะเป็นอะไร การที่สวี่ชีอันก็เกือบจะสังหารผู้บังคับบัญชาก็ล้วนเป็นความจริงที่ตอกตะปูไว้บนกระดานแล้ว
ลูกชายยังคงมีความผิด แต่ควรให้ฆ้องทองแดงตัวเล็กมาลงโทษตั้งแต่เมื่อไหร่ ยิ่งไปกว่านั้น ความผิดประเภทข่มเหงสตรีบ้านนางต้องโทษก็ไม่ร้ายแรง สถานเบาหักเงินเดือน สถานกลางกักบริเวณลดขั้น ร้ายแรงที่สุดก็แค่ไล่ออกเท่านั้น
เรื่องใหญ่โตขนาดนี้ มีหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลในที่ทำการตั้งกี่คนที่กำลังจับตาดูอยู่ล่ะ เขาไม่เชื่อหรอกว่าเว่ยเยวียนจะเข้าข้างฆ้องทองแดงคนหนึ่ง แม้ว่าเขาจะเคยถูกฆ้องทองคำสองคนต้องตามาก่อนก็เถอะ
เว่ยเยวียนกล่าว “จูเฉิงจู้รู้กฎทำผิดกฎ ไม่เห็นกฎหมายอยู่ในสายตา ไล่ออกจากตำแหน่งทันที ไม่รับเข้าทำงานตลอดไป”
จูหยางหน้าเปลี่ยนสี
เว่ยเยวียนกล่าวต่อ “ฆ้องทองแดงสวี่ชีอันทำร้ายฆ้องเงินบาดเจ็บสาหัส ความผิดร้ายแรงยิ่ง นำตัวเข้าคุก เจ็ดวันให้หลังตัดเอวที่ไช่ซื่อโข่ว[1]”
จูหยางหลับตา ไม่พูดอะไรอีก
“ออกไปเถอะ อย่ารบกวนข้าอ่านหนังสือ” เว่ยเยวียนโบกมือ
ทุกคนค้อมกาย กำลังจะถอยออกไป ทันใดนั้นก็ได้ยินสวี่ชีอันเอ่ยเสียงเบา “เว่ยกง…”
ท่ามกลางสายตาจับจ้องของทุกคน เขาก้าวขึ้นหน้าไปสองก้าวแล้วเอ่ยถาม “ยินดีรับใช้แผ่นดินด้วยใจล้ำลึก ไม่ทำเพื่อประโยชน์ส่วนตน เป็นคำพูดจากใจจริงหรือขอรับ”
เมื่อเอ่ยถามประโยคนี้ สวี่ชีอันก็จ้องตาเว่ยเยวียนแน่นิ่ง
เว่ยเยวียนเอ่ยพร้อมยิ้ม “ย่อมเป็นคำพูดจากใจจริง”
สวี่ชีอันพยักหน้า เขามองทุกคนรอบๆ แล้วหยุดอยู่ที่ซ่งถิงเฟิงกับจูกว่างเสี้ยว ราวกับเป็นการกำชับสหายร่วมงานผู้ห่วงใยตนเองว่า “ทั้งอาหารทั้งเงินเดือน ความมั่งคั่งที่มาจากน้ำพักน้ำแรงของประชาชน กดขี่ข่มเหงประชาชนนั้นง่าย แต่หลอกลวงสวรรค์นั้นยาก”
เขายืดตัวตรง “นี่ก็คือคำพูดจากใจจริงของข้าเช่นกัน”
……………………………..
[1] ไช่ซื่อโข่ว คือ สถานที่รับโทษประหาร