ผู้พิทักษ์รัติกาลแห่งต้าฟง - บทที่ 104 สวี่ฉือจิ้วกล่าว อย่างไรก็ต้องช่วยพี่ใหญ่
- Home
- ผู้พิทักษ์รัติกาลแห่งต้าฟง
- บทที่ 104 สวี่ฉือจิ้วกล่าว อย่างไรก็ต้องช่วยพี่ใหญ่
หลังจากรอให้คนออกไปแล้ว หยางเยี่ยนก็ขมวดคิ้วเป็นปม เขามานั่งอยู่ที่โต๊ะ รับชาที่เว่ยเยวียนส่งมา เนิ่นนานก็ไม่ดื่มสักคำ
หนานกงเชี่ยนโหรวกลอกตาแล้วเอ่ยถามแทนเขา “ท่านพ่อบุญธรรม ต้องฆ่าเจ้าเด็กนั่นจริงๆ หรือขอรับ”
หยางเยี่ยนมองไปที่เว่ยเยวียนทันที
“การลงโทษของข้ามีอะไรไม่ถูกเหรอ” เว่ยเยวียนถามกลับ
หนานกงเชี่ยนโหรวและหยางเยี่ยนส่ายหน้าพร้อมกัน คนแรกยิ้มอย่างมีเลศนัย “ถูกมันก็ถูก เพียงแต่พ่อบุญธรรมทำใจฆ่าเขาลงหรือขอรับ”
เว่ยเยวียนดื่มชา เอ่ยอย่างทอดถอนใจ “ข้าเคยพูดว่าเขาเป็นจอมยุทธ์โดยกำเนิด จิตวิญญาณเช่นนั้นหาได้ยากนัก”
หนึ่งดาบสามารถฟันฆ้องเงินระดับหลอมวิญญาณบาดเจ็บหนักได้ เขาเพิ่งก้าวสู่ระดับหลอมปราณได้นานแค่ไหนกัน
รอยยิ้มของเว่ยเยวียนแฝงความชื่นชม ยิ่งกว่านั้นคือพึงพอใจ
…
โถงชุนเฟิง
ซ่งถิงเฟิงและจูกว่างเสี้ยวตามหลี่อวี้ชุนกลับมาอย่างทดท้อใจ ตลอดทางพี่ชุนเงียบงันเหลือเกิน
ก่อนหน้านี้เขารออยู่ชั้นล่าง รอผลการตัดสิน รอจนได้ข่าวว่าอีกเจ็ดวันสวี่ชีอันจะถูกตัดเอว
หลี่อวี้ชุนพาลูกน้องสองคนกลับมาโดยไม่พูดอะไรสักคำ
“ดื่มเหล้าเป็นเพื่อนข้าหน่อย ข้ารู้ว่าพวกเจ้าสองคนมีซ่อนไว้แล้วแอบดื่มในหน้าที่”
เสียงของหลี่อวี้ชุนฟังอารมณ์ใดๆ ไม่ออก สงบนิ่งจนน่าตกใจ
ซ่งถิงเฟิงอ้าปาก พูดออกมาเพียงสองคำ “ขอรับ”
หลี่อวี้ชุนเป็นคนประเภทหัวโบราณย้ำคิดย้ำทำ ฆ้องทองคำที่คุ้นเคยกันจะกล่าวว่าเขาช่างยึดติดกับกฎเกณฑ์ ฆ้องทองคำที่ไม่คุ้นเคยกันจะหัวเราะเยาะว่าเขาไม่รู้จักปรับตัว
แต่ไม่ว่าจะคุ้นเคยกันหรือไม่ ก็ไม่มีใครในหน่วยงานดูถูกเขาจริงๆ กลับกัน ทุกคนล้วนชื่นชมเขาอยู่ในใจ แม้ว่าจะไม่พูดออกมาก็ตาม
ความหัวโบราณของหลี่อวี้ชุนปรากฏออกมาในทุกๆ ด้าน ตัวอย่างเช่น ยามปฏิบัติหน้าที่ห้ามดื่มสุรา
ซ่งถิงเฟิงนำเหล้าที่ตนแอบเอาไว้ในห้องข้างออกมาแล้วหยิบถ้วยกระเบื้องสามชาม หนึ่งในนั้นเดิมเป็นของสวี่ชีอัน
หลี่อวี้ชุนดื่มไม่เร็ว แต่ดื่มติดต่อกันถ้วยแล้วถ้วยเล่า ระหว่างนั้นก็ไม่ได้พูดอะไร
ซ่งถิงเฟิงและจูกว่างเสี้ยวดื่มเป็นเพื่อนเขาเงียบๆ
เหล้าหนึ่งขวดถูกดื่มจนหมดในเวลาไม่นาน หลี่อวี้ชุนเอ่ยพร้อมความรู้สึกมึนเมา “ข้ารู้ว่าเว่ยกงก็มีความลำบากใจของเขา สวี่ชีอันทำผิดไปจริงๆ หยามเกียรติสตรีบ้านขุนนางต้องโทษแล้วอย่างไร โทษไม่ถึงตายหรอก แต่เจ้างี่เง่านั่นเกือบฟันคนตาย ทั้งคนที่ถูกฟันยังเป็นฆ้องเงินด้วย”
หลี่อวี้ชุนเปิดใจพูดแล้วเอ่ยพล่าม “ข้าคิดว่าข้าโง่เง่าพอแล้วนะ ไม่คิดเลยว่าเจ้านี่ยังโง่เง่ายิ่งกว่าข้าอีก รู้อยู่แล้วว่าไม่ควรรับเขามา วุ่นวาย เว่ยกงจะทำอะไรได้ แม้ว่าคุณสมบัติของเขา…จะดีอยู่สักหน่อย แต่เรื่องใหญ่ขนาดนี้ คนทั่วทั้งหน่วยงานจับตาดูอยู่ หรือจะให้ลำเอียงอย่างโจ่งแจ้งล่ะ เช่นนั้นศักดิ์ศรีของเว่ยกงเอาไปไว้ที่ไหน การสร้างชื่อเสียงจะต้องสั่งสมนานหลายเดือนหลายปี แต่ตอนถูกทำลายกลับใช้เวลาเพียงครู่เดียว หากลำเอียงเข้าข้างสวี่ชีอัน แล้วต่อไปใครจะเชื่อฟังเว่ยกงอีก ดีล่ะ ตอนนี้คนหนึ่งถูกไล่ออก คนหนึ่งถูกตัดเอว ตัดสินอย่างเที่ยงธรรม เฮอะๆๆ ในอนาคตอันยาวไกล คนในหน่วยงานก็จะเคร่งครัดในกฎเกณฑ์ การตายของสวี่ชีอันก็หาใช่ความอยุติธรรม คุ้มค่าแล้ว”
หลี่อวี้ชุนยื่นชามคืนให้ซ่งถิงเฟิงแล้วก่นด่า “ชามชั้นเลวอะไรนี่ ลายครามล้วนแต่ไม่สมมาตร”
ซ่งถิงเฟิงมองอย่างละเอียด ตอนนี้เองจึงพบว่าลายครามของชามที่ตนใช้ดื่มมาครึ่งปีกว่ามันไม่สมมาตรจริงๆ
เมื่อดื่มเสร็จแล้วก็ไม่มีกะจิตกะใจจะพูดคุยต่ออีก เขากับจูกว่างเสี้ยวก็กลับไปยังห้องข้างด้วยอารมณ์หดหู่ไม่พูดไม่จา
ภายในโถงชุนเฟิงอันเงียบสงบ หลี่อวี้ชุนนั่งอยู่นานแล้วค่อยๆ ลุกขึ้น เขาเดินไปยังมุมหนึ่ง หยิบไม้ปัดขนไก่ขึ้นมาแล้วปัดเช็ดทุกๆ ที่ที่มีฝุ่นสะสมได้ง่ายภายในห้องโถง
เขาจัดวางหนังสือ แจกันดอกไม้ และโต๊ะเก้าอี้ซ้ำๆ ทำให้พวกมันสมมาตรเป็นระเบียบ
จากนั้น เขาก็ปลดป้ายห้อยเอวและดาบพก แล้วถอดเครื่องแบบของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลออก
เครื่องแบบถูกพับอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ด้านบนทับด้วยดาบพกและป้ายห้อยเอว จากนั้นหลี่อวี้ชุนก็ถือพวกมันเดินออกจากโถงชุนเฟิง
เขาเดินไปยังหอเฮ่าชี่
ระหว่างทางดึงดูดความสนใจของฆ้องทองแดงได้มากมาย ต่างพากันชี้ไม้ชี้มือมาที่เขาแล้วกระซิบเสียงเบา
ในหมู่คนเหล่านี้ มีคนได้ยินเรื่องที่สวี่ชีอันฟันดาบใส่จูเฉิงจู้แล้ว และมีคนที่ยังไม่รู้เรื่องอะไร ต่างก็มามุงดูอย่างใคร่รู้
“เกิดอะไรขึ้น”
“ไม่ได้ยินหรือ ฆ้องเงินจูเกือบถูกฆ้องทองแดงคนหนึ่งฟันเข้าให้แล้ว คนที่ฟันเขาก็คือสวี่ชีอัน ลูกน้องของฆ้องเงินหลี่”
“แล้วฆ้องเงินหลี่คิดจะทำอะไร”
“ไม่รู้ ตามไปดูเถอะ”
สามถึงห้าคน เจ็ดถึงแปดคน…หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลที่ตามอยู่ข้างหลังหลี่อวี้ชุนค่อยๆ เพิ่มมากขึ้นแล้วรวมกันกลายเป็นฝูงชนจำนวนมาก
ตลอดทางเดินมายังหอเฮ่าชี่
หลี่อวี้ชุนหยุดฝีเท้าอยู่ชั้นล่างท่ามกลางสายตาตื่นตัวระแวดระวังของทหารยาม สองมือของเขาถือเครื่องแบบ ป้ายห้อยเอว ดาบพก ไม่สนใจผู้ติดตามอยู่ข้างหลังเขา
“ผู้น้อยหลี่อวี้ชุน รับหน้าที่ในหน่วยงานราชการปีหยวนจิ่งที่ 20 ปฏิบัติตามหน้าที่และรับผิดชอบงานอย่างเต็มที่เสมอมา กำจัดขุนนางทุจริตและเจ้าหน้าที่สกปรกเป็นความเชื่อ รับใช้ประเทศเป็นเป้าหมาย” เสียงของหลี่อวี้ชุนดังกังวาน
“สิบหกปีที่ผ่านมาสุขุมรอบคอบเสมอ ไม่เคยละทิ้งหน้าที่ทำผิดกฎหมาย ไม่เคยรับสินบน ไม่เคยข่มเหงคนดี เดิมคิดว่าเลือดอันเร่าร้อนเช่นนี้จะแลกมาซึ่งฟ้าใสแผ่นดินสะอาดได้ แน่นอนว่าสิบหกปีที่ผ่านมา ได้เห็นกับตาว่ามีสหายร่วมงานหลายคนข่มเหงชาวบ้าน รีดทรัพย์พ่อค้า การค้นบ้านยึดทรัพย์ทุกครั้งจะต้องมีการทุจริตเงินทองและทรัพย์สิน ล่วงประเวณีสตรีบ้านขุนนางต้องโทษ หากเรื่องเช่นนี้ยังกระทำได้ก็ไม่มีอะไรทำไม่ได้อีกแล้ว หัวใจจึงไม่สามารถบังคับใช้กฎหมายได้แล้ว ตนไม่เที่ยงตรงแล้วจะตัดสินผู้อื่นได้อย่างไร วันนี้หลี่อวี้ชุนอดกลั้นไม่ไหว ดังนั้นจึงขอลาออกและจบหน้าที่ข้าเสีย”
เมื่อเอ่ยประโยคสุดท้ายจบ เขาก็โยนเครื่องแบบ ดาบพก และป้ายห้อยเอวไปบนพื้นราวกับเป็นรองเท้าท่ามกลางสายตาตกตะลึงอ้าปากค้างของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลรอบๆ
หลี่อวี้ชุนผู้ตบหน้าเว่ยเยวียนท่ามกลางสายตาของทุกคนที่หอเฮ่าชี่หันกายจากไป หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลหลายสิบคนไม่มีใครขัดขวาง ไม่มีใครส่งเสียง
“คือ…พวกเราต้องขวางเขาหรือไม่” มีคนเอ่ยถามเสียงเบา
หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลรอบๆ จ้องมองเขาอย่างเยือกเย็น
…
สวี่ชีอันผู้สวมชุดนักโทษนั่งอยู่ในคุกของหน่วยงานลาดตระเวนยามวิกาล หลังพิงกำแพง สูดดมกลิ่นอับชื้นเหม็นหืนที่มีเฉพาะในคุก
“โดนจับรอบที่สามแล้ว ชาติก่อนเป็นตำรวจ ชาตินี้กลายเป็นแขกประจำห้องขัง” สวี่ชีอันหัวเราะประชดตัวเอง ทอดถอนใจในชะตาชีวิตอันไม่เที่ยง
ในห้องขังเงียบสนิทไม่มีเสียง บางครั้งก็มีเสียงด่าพ่อล่อแม่จากนักโทษห้องข้างๆ แต่โดยทั่วไปส่วนใหญ่จะอยู่เงียบๆ
นักโทษที่ส่งมาขังที่นี่ ส่วนใหญ่ล้วนเป็นนักโทษประหาร หมดกำลังใจสิ้นหวังไปแล้ว ตอนแรกๆ ยังมีเสียงร้องหาความเป็นธรรมและเสียงก่นด่าอยู่ แต่หลังจากถูกผู้คุมเฝ้าคุกพาออกไปสนทนาอย่างเป็นมิตรก็เข้าใจวิธีการปฏิบัติตนแล้ว
และเข้าใจหลักการที่ว่าควรเงียบสงบเมื่ออยู่ในที่สาธารณะด้วย
ไม่มีใครอยากถูกทรมานอย่างโหดเหี้ยมไร้มนุษยธรรมก่อนตายหรอก
สวี่ชีอันหลับตาลง ครุ่นคิดว่าตนยังมีโอกาสรอดชีวิตอยู่หรือไม่
“เหล่าปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ในสำนักศึกษาอวิ๋นลู่อาจออกมาโวยวาย แต่พวกเขาเป็นคนตัวเปล่าไร้ตำแหน่ง ใช้เส้นขุนนางไม่ได้ และใช้หลักวัตถุเคลื่อนไหวไม่ได้ด้วยเช่นกัน ถึงอย่างไรที่นี่ก็คือหน่วยงานลาดตระเวนยามวิกาล”
“โหรของสำนักโหราจารย์จะต้องพยายามช่วยข้าแน่ ทว่านอกเสียจากท่านโหราจารย์จะออกหน้า ไม่อย่างนั้นก็ช่วยข้าไม่ได้หรอก และการจะให้ท่านโหราจารย์ออกหน้า สถานะของข้าก็ยังไม่พอ…สวี่ชีอันนะสวี่ชีอัน เจ้าได้ลิ้มรสความอบอุ่นของฝูเซียงก็เลยลืมเลือนความเยือกเย็นของสังคมไปแล้วหรือ ผ่านไปสองเดือนแล้วก็ยังล่อลวงฉู่ไฉ่เวยขึ้นเตียงไม่ได้ ชิ้นส่วนหนังสือปฐพีก็ถูกริบไปแล้ว ไม่อย่างนั้นข้าสามารถลองขอให้หมายเลขหนึ่งช่วยเหลือได้ ไม่รู้ว่าสถานะของเขา (นาง) จะเพียงพอหรือไม่…”
คิดไปคิดมาเขาก็หลับไป เมื่อตื่นขึ้นห้องขังก็ยังเงียบงันไร้เสียง นอกหน้าต่างเล็กๆ เห็นเป็นค่ำคืนมืดมิดลุ่มลึก
การนอนหลับเป็นการชดเชยพลังกายที่ขาดหายตอนเขาใช้ ‘ดาบเดียวตัดฟ้าดิน’ สิ่งแลกมาด้วยความหิวไส้กิ่ว
อาศัยตะเกียงน้ำมันสีเหลืองนวลในทางเดิน สวี่ชีอันมองเห็นชามข้าวขาวใบหนึ่งวางไว้ข้างกรง หนูตัวใหญ่อวบอ้วนสองตัวกำลังกินอย่างเอร็ดอร่อย
“ชิบหาย ไอ้หน้าหนูซูเค่อเบต้า[1] มาแย่งข้าวข้า”
สวี่ชีอันตะโกนเสียงดังอย่างโมโห
ไม่มีข้าวกินแล้ว ทำได้แค่นั่งสมาธิ ฝึกลมหายใจพลังปราณ
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ ฟ้าสว่างโร่แล้ว
เสียงฝีเท้าดังมาจากทางเดินมืดมิด ผู้คุมสองคนเดินเข้ามาเปิดประตูห้องขัง
สวี่ชีอันลืมตาขึ้น
“ออกมา” ผู้คุมตะโกนบอก
สวี่ชีอันผู้สวมกุญแจมือและโซ่ตรวนถูกผู้คมพามายังห้องไต่สวน
แสงอาทิตย์ส่องลอดผ่านช่องอากาศบนกำแพงเข้ามาหลายสาย ขับไล่ความมืดมิดในห้องไต่สวน แต่ไม่อาจขับไล่ความหนาวเย็นของที่แห่งนี้ได้
โต๊ะสอบปากคำในห้องไต่สวนมีชายหนุ่มสองคนนั่งอยู่ คนหนึ่งมีดวงตาหงส์ คิ้วราวใบหลิว องคาพยพงามประณีต อีกคนปากแดงฟันขาว หล่อเหลาไม่มีใครเทียม
กระต่ายสองตัววิ่งอยู่บนพื้น ยากจะแยกแยะตัวผู้ตัวเมีย[2]
หนานกงเชี่ยนโหรวเอ่ยยิ้มเยาะ “เจ้าคนผมมันทาหน้าประแป้ง”
เขาไม่ชอบทัศนคติของบัณฑิตผู้นี้เอาเสียเลย ตั้งแต่เข้ามาในหน่วยงานแล้วเดินทางมายังที่แห่งนี้ ตลอดเวลาเอาแต่เชิดหน้า อกตั้งตรง มองคนไม่ใช้ตามอง แต่ใช้จมูกมอง
ความเย่อหยิ่งเช่นนี้ทำให้คนรู้สึกเกลียดขี้หน้าโดยไม่มีเหตุผล กับสำนักศึกษาอวิ๋นลู่คนอื่นๆ ก็ประพฤติเช่นนี้ กับคนชุดขาวของสำนักโหราจารย์ เขาก็ประพฤติเช่นนี้เหมือนกัน
สวี่ซินเหนียนชายตามองเขาแล้วเอ่ยเสียงราบเรียบ “มีเพียงสตรีและคนถ่อยที่เข้าด้วยได้ยาก”
“เจ้าว่าใครเป็นสตรี” หนานกงเชี่ยนโหรวยิ้ม นัยน์ตามีประกายอันตรายส่องวาบ
“ข้าน้อยเสียมารยาทแล้ว” สวี่ซินเหนียนประกบมือคำนับ “เช่นนั้นขอบังอาจถามนามอันงดงามของแม่นาง”
“…” หนานกงเชี่ยนโหรวอยากฆ่าคนแล้ว
สวี่ซินเหนียนผู้มีทักษะลิ้นอาบยาพิษยิ้มเย็นขึ้นมา เชิดหน้าขึ้นอีกครั้ง
สวี่ชีอันที่เห็นภาพนี้จากที่ประตูและได้ยินการสนทนาของทั้งสองคนมีเหงื่อเย็นชุ่มแทนน้องชายคนเล็กของตนแล้ว
ลอบเอ่ยในใจว่า ฉือจิ้ว คนงามตัวใหญ่ผู้นี้คือทหารชั้นสูงเลยนะ ปัญญาชนตัวเล็กขั้นแปดอย่างเจ้าต้องรู้จักยืดได้หดได้สิ
หนานกงเชี่ยนโหรวหันหน้าไปจ้องสวี่ชีอันแล้วลุกขึ้น “ให้เวลาหนึ่งก้านธูป”
พูดจบก็เดินจากไปแล้ว
สวี่ซินเหนียนจ้องมองญาติผู้พี่ เงียบงันไม่พูดอะไร
“ฉือจิ้วมาได้อย่างไร เจ้าไม่ได้อยู่ที่สำนักศึกษาเหรอ” สวี่ชีอันกล่าว
“เมื่อคืนสหายร่วมงานคนหนึ่งของเจ้ามาบอกข่าวที่บ้าน ได้เล่าเรื่องที่เจ้าประสบมาให้ฟังแล้ว เมื่อคืนท่านพ่อออกจากเมืองหลวงยามดึกแล้วรีบมาบอกข้าที่สำนักศึกษาอวิ๋นลู่” สวี่ซินเหนียนถอนหายใจ “ข้ากลับมาบ้านเมื่อคืน รอจนรุ่งสางให้ประตูเมืองชั้นในเปิดแล้วถึงได้เข้ามา”
เขาหยิบจดหมายลายมืออาจารย์และหยิบยกสถานะขึ้นมา จึงได้รับอนุญาตให้เข้ามาเยี่ยมในคุก
“คนที่บ้านเป็นห่วงเจ้ามาก ท่านแม่ไม่ได้นอนทั้งคืน” สวี่ซินเหนียนกล่าว
สวี่ชีอันพยักหน้า
“หลิงอินก็เป็นห่วงเจ้ามาก ตอนเช้ากินโจ๊กไปชามเดียวเท่านั้น”
“ลำบากนางแล้ว” สวี่ชีอันซาบซึ้งใจ
สวี่ซินเหนียนพยักหน้า เห็นด้วยกับญาติผู้พี่ เขาเอ่ยต่อ “คำแนะนำของอาจารย์คือให้ข้าไปขอร้ององค์หญิงใหญ่ บางทีพระองค์อาจช่วยเจ้าได้ ส่วนพวกท่านอาจารย์…ความสัมพันธ์ของเว่ยเยวียนกับสำนักศึกษาไม่ค่อยดีนัก”
สวี่ชีอันลังเล “ฉือจิ้ว เจ้าไม่โทษพี่ใหญ่เหรอ”
สวี่ซินเหนียนเอ่ยเสียงขรึม “พี่ใหญ่มีความรู้เท่าหางอึ่ง กลับไม่ยอมฆ่าเจ้าเศษเดนนั่นให้ตายเสีย”
สวี่ชีอันหัวเราะลั่น “นี่สิถึงจะเป็นปัญญาชน…” หัวเราะไปหัวเราะมาเขาก็เงียบลงแล้วเอ่ยเสียงเบา “ขอโทษ”
สวี่ซินเหนียนเงียบงันไม่พูดจา
ห้องไต่สวนเงียบสนิท สองพี่น้องไม่ได้พูดอะไร
เนิ่นนาน สวี่ฉือจิ้วก็ถอนหายใจ “ข้าจะช่วยเจ้าออกมา”
สวี่ชีอันพยักหน้า แสร้งทำเป็นว่าตนไม่ได้ซาบซึ้งแล้วเอ่ยขึ้น “ในเมื่อมาแล้วก็ช่วยพี่ใหญ่ทำเรื่องเรื่องหนึ่งเถอะ ฉือจิ้วพกเงินมาหรือไม่”
“ย่อมพกสิ” สวี่ซินเหนียนตอบ
ไม่พกเงินแล้วยังจะมาเยี่ยมนักโทษอะไรได้
“อืม เจ้าไปหาหัวหน้าผู้คุม บอกว่าต้องการของสิ่งหนึ่งของข้า ถ้าหากมันยังอยู่นะ มันคือกระจกหยกใบเล็ก เจ้าหยิบกระจกมา เอาไปหาพระภิกษุรูปหนึ่งในสถานรับเลี้ยงเด็กทางตะวันออกของเมือง บอกเขาว่า ให้เขาส่งข่าวว่าหมายเลขสามถูกขังอยู่ในคุกใต้ดินของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล ได้โปรดช่วยเหลือ สวี่ชีอัน!”
หลังจากชิ้นส่วนหนังสือปฐพีจดจำเจ้าของแล้ว คนอื่นก็ไม่อาจเข้าสู่ระบบไปพูดคุยได้ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องส่งข้อความผ่านหมายเลขหก
เชื่อว่าหมายเลขหนึ่งผู้ชาญฉลาดจะมองเห็นข้อความแล้วรู้ว่าสมควรทำอย่างไร เพราะในกลุ่มสนทนาหนังสือปฐพี ผู้ที่อยู่ในเมืองหลวงและมีอำนาจนั้น มีเพียงหมายเลขหนึ่ง
หมายเลขหนึ่งยังติดหนี้เขาอยู่
แน่นอนว่า หมายเลขหนึ่งสามารถทำเป็นเห็นคนตายแล้วไม่ช่วยก็ได้ แต่นี่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
อีกอย่าง การให้สวี่เอ้อร์หลางนำชิ้นส่วนหนังสือปฐพีของเขาไปก็เป็นการทดสอบเว่ยเยวียนของสวี่ชีอันด้วย
ทดสอบว่าเขามีใจคิดฆ่าตนจริงๆ หรือไม่
สวี่ซินเหนียนจ้องมองเขาอยู่พักหนึ่ง เอ่ยถามว่า “ถ้าไม่มีล่ะ”
“เช่นนั้นช่างเถอะ”
มองส่งญาติผู้พี่ถูกพาตัวเข้าไปในทางเดินมืดๆ แล้ว สวี่ซินเหนียนก็ออกจากห้องไต่สวนแล้วไปหาหัวหน้าผู้คุม ส่งมอบตั๋วเงินสามสิบตำลึงไปอย่างสง่าผ่าเผยแล้วบอกว่า “ต้องนำของสิ่งหนึ่งของญาติผู้พี่กลับไป”
หัวหน้าผู้คุมย่อมไม่มีข้อโต้แย้ง มีเงินก็ทำอะไรง่ายดาย
เขานำสวี่ซินเหนียนไปยังคลังเก็บของทันทีแล้วหยิบห่อของห่อหนึ่งออกมา ด้านในคือของที่ริบออกมาจากตัวสวี่ชีอัน
“ฆ้องทองแดง ป้ายห้อยเอว ดาบพก และเครื่องแบบล้วนไม่อาจนำไปได้” หัวหน้าผู้คุมบอก
สิ่งเหล่านี้คือของของหน่วยงานลาดตระเวนยามวิกาล
สวี่ซินเหนียนค้นหาคร่าวๆ อยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็คลำเจอกระจกบานเล็กชิ้นหนึ่งที่ทำมาจากหินหยก ลายเส้นตื้นๆ บนหน้ากระจกนั้นมีเค้าโครงลวดลายแปลกๆ จำพวกหน้าไม้และตั๋วเงิน
…………………………
[1] ตัวละครจากการ์ตูนชื่อดังของจีน เรื่อง ‘การผจญภัยของซูเค่อและเบต้า’ ซึ่งตัวละครทั้งสองเป็นหนูนักบินที่ขับเฮลิคอปเตอร์
[2] กระต่ายสองตัววิ่งอยู่บนพื้น ยากจะแยกแยะตัวผู้ตัวเมีย มาจากท่อนหนึ่งในกลอน มู่หลาน ในที่นี้หมายถึงผู้ชายสองคนที่งดงามจนแยกไม่ออกว่าเป็นบุรุษหรือสตรี