ผู้พิทักษ์รัติกาลแห่งต้าฟง - บทที่ 107-2 ทำความดีชดเชยความผิด
บทที่ 107-2 ทำความดีชดเชยความผิด
“สมควรตาย…” สวี่ชีอันก่นด่าไปพลางเช็ดมือกับชุดนักโทษ
“หนิงเยี่ยน หนิงเยี่ยนเจ้าไม่ต้องตายแล้ว!” พอผู้คุมหยิบกุญแจเปิดประตูแล้ว ซ่งถิงเฟิงก็กล่าวพลางหัวเราะร่า
“ฝ่าบาทอนุญาตให้เจ้าใช้ผลงานชดเชย ทำความดีล้างความผิด”
ฝ่าบาทเหรอ?
สวี่ชีอันชะงักนิ่ง ความคิดแรกคือ ‘ฉิบหาย หมายเลขหนึ่งคือฝ่าบาทหรือนี่!’
จากนั้นเขาก็ปฏิเสธการคาดเดาของตัวเอง ยกมือเช็ดบ่าของซ่งถิงเฟิงอย่างสงบแล้วเอ่ยเสียงขรึม “เกิดอะไรขึ้น”
ซ่งถิงเฟิงกำลังกระตือรือร้นที่จะแบ่งปันความยินดี เขาจึงไม่ได้สังเกตว่าตนถูกลอบคิดบัญชีอยู่ เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้สวี่ชีอันฟังอย่างละเอียด
ซังผอระเบิด…วัดหย่งเจิ้นซานเหอพังทลาย…นัยน์ตาของสวี่ชีอันหดเกร็ง ทันใดนั้นก็นึกไปถึงเสียงขอความช่วยเหลือแปลกประหลาดที่ตนได้ยินตอนที่บวงสรวงบรรพบุรุษ
ก็หมายความว่าการคาดเดาก่อนหน้านี้ไม่ผิด
เสียงขอความช่วยเหลือนั่นไม่ได้มุ่งเป้ามาที่เขา เขาเพียงแค่ได้ยินเสียงขอความช่วยเหลือเพราะความพิเศษบางอย่างเท่านั้น
เช่นนั้น เสียงขอความช่วยเหลือที่ดังมาจากในซังผอนั้น ดังให้ใครได้ยิน
“กระบี่เทพที่ประดิษฐานอยู่ในวัดล่ะ” สวี่ชีอันนิ่งคิดอยู่เนิ่นนานจึงเอ่ยถาม
ซ่งถิงเฟิงส่ายหน้า แสดงออกว่าตนรู้ไม่เยอะ แล้วเอ่ยขึ้นอีก “เพราะเรื่องของเจ้า หัวหน้าจึงถูกไล่ออก หลังจากเจ้าถูกส่งมาที่คุกแล้ว เขาก็วิ่งไปที่หอเฮ่าชี่ ก่นด่าหน่วยงาน ตบหน้าเว่ยกงในที่สาธารณะ…”
นี่เป็นเรื่องที่พี่ชุนสามารถทำออกมาได้จริงๆ…ในใจสวี่ชีอันรู้สึกซาบซึ้ง
เขารับเครื่องแบบ ป้ายห้อยเอวและดาบพกมาจากผู้คุม จากนั้นสวี่ชีอันที่ได้รับแจ้งว่ากระจกหยกใบเล็กถูกญาติผู้น้องนำไปแล้วก็โล่งอก
ตามที่คาดไว้ เว่ยเยวียนไม่ได้คิดจะฆ่าเขา แม้จะไม่มีการอภัยโทษของฝ่าบาท พ่อเว่ยก็คิดจะช่วยเขาอย่างถูกทำนองคลองธรรมมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
เมื่อออกจากคุก ทั้งคู่ก็เดินออกจากหน่วยงานราชการ เมื่อใกล้ถึงประตูใหญ่ จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงตีฆ้องดังขึ้นมา
หลี่อวี้ชุนถูกฆ้องทองแดงสองสามคนคุ้มกันมายังหน่วยงานราชการ ฆ้องทองแดงที่นำหน้าตีฆ้องพลางตะโกนลั่นเสียงดังว่า
“หลี่อวี้ชุนคืนสู่ตำแหน่ง…”
เจ้าพนักงานและพวกหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลพากันออกมาดูแล้วชี้ไม้ชี้มือไปที่หลี่อวี้ชุน
พี่ชุนหูแดงหน้าแดง ก้มหน้าเดินเร็วๆ
ไม่ไกลนัก พี่น้องตัวน้อยทั้งสามมองหน้ากัน สวี่ชีอันเอ่ยขึ้นก่อน “หัวหน้าคืนสู่ตำแหน่ง เป็นเรื่องน่ายินดี พวกเราอย่าไปรบกวนเลย”
ขาดคนผู้นี้ไปไม่ได้เลยจริงๆ…ซ่งถิงเฟิงและจูกว่างเสี้ยวพยักหน้า ทั้งสามความคิดเป็นเอกฉันท์
พี่ชุนกำลังถูกเว่ยเยวียนเล่นงานอยู่น่ะสิ เมื่อวานเจ้าตบหน้าเขากลางฝูงชน วันนี้เขาก็ตบหน้าเจ้ากลับด้วยการตีฆ้องร้องป่าว…สวี่ชีอันลอบตัดสินใจว่าต่อไปห้ามขัดใจเว่ยเยวียนง่ายๆ
สวี่ชีอันมีกลิ่นเหม็นสาบทั่วตัวและรีบร้อนจะกลับบ้านไปบอกข่าวดี จึงไม่ได้รั้งอยู่ที่หน่วยงานต่อ เขาขึ้นขี่แม่ม้าตัวน้อยที่รักของเขาแล้วรีบกลับบ้านอย่างกระตือรือร้น
ผ่านไปกว่าครึ่งชั่วยาม เขาก็กลับมายังจวนตระกูลสวี่
เหล่าจางคนเฝ้าประตูเกือบจะร้องไห้เพราะความดีใจ สวี่ชีอันโยนเชือกม้าให้เขาแล้วเข้าไปในบ้าน คิดจะบอกข่าวดีกับคนในบ้านก่อน
เวลานี้ ในบ้านคงกินข้าวเช้ากันไปแล้ว อารองไปทำงานแล้ว เหลือแค่สวี่ซินเหนียนที่อยู่บ้านคนเดียว เขากำลังพูดคุยกับมารดาอยู่ที่โถงด้านหลัง
เมื่อเห็นสวี่ชีอันกลับมาแล้ว ดวงตาคู่งามของอาสะใภ้ก็เปล่งประกาย สะกดกลั้นความดีใจเอาไว้ทันทีแล้วแสดงท่าทางรังเกียจตามความเคยชินให้กับหลานชายแทน
สวี่ซินเหนียนเอ่ยอย่างดีใจ “องค์หญิงใหญ่ลงมือเร็วเช่นนี้เลยหรือ”
สวี่ชีอันตกตะลึง ทันใดนั้นลำดับความคิดได้ มิน่าจักรพรรดิหยวนจิ่งถึงรู้จักคนตัวเล็กๆ อย่างเขาซึ่งมันไม่สมเหตุสมผลเลยสักนิด
ที่แท้ก็เป็นองค์หญิงใหญ่ที่แนะนำตนต่อหน้าจักรพรรดิหยวนจิ่ง…อืม ก็ต้องไม่ตัดเรื่องที่เว่ยเยวียนคว้าโอกาสนี้มาให้เขา สร้างโอกาสใช้ความดีชดเชยความผิดให้กับเขาด้วย
“อย่าเพิ่งมองโลกในแง่ดีเร็วเกินไป มีเรื่องแล้ว…” สวี่ชีอันเหลือบมองอาสะใภ้แล้วนิ่งเงียบ “พวกเราค่อยกลับมาคุย…อ๊ะ สองวันนี้ทำให้อาสะใภ้ใจเสียแล้ว ละอายใจนัก ได้ยินฉือจิ้วบอกว่าอาสะใภ้นอนไม่หลับทั้งคืนก็เพราะข้านี่”
อาสะใภ้ได้ยินแล้วก็เดือดดาล ตวัดตาไปมองลูกชายที่ไม่รู้จักปิดปากด้วยท่าทางแข็งกร้าว แล้วเชิดคางแหลมขาวราวหิมะขึ้น “ฮึ~”
สวี่ซินเหนียนกล่าวต่อ “เมื่อวานท่านพ่อไปที่สำนักโหราจารย์ คิดจะขอร้องพวกโหรชุดขาว แต่กลับได้ยินข่าวร้ายมา”
เขาลังเลครู่หนึ่ง “ท่านโหราจารย์ป่วย”
“อะไรนะ” สวี่ชีอันเอ่ยอย่างสงสัย “ท่านโหราจารย์ป่วยหรือ”
โหรระดับหนึ่ง ป่วยอย่างนั้นเหรอ
อีกทั้งยังเป็นโหรสายบำเพ็ญตนที่เริ่มบำเพ็ญด้วยการช่วยเหลือคนตายรักษาคนเจ็บอีกต่างหาก
นักสืบมือเก๋าสวี่ชีอันคิดเชื่อมโยงได้ทันที หรือนี่จะเกี่ยวข้องกับความแปลกประหลาดของซังผอ ไม่มีทางที่จะเป็นเพราะท่านโหราจารย์ขึ้นไปดูโลกมนุษย์บนแท่นแปดทิศ แต่มองไปมองมาก็ถูกลมพัดโชยจนเป็นหวัดแน่ๆ
“สถานการณ์อย่างละเอียดยังไม่รู้แน่ชัด” สวี่ซินเหนียนเอ่ย “ข้าจะไปหาท่านพ่อที่ค่ายของทหารกองดาบ ทำให้ใจเขาสงบ”
มารดาที่ทั้งวันเอาแต่พร่ำบ่นใส่ญาติผู้พี่ยังเป็นกังวลจนนอนไม่หลับขนาดนี้ คิดดูก็รู้แล้วว่าบิดาจะไม่สบายใจแค่ไหน
“ได้!” สวี่ชีอันกล่าว “ข้าจะไปเยี่ยมหลิงเยวี่ยกับหลิงอินก่อน อีกเดี๋ยวข้ามีธุระบางอย่าง ต้องกลับไปหน่วยงานอีกรอบ”
เรื่องของซังผอค่อยคุยกันทีหลัง ตอนนี้ไม่รีบร้อน
“จริงสิ กระจกนั่นข้าวางไว้ที่ห้องหนังสือ กลับไปพี่ใหญ่ก็ไปหยิบเอาเองเถอะ พระภิกษุที่เจ้าให้ข้าไปหารูปนั้นจากไปแล้ว บอกว่ามีเบาะแสของศิษย์น้อง” สวี่ซินเหนียนกล่าว
ข้าก็ว่าแล้ว หมายเลขหนึ่งจะเป็นองค์จักรพรรดิได้อย่างไร เรื่องนี้หมายเลขหนึ่งยังไม่รู้ด้วยซ้ำ ..ยังเป็นท่านพ่อเว่ยของข้ากับองค์หญิงใหญ่นี่เองที่เชื่อถือได้
สวี่ชีอันมายังเรือนด้านหลัง มองเห็นสวี่หลิงอินนั่งอยู่ใต้ชายคาอย่างท้อแท้ ตัวเล็กตัวน้อยยิ่ง
ไม่มีใครเล่นกับนาง และไม่มีใครมีอารมณ์จะสนใจนางด้วย
เจ้าเด็กโง่รู้ว่าพี่ใหญ่เกิดเรื่องแล้ว เล่นกับห่านน้อยจึงไม่มีความสุข ท้อแท้ใจ หยิบกิ่งไม้กิ่งหนึ่งมาวาดเล่นเรื่อยเปื่อยอยู่บนพื้น
“เอ๋ นี่มันเด็กโง่จากบ้านไหนกันเนี่ย” สวี่ชีอันยืนอยู่ไม่ไกล เอ่ยพร้อมรอยยิ้ม
สวี่หลิงอินพลันเงยหน้าขึ้นแล้วมองเขาด้วยท่าทีทึ่มทื่อ ผ่านไปครู่หนึ่ง ใบหน้าเล็กๆ ก็เต็มไปด้วยรอยยิ้มสว่างไสว
“พี่ใหญ่!”
นางผุดลุกขึ้นทันใด ก้าวเดินด้วยขาสั้นเล็ก อ้าแขนสองข้าง ก่อนพุ่งมาหาสวี่ชีอัน
สวี่ชีอันก็พุ่งเข้าไปเช่นกัน ท่ามกลางสีหน้าแย้มยิ้มดีใจของสวี่หลิงอิน กลับผิดตัว เขาไปกอดพี่สาวที่อยู่ข้างหลังแทน
สวี่หลิงอินที่พุ่งไปหาอากาศหันกลับมาทันใด
“ฮือๆๆ…พี่ใหญ่…”
สวี่หลิงเยวี่ยกอดเอวสวี่ชีอันไว้แน่น ฝังร่างอ่อนนุ่มของตนไว้กับอ้อมอกของญาติผู้พี่แล้วร้องไห้จ้า
เขากอดเอวแน่งน้อยของน้องสาวไว้ เส้นผมส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ โชยมา บนร่างก็มีกลิ่นของแป้งชมพูจางๆ เช่นกัน
สวี่ชีอันกอดหลังของนางแล้วเอ่ยปลอบ “ไม่เป็นไรแล้ว พี่ใหญ่กลับมาแล้ว”
สวี่หลิงเยวี่ยไม่สนใจ นางบิดเอวบาง ร้องไห้หนักยิ่งกว่าเดิม
ครั้งก่อนพี่ใหญ่ถูกนำตัวไปขังที่หน่วยงานกรมอาญา สวี่หลิงเยวี่ยก็เสียใจมากแล้ว แต่ครั้งนี้เป็นความขัดแย้งกับหน่วยงานราชการของตนเอง สุดท้ายก็คือความแค้นส่วนตัว
และครั้งนี้ หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลที่มาส่งข่าวในจวนก็บอกว่าพี่ใหญ่จะถูกตัดเอวที่ลานไช่ซื่อโข่ว
ลักษณะของมันแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
แน่นอนว่า ที่สวี่หลิงเยวี่ยใส่ใจขนาดนี้นั้นเกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์กับญาติผู้พี่ที่รุดหน้าอย่างรวดเร็วในช่วงนี้ด้วย
อา ยังเป็นน้องสาวในยุคนี้ที่ดีนัก ช่างตัวนุ่มนิ่มน่ารัก สวี่ชีอันกอดเรือนร่างงดงามของน้องสาว ลอบทอดถอนใจ
ชาติก่อนเขาไม่มีน้องสาว แต่มีญาติผู้น้องคนหนึ่ง ไม่รู้จักทำตัวออดอ้อนแอ๊บแบ๊ว ไม่รู้จักร้องไห้แสดงท่าทางอ่อนแอออกมา ทำเป็นแต่ยิ้มเย็นเย้ยหยันให้เขาว่า ‘เฮ้อ โง่เง่า’
“พี่ใหญ่ๆ…” สวี่หลิงอินกระโดดอยู่ที่เดิมสองครั้งแล้วกล่าวอย่างดีใจ “ข้าจะไปบอกท่านแม่ ท่านแม่ต้องยังไม่รู้ว่าท่านกลับมาแล้วแน่ๆ”
สวี่ชีอันอยากจะบอกนางว่าตนเดินเข้ามาทางประตู ไม่ได้กระโดดข้ามกำแพงกลับมา แต่คิดดูแล้วก็รู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องอธิบาย
เขาพยักหน้า “ไปเถอะ!”
“จริงสิ” เขาตะโกนเรียกสวี่หลิงอินเอาไว้อีกแล้วเอ่ยว่า “เจ้าดีใจขนาดนี้ เป็นเพราะตอนเย็นจะได้ยินข้าวสามชามใช่หรือเปล่า”
สวี่หลิงอินตกตะลึง ไม่คิดเลยว่าพี่ใหญ่จะรู้ความคิดของตน พี่ใหญ่ร้ายกาจจริงๆ
นางวิ่งหนีไปด้วยความหวาดกลัว
…………………………………….