ผู้พิทักษ์รัติกาลแห่งต้าฟง - บทที่ 166 พาน้องสาวกับอาสะใภ้ไปดูบ้านใหม่
บทที่ 166 พาน้องสาวกับอาสะใภ้ไปดูบ้านใหม่
เจ้ากรมซุนเข้าไปยังห้องทรงพระอักษร ในห้องอันหรูหรากว้างขวางมีคนอยู่เพียงสามคน ซึ่งก็คือจักรพรรดิหยวนจิ่งผู้นั่งอยู่บนบัลลังก์สูง สมุหราชเลขาธิการหวังผู้ฉลาดหลักแหลม และชายสวมชุดครามผู้มีผมสีขาวยวงแซมข้าง
ใต้เท้าเจ้ากรมเหลือบมองสมุหราชเลขาฯ ผู้เป็นลูกพี่ใหญ่ด้วยความเคยชิน พบว่าสีหน้าของอีกฝ่ายเคร่งขรึม นัยน์ตาลุ่มลึก ทำให้เจ้ากรมซุนที่เดิมทีคิดว่านี่เป็นเพียงการประชุมเล็กทั่วไปถึงกับชะงัก
‘เว่ยเยวียนทำบ้าอะไรอีก…’ เขาหันหน้าไปมองพินิจดูชายชุดครามทันที แต่ขันทีใหญ่ผู้มีสติปัญญาเหนือใครผู้นี้กลับมีท่าทีอ่อนโยน เก็บงำล้ำลึก ทำให้คนมองความคิดในใจของเขาไม่ออก
เจ้ากรมซุนสังหรณ์ไม่ดี หลังจากถวายบังคมแล้วก็ยืนอยู่ที่ตำแหน่งของตนเงียบๆ ไม่พูดไม่จา
เวลาผ่านไปทุกขณะ เหล่าขุนนางใหญ่ตบเท้าเข้ามาตามๆ กันแล้วถวายบังคมไปอยู่ประจำตำแหน่งของตน ระหว่างนี้จักรพรรดิหยวนจิ่งนั่งหลับตาพักผ่อนอยู่ตลอด จนกระทั่งได้ยินเสียงของเจ้ากรมโยธา
จักรพรรดิหยวนจิ่งลืมตาขึ้น กวาดมองขุนนางทุกคน ผู้ที่สามารถเข้าร่วมประชุมเล็กได้ล้วนเป็นขุนนางใหญ่มีอำนาจ ขุนนางชั้นสูงทั่วไปไม่มีสิทธิ์นี้
“ขุนนางเว่ย บอกเหล่าขุนนางทุกคนเถอะ”
เว่ยเยวียนรับคำแล้วก้าวออกมา “เมื่อคืน หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลพบจวนที่เลี้ยงดูชายบำเรอและโสเภณีแห่งหนึ่ง สตรีเหล่านั้นเดิมเป็นหญิงชาติตระกูลดี ชายหนุ่มก็เป็นลูกหลานของชาวบ้านทั่วไป พวกเขาถูกนายหน้าค้ามนุษย์ลักพาตัวมากักขังเอาไว้ที่นี่ แล้วถูกบังคับให้ปรนนิบัติแขกที่มาร่ำสุรายามค่ำคืน…
เมื่อคืนหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลปฏิบัติการสายฟ้าแลบ เข้าล้อมรังโจรแห่งนี้ไว้ จับกุมแขกมาได้ 13 คน สิบคนในนั้นมีฐานะเป็นขุนนางราชการ สามคนเป็นพ่อค้าใหญ่ในเมืองจิงจ้าว นอกจากนี้ หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลยังกู้โครงกระดูก 40 ร่างออกมาจากบ่อน้ำที่เรือนหลังได้ ทั้งหมดล้วนเป็นผู้มีชาติตระกูลดีที่ถูกทารุณ”
คำพูดของเว่ยเยวียนก่อให้เกิดพายุลูกยักษ์ขึ้นในห้องทรงพระอักษร บรรดาขุนนางใหญ่เริ่มพูดคุยกันเสียงดัง ไม่สนใจกฎระเบียบที่ต้องสงบปากสงบคำขณะประชุมราชสำนัก
ค้ามนุษย์ เลี้ยงดูโสเภณี ค้าประเวณีติดสินบน…ไม่ว่าข้อหาใดล้วนทำให้ขุนนางที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ไม่มีทางโงหัวขึ้นได้อีกต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงตรวจสอบข้าราชสำนัก ปิดอย่างไรก็ปิดไม่มิด
แต่เว่ยเยวียนยังพูดไม่จบ เรื่องใหญ่สะเทือนขวัญอีกเรื่องโผล่ออกมา “จากการตรวจสอบ เจ้าของบ้านพักส่วนตัวนั้นเกี่ยวข้องกับพ่อมดจากสำนักพ่อมด อักขระคำสาปเลี้ยงผีที่สลักเอาไว้ในบ่อน้ำคือหลักฐาน เจ้าของบ้านพักส่วนตัวสารภาพว่าเขาทำงานให้กับเจ้ากรมหลิวแห่งกรมโยธา บ้านพักส่วนตัวหลังนั้นไม่ใช่แค่สถานที่มั่วสุมหาความสำราญเท่านั้น แต่ยังเป็นฐานที่มั่นเพื่อติดต่อกับสำนักพ่อมดอย่างลับๆ ด้วย”
ขุนนางทั้งหลายแตกตื่นโกลาหล
จนถึงเมื่อครู่ทุกคนยังรักษาภาพลักษณ์เอาไว้ในระดับหนึ่ง ตอนนี้ที่แห่งนี้กลายสภาพเป็นไช่ซื่อโข่วไปเสียแล้ว มีคนตำหนิว่าเว่ยเยวียนใส่ความ มีคนเสนอว่าให้ตัดหัวของเว่ยเยวียนเสีย
ขันทีใหญ่ที่ปรนนิบัติอยู่ข้างกายจักรพรรดิหยวนจิ่งตะโกนสั่งให้เงียบถึงสามครั้งติดกัน แต่ก็ยังยับยั้งฉากอันวุ่นวายนี้ไม่ได้
จัดงานสังสรรค์เพื่อแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัว ลักพาตัวค้ามนุษย์ บังคับค้าประเวณี เรื่องพวกนี้ล้วนอยู่ในขอบเขตผิดกฎหมายทั้งสิ้น แต่คบค้าสมาคมกับสำนักพ่อมดนั้นต่างออกไป นี่มันคือการร่วมกันก่อกบฏแล้ว
ตามกฎหมายของต้าฟ่ง ผู้ที่ร่วมมือกับศัตรูทำการกบฏต่อบ้านเมือง ต้องประหารเก้าชั่วโคตร
‘ปัง!’ จักรพรรดิหยวนจิ่งตบโต๊ะหนึ่งที ห้องทรงพระอักษรก็เงียบสนิทในพริบตา แววตาคมกริบของเขากวาดมองบรรดาขุนนาง แล้วไปตกอยู่บนร่างของสมุหราชเลขาธิการหวางเจินเหวิน
“ขุนนางหวังคิดว่าอย่างไร”
สมุหราชเลขาธิการเดินออกมา เอ่ยเสียงขรึม “เรื่องนี้ควรตรวจสอบให้ละเอียด ไม่ควรปล่อยปะละเลยพ่ะย่ะค่ะ”
คำพูดนี้ฟังดูเหมือนไม่มีหลักการ แต่เจ้ากรมซุนแห่งกรมอาญาสังเกตได้อย่างแม่นยำว่าลูกพี่ใหญ่เอนเอียงไปทางเว่ยเยวียน เขาเข้าใจความหมายของลูกพี่ใหญ่ได้ทันที
หากยืนข้างเจ้ากรมโยธาล่ะก็ อย่างมากก็ได้ซื้อความเมตตาครั้งใหญ่ และได้หักหน้าเว่ยเยวียน
หากยืนข้างเว่ยเยวียน เมื่อสืบพบความจริง เจ้ากรมโยธาก็จะจบเห่ พรรคฉีต้องเสียผู้นำไปหนึ่งคน
ในคดีซังผอ พรรคหวางเคยพยายามใส่ร้ายเจ้ากรมโยธา ทำให้พรรคฉีเสียหายอย่างหนัก แม้ว่าจะล้มเหลว แต่ก็ถือเป็นโอกาสจริงๆ
จักรพรรดิหยวนจิ่งมองเว่ยเยวียน “นักโทษอยู่ที่ใด”
เว่ยเยวียนส่ายหน้า เอ่ยทอดถอนใจ “เมื่อคืนนักโทษถูกวิชาสาปสังหารของพ่อมด ตายอย่างไร้ร่องรอยพ่ะย่ะค่ะ”
จักรพรรดิหยวนจิ่งขมวดคิ้วมุ่น
ห้องทรงพระอักษรตกอยู่ในความเงียบสงัดทันที เหล่าขุนนางมองเว่ยเยวียนด้วยสายตาแปลกประหลาดราวกับจะพูดว่า ‘ไม่มีหลักฐานแล้วเอาอะไรมาพูด’
สมุหราชเลขาธิการหวางเจินเหวินผู้วางตนสงบเยือกเย็นยังหันหน้ามา ขมวดคิ้วเหลือบมองเว่ยเยวียนเช่นกัน
เจ้ากรมโยธากระตุกยิ้มเยาะมุมปาก แล้วเดินออกมา เอ่ยเสียงดัง “ฝ่าบาท กระหม่อมถูกใส่ร้ายพ่ะย่ะค่ะ เว่ยเยวียนใส่ความกระหม่อม ขอฝ่าบาทโปรดให้ความเป็นธรรมด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
จักรพรรดิหยวนจิ่งใบหน้านิ่งขรึม “เว่ยเยวียน เจ้ามีอะไรจะพูดไหม”
เว่ยเยวียนนิ่งสงบอย่างยิ่ง พูดเสียงดังว่า “กระหม่อมขอให้ฝ่าบาททรงโปรดเบิกตัวฆ้องทองแดงสวี่ชีอันพ่ะย่ะค่ะ”
ฆ้องทองแดงสวี่ชีอัน…สีหน้าของเหล่าขุนนางทั้งหลายแปลกประหลาดขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินชื่อนี้ จากกรณีของโจวชื่อสวงในครั้งก่อน การเบิกตัวสวี่ชีอันในเรื่องสำคัญเช่นนี้ทำให้เหล่าขุนนางนึกได้ว่าเรื่องราวยังมีต่อ เว่ยเยวียนซ่อนแผนการเอาไว้
โดยเฉพาะพวกสมาชิกของพรรคหวาง ล้วนเกิดอาการหวาดผวาเพราะประโยคที่ว่า ‘เบิกตัวสวี่ชีอัน’ เล็กน้อย
เจ้ากรมโยธาหน้าเปลี่ยนสีนิดหน่อย แต่ก็รีบเก็บซ่อนอารมณ์อย่างดี แล้วสงบสติไว้
จักรพรรดิหยวนจิ่งเงียบไปพักหนึ่งแล้วเอ่ย “ประกาศไป”
สิบกว่านาทีต่อมา สวี่ชีอันผู้สวมชุดสีดำ แขวนฆ้องทองแดง และใส่ผ้าคลุมก็เข้ามาในห้องทรงพระอักษร ดาบยาวดำทองที่หลังเอวถูกเก็บไปแล้ว
เขามาพร้อมกับฉู่ไฉ่เวยและคนชุดขาวจากสำนักโหราจารย์อีกสองคน
“ถวายบังคมฝ่าบาท” สวี่ชีอันโค้งกายคำนับ
จักรพรรดิหยวนจิ่งมองดูฆ้องทองแดงผู้น้อยอย่างไม่แยแส เว่ยเยวียนหันหน้าไป เอ่ยยิ้มๆ “ทูลเรื่องราวที่เจ้าพบให้ฝ่าบาทสดับฟังเสีย”
สวี่ชีอันรีบบอกเรื่องที่ตนวางแผนจะใช้เงินที่ฝ่าบาทพระราชทานให้ไปซื้อบ้าน แต่กลับเจอบ้านผีสิง จากนั้นก็พบบ้านพักส่วนตัวหลังนั้นผ่านการเข้าถึงจิตใจ…เท้าความตั้งแต่ต้นจนจบ
ยิ่งเจ้ากรมโยธาฟัง สีหน้าก็ยิ่งดูไม่ได้ ดวงใจค่อยๆ จมดิ่งลงไป
‘คนก็ถูกฆ่าตายไปแล้ว เมื่อคืนเห็นชัดๆ ว่าหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลโมโหเรื่องนี้มาก… พวกมันไม่มีหลักฐาน คิดจะมาหลอกข้าอีก…’ เจ้ากรมโยธาสงบอารมณ์ หัวเราะเยาะอยู่ในใจ
‘ข้าอยู่ในแวดวงราชการมาครึ่งชีวิต ผ่านลมฝนมามากมาย ก็แค่อุบายกระจอกๆ เฮอะ’
สวี่ชีอันพูดจบ เห็นว่าจักรพรรดิหยวนจิ่งยังนิ่งเงียบ ใบหน้าไร้อารมณ์ ดังนั้นจึงกล่าวเสริม “ผีสาวถูกผนึกไว้ในแผ่นฮวงจุ้ยของแม่นางไฉ่เวยจากสำนักโหราจารย์ หากฝ่าบาทอยากตรวจสอบ สามารถเลือกคนที่ไว้ใจให้เข้าถึงจิตใจผีสาวตนนั้นได้พ่ะย่ะค่ะ”
พูดจบ ในใจเขาก็ลอบคิดว่า ต้องให้ผู้ชายเข้าถึงจิตใจสิ
จักรพรรดิหยวนจิ่งเงียบงันไปพักครึ่ง มองไปยังขันทีใหญ่ข้างกาย หากถามว่าในที่นี้ใครคือผู้ที่เขาไว้ใจมากที่สุด ก็ต้องเป็นขันทีที่รับใช้อยู่ข้างกายมาตั้งแต่ยังเด็กผู้นี้
“ยินดีรับใช้ถวายชีวิตแด่ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีใหญ่โค้งกายกล่าว
“กงกงไม่ต้องกลัวไป ไม่มีปัญหาใหญ่อะไรหรอก” เมื่อสวี่ชีอันเห็นขันทีใหญ่ตื่นตระหนกเล็กน้อย จึงคิดว่าอีกฝ่ายคงไม่รู้ว่าอะไรคือเข้าถึงจิตใจ เลยเอ่ยปากปลอบโยน
ไม่ต้องกังวลไป คิดเสียว่าดูหนังเรื่องหนึ่ง ไม่มีความรู้สึกเป็นพิเศษหรอก
สวี่ชีอันคิดว่าสำหรับขันทีแล้ว นี่คงเป็นของขวัญชิ้นหนึ่ง
ฉู่ไฉ่เวยหยิบแผ่นฮวงจุ้ยออกมาแล้วเดินไปอยู่ตรงหน้าขันทีใหญ่ แผ่นฮวงจุ้ยเปล่งแสงสดใส ปลาหยินหยางหมุนวน ไอหมอกสีดำปรากฏขึ้นมา
นางค่อยๆ เคลื่อนหมอกดำไปที่หว่างคิ้วของขันทีใหญ่ คนหลังเอนตัวหลบตามสัญชาตญาณ พยายามหลบหลีก ครู่ต่อมา หมอกดำก็แทรกเข้าไปในดวงจิตเดิมของอีกฝ่าย
นิ้วหยกของฉู่ไฉ่เวยแตะไปที่หว่างคิ้วของเขา ช่วยให้เขาและผีสาวผสานกัน ไม่อย่างนั้นความแข็งแกร่งของจิตเดิมของขันทีใหญ่อาจถูกวิญญาณแค้นแทรกซึม แยกไม่ออกว่าใครเป็นใคร
จักรพรรดิหยวนจิ่งและขุนนางทั้งหมดในห้องอักษรสังเกตดูขันทีใหญ่ มองเห็นเขาเผยสีหน้าจู่ๆ ก็หวาดกลัว จู่ๆ ก็ดุดัน จู่ๆ ก็สิ้นหวัง และจู่ๆ ก็เจ็บปวด
กระบวนการนี้กินเวลาอยู่หนึ่งเค่อ ฉู่ไฉ่เวยก็ดึงนิ้วหยกออกมา ขณะเดียวก็ดึงหมอกดำออกมาด้วย แล้วผนึกกลับไปในแผ่นฮวงจุ้ยอีกครั้ง
ขันทีใหญ่ปล่อยโฮออกมา ลืมตาขึ้นแล้วคุกเข่าร่ำไห้ “ฝ่าบาท ฝ่าบาทพระองค์ต้องคืนความเป็นธรรมใหญ่บ่าวนะ…”
เขาร้องไห้ไป ทันใดนั้นก็รู้ตัวขึ้นมาว่าตนเป็นผู้ชาย อย่างน้อยเมื่อก่อนก็ใช่ และแต่ละอย่างที่ประสบไปเมื่อครู่นี้ล้วนเป็นความทรงจำของผีสาว ไม่ใช่ของตัวเขา
หลังจากเข้าใจเรื่องนี้แล้ว ขันทีใหญ่ก็รีบปาดน้ำตา สีหน้าค่อยๆ กลับมาเป็นปกติ แต่น้ำเสียงยังคงโศกเศร้า “ฝ่าบาท บ่าวเห็นหมดแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
จักรพรรดิหยวนจิ่งพยักหน้า “พูดมา”
เขาหันไปมองคนชุดขาวของสำนักโหราจารย์ซึ่งรวมไปถึงฉู่ไฉ่เวยด้วย พอเห็นปราณใสหมุนวนอยู่ในดวงตาของพวกเขา ก็เบนสายตากลับมามองที่ขันทีใหญ่อีกครั้งอย่างเบาใจ
“บ่าวเห็นนางถูกคนลักพาตัวไป ส่งมายังเมืองหลวง ทุกวันล้วนถูกบังคับให้ปรนนิบัติแขกที่มาซื้อคู่นอน…ไม่สิ แขกไม่เคยจ่ายเงินเลยพ่ะย่ะค่ะ”
เหล่าขุนนางใหญ่มองหน้ากันไปมา แบบนี้แสดงว่าสิ่งที่เว่ยเยวียนพูดมาไม่ใช่เรื่องโกหก นี่คือบ้านพักที่ลักพาตัวไปค้ามนุษย์และบังคับให้ขายตัว
“ต่อมา นางปรนนิบัติลูกค้าคนหนึ่งชื่อธัมลาฮา จนเป็นที่ชื่นชอบและกลายเป็นคนโปรดของเขา”
ธัมลาฮา…นี่เป็นชื่อของคนต่างชาติ
จักรพรรดิหยวนจิ่งหรี่ตา ชำเลืองมองเจ้ากรมโยธาแล้วพยักหน้าเอ่ย “จากนั้นล่ะ”
“ในคืนวันหนึ่ง นางแอบได้ยินบทสนทนาลับโดยบังเอิญ ได้ยินคำว่า ‘ปืนใหญ่’ ‘อาวุธ’ จึงถูกสังหารอย่างโหดเหี้ยม แล้วโยนศพลงบ่อน้ำ และบ่าวก็เห็นผู้ที่คุยบทสนทนาลับกับธัมลาฮาผู้นั้นด้วยพ่ะย่ะค่ะ…”
พูดถึงตรงนี้ ขันทีใหญ่ก็หันหน้าชี้ไปที่เจ้ากรมโยธา แล้วเอ่ยเสียงแหลมสูง “เป็นเจ้ากรมหลิวพ่ะย่ะค่ะ”
สีหน้าของจักรพรรดิหยวนจิ่งเขียวปั้ดทันที
ห้องทรงพระอักษรโหวกเหวกขึ้นมา ลมเปลี่ยนทิศรวดเร็ว ขุนนางทุกคนหันหัวหอกไปโจมตีเจ้ากรมโยธา ในหมู่พวกเขา ศาลต้าหลี่มีปฏิกิริยารุนแรงที่สุด ทั้งถอนหายใจใส่อารมณ์ ประณามว่าเจ้ากรมหลิวไม่ใช่คน
ท่ามกลางเสียงประณามนี้ ใบหน้าของเจ้ากรมโยธานิ่งเหมือนกับดิน ราวกับหุ่นกระบอกไร้ชีวิต
…
เมื่อออกมาจากวัง สวี่ชีอันก็ขี่ม้าเทียบกับรถม้าของเว่ยเยวียน
“เว่ยกง เจ้ากรมโยธาคือหนึ่งในผู้นำพรรคฉี การเก็บเขาไว้ในมือสามารถถอนรากถอนโคนพรรคฉีได้นะขอรับ” สวี่ชีอันพูดเสียงทุ้ม
ในรถม้า เสียงหัวเราะของเว่ยเยวียนดังออกมา “ตอนนี้ไม่ใช่เวลาโค่นพรรคฉี ต่อให้สิ้นพรรคฉี ผู้ที่ได้ผลประโยชน์สูงสุดก็ยังไม่ใช่พวกเราอยู่ดี”
สวี่ชีอันผู้อยู่ในระดับทารกบริสุทธิ์ในสนามการเมือง ไม่ค่อยพัวพันกับเรื่องนี้มากนัก เขาหันไปถามอย่างไม่แน่ใจ “เช่นนี้นับว่าข้าทำผลงานชดใช้ความผิดหรือไม่ขอรับ”
เว่ยเยวียนเอ่ย “อืม” แล้วกล่าวว่า “กรมอาญาจะไม่จับกุมเจ้าอีกต่อไป ส่วนหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลที่เหลือ ยังต้องดูพระประสงค์ของฝ่าบาท ภายหลังจากนี้ข้าจะยื่นฎีกาส่งให้กับพระราชวัง”
อืม เรื่องพวกนี้ต้องยกให้เว่ยเยวียนไปจัดการ…เรื่องเลื่อนขั้นเป็นฆ้องเงินดูท่าจะวางใจได้มากขึ้นแล้วล่ะ…ก่อนอื่นต้องกลับบ้านไปปลอบโยนอารองกับอาสะใภ้ก่อน
สวี่ชีอันเอ่ยลาทันที เขาขอตัวกับเว่ยเยวียนแล้วตบก้นแม่ม้าน้อย ก่อนรีบเร่งเดินทางไปยังเมืองชั้นนอก
อารองทำงาน ไม่อยู่ที่จวน ในบ้านจึงมีแค่อาสะใภ้กับน้องสาวสองคน
อาสะใภ้นั่งอยู่บนเก้าอี้ที่โถงหน้า ดื่มชากินขนม บางครั้งก็ป้อนขนมเสี่ยวโต้วติงที่เล่นของเล่นไม้อยู่
นางสวมชุดผ้าไหมสีเขียวเข้ม เรือนผมสวยเกล้ามวยสูง เสียบด้วยปิ่นทองระย้าน่ามอง ใบหน้างดงามแต่งแต้มอย่างประณีต
เมื่อเห็นหลานชายเฮงซวยกลับมา สีหน้าของอาสะใภ้ก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย สะกดกลั้นเสียงไว้แล้วรีบเอ่ยพูดว่า
“เจ้ากลับมาทำไม อารองของเจ้าบอกว่ารอบๆ มีแต่สายลับของกรมอาญาเต็มไปหมด รีบไสหัวไปซะ”
“พี่ใหญ่ พี่ใหญ่…” สวี่หลิงอินวิ่งเข้ามาอย่างดีใจ มาหยุดอยู่ตรงหน้าเขาทันที ร่างกายกระจิ๋วหลิวของนางเอนไปมา แล้วเงยหน้าเล็กขนาดเท่าฝ่ามือขึ้น
“เอาของอร่อยกลับมาไหม”
“ไม่มี”
สวี่ชีอันทำลายความหวังอันกระตือรือร้นของเด็กน้อยอย่างเยือกเย็น
“อ้อ”
สวี่หลิงอินก็เป็นเด็กที่อยู่ในโลกความเป็นจริง นางทิ้งพี่ใหญ่เหมือนกับรองเท้าทันที แล้วส่ายก้นน้อยๆ กลับไปเล่นของเล่นตัวเอง
สวี่ชีอันไม่อยากสนใจอาสะใภ้ เขาเดินไปที่โต๊ะยื่นมือหยิบขนมหวานขึ้นมา แต่ถูกฮูหยินคนงามตีมือเข้าให้พลางเบิกตามอง “ข้าพูดกับเจ้าอยู่นะ”
สวี่ชีอันเอ่ยเสียงเรียบเรื่อย “เรื่องคลี่คลายลงแล้ว ข้ากลับมาบอกข่าว”
เมื่อได้ยินว่าเรื่องคลี่คลายแล้ว สีหน้าของอาสะใภ้ก็เผยรอยยิ้มขึ้นมากแล้วรีบหุบยิ้มทันที ก่อนเอ่ยตำหนิ “ข้ารู้มาตลอดว่าเจ้าต้องก่อเรื่อง หัดให้ที่บ้านอยู่สงบๆ สักหน่อยได้ไหม”
ตั้งแต่เริ่มเรื่องคดีเงินภาษีเป็นต้นมา ชีวิตไม่เคยสงบสุขเลย สามวันห้าวันก็จะวุ่นวายสักหนึ่งครั้ง ตอนแรกอาสะใภ้ทั้งกังวลและหวาดกลัว แต่ตอนนี้รู้สึกชินเสียแล้ว
นี่ไม่ใช่เรื่องดีเลย
สวี่ชีอันไม่สนใจเสียงบ่นของอาสะใภ้ เขาเอ่ยว่า “ข้าเลือกบ้านได้แล้ว อยากจะพาหลิงเยวี่ยกับหลิงอินไปดูหน่อย อาสะใภ้ไปไหม”
เมื่อได้ยินว่าเลือกบ้านได้แล้ว นัยน์ตางดงามก็สว่างไสวขึ้น นางเอ่ยอย่างสงวนท่าที “อย่างไรเสียก็ไม่มีอะไรต้องทำ จะไปดูกับเจ้าด้วยก็แล้วกัน”
……………………………