ผู้พิทักษ์รัติกาลแห่งต้าฟง - บทที่ 178 เดินทางออกจากเมืองหลวง
บทที่ 178 เดินทางออกจากเมืองหลวง
เช้าตรู่ องค์หญิงหลินอันลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ พระวรกายอุ่น ยืดเหยียดบั้นเอว พระบาทเหยียดโดนขาโต๊ะดัง ‘โครม’
นางลืมตาที่พร่ามัว มองเห็นท้องฟ้าสีขาว เวลานี้พระอาทิตย์ยังไม่ขึ้น
ยายตัวร้ายเหมือนเมาค้างอยู่ในไนต์คลับ สายตาเลือนรางเปลี่ยนเป็นความฉงน สงสัยว่าตัวเองมองผิดไปหรือเปล่า ทำไมสิ่งที่เห็นไม่ใช่พระแท่นบรรทมอันวิจิตร แต่กลับเป็นท้องฟ้ายามรุ่งอรุณ
ส่งเสียง ‘อืม’ อย่างน่าเอ็นดู ร้องครางเบาๆ
ทุกฉากเมื่อคืนนี้ผ่านเข้ามาในความคิดอย่างรวดเร็ว นางจำได้แล้ว เมื่อคืนล่องเรือในสระน้ำกับสวี่หนิงเยี่ยน ดื่มเหล้าและพูดคุยกัน
เนื่องจากไม่เคยมีประสบการณ์เช่นนี้มาก่อน นางจึงทรงตอบรับข้อเสนอของฆ้องทองแดงทันที สำหรับองค์หญิงที่ยังไม่ได้อภิเษกสมรส หากพฤติกรรมบ้าบิ่นเช่นนี้แพร่งพรายออกไปก็เพียงพอแล้วที่จะทำลายชื่อเสียงของนาง
และต่อมา คงเป็นเพราะดื่มน้ำจัณฑ์มากไปหน่อย นางจึงปล่อยเนื้อปล่อยตัวมากขึ้นทุกขณะ จนลืมตัวเอนพระวรกายลงบนพื้นเรือ ตามคำพูดของเขา
หลังจากที่ได้เห็นดวงดาวเต็มท้องฟ้า ดวงใจของยายตัวร้ายก็เคลิบเคลิ้ม ในความคิดมีเพียงประโยค ‘หลังเมามายเหตุไฉนท้องนภาลอยในธารา ดารณีเปี่ยมฝันหวานพาดทับหมู่ดารา’
ด้วยความเมามาย จึงไม่อยากลุกขึ้น และบรรทมไปด้วยฤทธิ์เหล้า
อบอุ่นเหลือเกิน แม้จะอยู่ในช่วงที่หนาวที่สุดของฤดูหนาวและบรรทมในเรือ แต่นางกลับไม่รู้สึกหนาว แต่รู้สึกอบอุ่นราวกับกลับคืนสู่อ้อมกอดของพระมารดา
แต่ตอนนี้ไม่มีอารมณ์จะสนใจเรื่องนี้ ยายตัวร้ายทรงลุกขึ้นนั่งด้วยความตื่นตระหนก พบว่ามีผ้าคลุมพระวรกายก็คิดจะเลิกผ้าคลุมออกตามสัญชาตญาณ แต่ก็ชะงักไป แล้วลองคลำพระวรกายของตัวเองภายใต้ผ้าคลุมด้วยความกังวลใจ เพื่อความมั่นใจว่าฉลองพระองค์ยังอยู่ดี และพระวรกายก็ไม่มีอาการไม่พึงประสงค์ใดๆ อย่างเช่นความเจ็บปวดจากการเสียความบริสุทธิ์ ที่มักถูกกล่าวถึงในหนังสือ
ยายตัวร้ายถอนหายใจอย่างโล่งใจ มองไปรอบๆ ตัว ก็เห็นนางกำนัลที่เฝ้าระวังอยู่บนฝั่ง ดังนั้นยายตัวร้ายแห่งไนต์คลับที่มีอาการเมาค้าง ก็กลับมาเป็นองค์หญิงหลินอันผู้สง่างามเช่นเดิม
นางทรงตะโกนเรียกทหารรักษาพระองค์ที่รออยู่บนฝั่ง ให้เขาขึ้นเรือพาย แล้วช่วยพายเรือเข้าฝั่ง จากนั้นทรงถามว่า “ใต้เท้าสวี่กลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่”
“ฟ้ายังไม่สางก็กลับไปแล้วเพคะ” นางกำนัลตอบด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาและนอบน้อม
หลินอันทรงพยักหน้าอย่างไม่สบอารมณ์ นึกถึงความรู้สึกอบอุ่นเมื่อวานนี้ หลังจากเปรียบเทียบอย่างละเอียดแล้ว ก็ทรงพบว่ามันไม่ได้มาจากผ้าคลุม จึงตรัสถามด้วยพระพักตร์บึ้งตึงว่า
“เมื่อคืนเขาได้ทำอะไรนอกลู่นอกทางหรือไม่”
“มีเพคะ มีเพคะ”
ใต้ตาดำคล้ำ นางกำนัลที่ไม่ได้นอนทั้งคืนถือโอกาสถวายรายงานด้วยขอบตาคล้ำ “เขาล่วงเกินองค์หญิงเพคะ”
“ฮะ” สีพระพักตร์หลินอันดูหวาดหวั่น
“เขาจับพระหัตถ์องค์หญิงตลอดเวลาเลยเพคะ” นางกำนัลพูดด้วยความโกรธแค้นว่า “เมื่อเช้านี้ก่อนที่เขาจะกลับ ยังได้ตบ..ก้นของหม่อมฉัน พร้อมกับขู่ว่าไม่ให้บอกองค์หญิงด้วยเพคะ”
กล้าทำขนาดนี้เชียวหรือ คิ้วของหลินอันตั้งตรง รู้สึกอับอายและโกรธขึ้งที่มองคนผิด
“องค์หญิงรอง…” ทหารรักษาพระองค์อยากจะพูดแต่ก็ชะงักไป
“ท่าทางอึกๆ อักๆ” หลินอันทรงเหลือบมองเขาด้วยความไม่พอพระทัย
“อากาศหนาวเหน็บ องค์หญิงบรรทมบนเรือ ผ้าคลุมบรรทมเพียงผืนเดียวไม่สามารถป้องกันความหนาวเหน็บได้” ทหารรักษาอธิบาย “เมื่อคืนกระหม่อมเห็นชัดเจนว่าใต้เท้าสวี่ไม่ได้นอนทั้งคืน คอยจับพระหัตถ์องค์หญิง เพื่อถ่ายทอดพลังปราณ เพื่อขับไล่ความหนาวพ่ะย่ะค่ะ”
‘ถ่ายทอดพลังปราณ… ไม่ได้นอนทั้งคืน…’ ยายตัวร้ายตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ก็จำได้ว่าเมื่อคืนนี้หลับสบายจริงๆ จึงตรัสด้วยความสงสัยว่า
“ทำไมข้าจึงไม่เคยได้ยินเรื่องเช่นนี้มาก่อน แล้วก็ไม่มีใครเคยถ่ายทอดพลังปราณให้ข้ามาก่อนเลย”
“เรื่องนี้…” ทหารรักษาพระองค์ยิ้มแหยๆ แล้วพูด “การถ่ายทอดพลังปราณตลอดทั้งคืนโดยไม่ได้พักผ่อน สิ้นเปลืองกำลังอย่างมาก ใครจะทนได้พ่ะย่ะค่ะ” เว้นแต่จะเป็นนักรบตำแหน่งระดับกลางหรือนักรบตำแหน่งระดับสูง
“อีกอย่าง องค์หญิงทรงมีชีวิตหรูหราสุขสบาย จึงไม่มีความจำเป็นต้องทำเช่นนี้พ่ะย่ะค่ะ”
ยายตัวร้ายกัดริมฝีปาก แล้วทรงตรัสหยั่งเชิงว่า “เหนื่อยแค่ไหน?”
ทหารรักษาพระองค์ตอบว่า “หากเป็นกระหม่อม คงจะหมดกำลังตายไปนานแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ดวงตากลมโตเป็นประกายของนางรื้นขึ้น อ่อนโยนขึ้นมาทันที
“ตอนที่ใต้ ใต้เท้าสวี่กลับไป ดูเหมือน… สีหน้าอิดโรยมาก” นางกำนัลหวนคิดแล้วพูดว่า “แต่ทำไมเขาจึงไม่ให้หม่อมฉันพูดล่ะ”
หลินอันไม่ได้ตอบคำถามนี้ แต่ทรงพระดำเนินออกไป ทันใดนั้น “เช้านี้เขาจะออกเดินทางจากเมืองหลวงไปอวิ๋นโจว ตอนนี้เวลาเท่าไหร่แล้ว ข้าจะไปส่งเขาออกเดินทาง…”
ไม่รู้ว่าทำไม ในใจของนางจึงรู้สึกหวั่นไหวอย่างบอกไม่ถูก รู้สึกอยากจะเห็นสุนัขรับใช้ตัวนั้น
“พระองค์ เลยเวลาเหม่าไปแล้วเพคะ…” นางกำนัลเดินตามองค์หญิงไป “มีอย่างที่ไหน องค์หญิงจะไปส่งฆ้องทองแดงออกเดินทาง หากเรื่องนี้เผยแพร่ออกไป จะไม่เป็นผลดีทั้งกับพระองค์และตัวเขานะเพคะ”
ประโยคนี้ทำให้หลินอันผู้ทรงเอาแต่ใจต้องหยุดเดิน
‘สำหรับข้า อย่างมากที่สุด ก็ถูกเสด็จพ่อทรงตำหนิ… แต่หากเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับชื่อเสียงและศักดิ์ศรีของฆ้องทองแดงผู้ต่ำต้อยเช่นเขา จะต้องทรมานอย่างแน่นอน…’ หลินอันเหลือบมองนางกำนัลและทหารรักษาพระองค์ พระพักตร์รูปไข่ปรากฏแววน่าเกรงขามอย่างแทบไม่เคยเห็นมาก่อน
“เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับชื่อเสียงของข้า เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้พวกเจ้าห้ามแพร่งพรายออกไปอย่างเด็ดขาด มิฉะนั้นจะต้องถูกโบยจนตายทุกคน”
“พ่ะย่ะค่ะ”
…
จากเมืองหลวงถึงอวิ๋นโจว ระยะทางยาวไกล เพื่อเป็นการประหยัดเวลา คณะผู้แทนพระองค์คณะนี้จึงเลือกเดินทางทางน้ำ ตัดการเดินทางบนที่แห้ง
เรือของทางการฝ่าคลื่นลม ใบเรือต้านลมแรง
สวี่ชีอันยืนอยู่บนดาดฟ้าเรือ รับลมที่พัดมาจากพื้นผิวแม่น้ำ เรือลำใหญ่น้อยแล่นอยู่บนผิวน้ำ มีทั้งเรือของทางการและเรือของพ่อค้า
“สีหน้าเจ้าดูไม่ดีเลย ดูเหน็ดเหนื่อย” เจียงลวี่จงมาที่ดาดฟ้า ยืนเคียงข้างเขา หันหน้าไปมองสวี่ชีอัน แล้วหัวเราะเบาๆ
“เมื่อวานไปสำนักสังคีตมาหรือ”
“…อืม” สวี่ชีอันไม่พูดอะไร
เขาไปที่สำนักสังคีตก็จริง และยังได้เชื่อมสัมพันธ์กับฝูเซียงก่อนจากกัน แต่สาเหตุที่อ่อนเพลียที่แท้จริงก็คือถูกยายตัวร้ายรีดพลังไปหมด แต่เรื่องแบบนี้ไม่สามารถพูดออกมาได้
“ดูเจ้าสิ ยังเด็กเกินไป ประสบการณ์น้อย” สองมือของเจียงลวี่จงจับรั้วไว้ ยิ้มเหมือนคนชำนาญในการขับรถ
“อวิ๋นโจวก็มีสำนักสังคีตเหมือนกัน ผู้หญิงเจียงหนานเนื้อตัวอ่อนนุ่ม น้ำเสียงอ่อนหวาน รสชาติแตกต่างจากผู้หญิงเมืองหลวง วันหลังจะพาเจ้าไปหาประสบการณ์”
“ไม่เหมือนกันหรอก” สวี่ชีอันส่ายหน้า
“เจ้าเป็นคนลุ่มหลงในความรักเช่นนั้นหรือ” เจียงลวี่จงพูดด้วยความประหลาดใจ
เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับความลุ่มหลงในความรัก นี่มันเป็นเรื่องของการชอบของฟรี… สวี่ชีอันพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “เว้นแต่ฆ้องทองคำเจียงจะเป็นคนจ่าย”
“อะไรนะ” เจียงลวี่จงตกตะลึง
“เจ้าเป็นคนจ่าย เช่นนั้นจึงจะเหมือนกัน” สวี่ชีอันทำหน้าเคร่งขรึม
เจียงลวี่จงคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วชี้ไปที่ผิวน้ำ “เจ้าคิดว่าน้ำที่นี่เป็นอย่างไร”
สวี่ชีอันมองลงไปที่แม่น้ำ แล้วตอบตามตรงว่า “ก็ไม่เท่าไหร่ ดูสกปรก”
เจียงลวี่จงพยักหน้า “เจ้ารู้ก็ดีแล้ว”
สวี่ชีอัน “…”
ผ่านไปครู่หนึ่ง เจียงลวี่จงก็พูดว่า “แล่นตามคลองไปทางใต้ เมื่อถึงชิงโจว พวกเราก็ต้องเปลี่ยนไปเดินทางทางบกแทน หลังจากเดินทางทางบกสิบวัน ก็จะถึงอวิ๋นโจวแล้ว”
“ใต้เท้าเจียง บอกเส้นทางลับนี้แก่ข้าไม่ค่อยเหมาะเท่าไหร่กระมัง” สวี่ชีอันพูด
“ไม่เป็นไร ด้วยสติปัญญาของเจ้า ไม่ช้าก็จะได้เป็นฆ้องทองคำอย่างแน่นอน” เจียงลวี่จงยิ้มอย่างไม่ใส่ใจนัก
เพื่อนก็ส่วนเพื่อน แต่ถ้าเจ้าปักธงของข้า ข้าย่อมต้องโกรธเช่นกัน… สวี่ชีอันตอบด้วยรอยยิ้ม “น้อมรับคำพูดที่เป็นสิริมงคลของเจ้า อืม ทำไมถึงต้องเปลี่ยนไปเดินทางบนที่แห้งด้วย”
“เขาเรียกว่าเส้นทางทางบก”เจียงลวี่จงแก้ไขให้ถูกต้อง จากนั้นก็อธิบายว่า “แม้ว่าชิงโจวจะอยู่ติดกับอวิ๋นโจว แต่ทั้งสองแคว้นไม่มีคลองเชื่อมกัน หากจะเดินทางทางน้ำ ก็จะต้องอ้อมสันทรายที่อยู่ด้านข้าง เร็วสู้เดินทางทางบกไม่ได้”
ในราชวงศ์ก่อนหน้านี้เคยมีการสร้างทางน้ำ ชุดลอกคลอง ขุดคลองเชื่อมระหว่างทิศเหนือและทิศใต้ ตะวันออกและตะวันตกตามลำดับ มีสาขาลำน้ำจำนวนนับไม่ถ้วน จึงได้มีเส้นทางการขนส่งข้าวของต้าฟ่งที่เจริญเช่นทุกวันนี้ ชิงโจวและอวิ๋นโจวจะไม่มีคลองเชื่อมกันเชียวหรือ
“ไม่มีเส้นทางน้ำเลยหรือ” สวี่ชีอันแสดงความข้องใจ
“แต่เดิมเคยมี อวิ๋นโจวและชิงโจวมีสาขาลำน้ำเชื่อมกัน แต่เมื่อสิบกว่าปีที่แล้วแม่น้ำได้เปลี่ยนทิศกะทันหัน” เจียงลวี่จงอธิบาย
เปลี่ยนทิศหรือ… สวี่ชีอันพยักหน้าช้าๆ
ระบบชลประทานเป็นปัญหาที่ทำให้ราชสำนักปวดหัวมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เกิดน้ำท่วมเสมอ เปลี่ยนทิศเสมอ แม้แต่ชาติก่อน อุทกภัยยังคงทำให้คนปวดหัวเช่นเดิม ผู้ชายเปลี่ยนทิศยังดี อย่างมากที่สุดก็แค่น่าเป็นห่วง แต่แม่น้ำเปลี่ยนทิศ สร้างความเสียหายนับพันลี้ ประชาชนต้องประสบความหายนะ
ในตอนนั้นเอง มีควันดำลอยขึ้นเบื้องหน้า สวี่ชีอันพยายามมองไปไกลๆ อย่างสุดความสามารถ ก็พบว่ามีเรือลำเล็กจอดเทียบชายฝั่งอยู่ และมีคนหลายคนกำลังเผาสินค้าอยู่
“เกิดอะไรขึ้น ทำไมจึงต้องเผาสินค้า” สวี่ชีอันพูดเสียงขรึม
ปฏิกิริยาแรกของเขาคือมีคนทำความผิด ทำลายสินค้าของพ่อค้าให้เกิดความเสียหาย
เจียงลวี่จงเหลือบมองเล็กน้อย แล้วพูดขึ้นทันทีว่า “เหตุการณ์แบบนี้โดยทั่วไป เป็นเพราะพ่อค้าไม่ต้องการเสียภาษี จึงได้เผาสินค้าเพื่อเตรียมแล่นเรือกลับ”
“ใกล้จะถึงเมืองหลวงอยู่แล้ว ทำไมถึงต้องทำเช่นนี้” สวี่ชีอันไม่เข้าใจ
“หึ ราชสำนักตั้งด่านกั้นคลองอย่างหนัก ทุกครั้งที่ผ่านหนึ่งด่าน จะต้องจ่ายภาษีหนึ่งครั้ง จ่ายไปจ่ายไป พ่อค้าจำนวนมากก็จะพบว่า ถึงแม้จะไปถึงปลายทาง และขายสินค้าได้ แต่เงินที่ได้มานั้นยังไม่พอจ่ายภาษี ดังนั้นจึงเผาสินค้าแล้วแล่นเรือกลับเสียเลย เพราะถ้าเจ้าบรรทุกสินค้าไป ขณะแล่นเรือกลับก็ยังต้องจ่ายภาษีอีกครั้ง แต่เรือเปล่าไม่ต้องจ่ายภาษี” เจียงลวี่จงพูดด้วยความสะเทือนใจ
“การเผาสิ่งของตามริมแม่น้ำ เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นบ่อยๆ”
“ขูดรีดได้น่าเกลียดอะไรเช่นนี้” สวี่ชีอันเลิกคิ้ว
“ยังมีที่น่าเกลียดยิ่งกว่านี้อีก เนื่องจากพ่อค้ารายย่อยจ่ายภาษีการขนส่งข้าวทางน้ำไม่ไหว จึงต้องพึ่งพาสมาคมพ่อค้าขนส่งข้าวทางน้ำ สมาคมพ่อค้าเหล่านั้นก็จะฮุบสินค้าในราคาต่ำ แล้วขายออกในราคาสูง ยกตัวอย่างเหมืองดินประสิวที่เจ้าเคยรับช่วงต่อที่อำเภอไท่คัง ผู้ที่เผาปูนขาวในท้องถิ่นนั้นระเบิดหินเผาปูน เมืองหลวงรับปริมาณมากขนาดนั้นไม่ไหว พวกเขาจึงต้องส่งไปขายยังแคว้นต่างๆ แต่ภาษีหนักขนาดนั้น พวกเขาก็รับไม่ไหว สมาคมพ่อค้าก็ฉวยโอกาสรับซื้อปูนขาวในราคาต่ำ แล้วส่งออกผ่านช่องทางของตัวเอง บรรดาผู้เผาปูนขาวจะได้กำไรเพียงส่วนเดียวหรืออาจจะน้อยกว่านั้น แทบไม่พอยาไส้”
“ผลประโยชน์ที่พัวพันอยู่เบื้องหลังนั้นสุดจะคาดเดา แม้แต่เว่ยกงก็ยังกังวลใจเป็นอย่างยิ่ง”
สวี่ชีอันเงียบขรึมไม่พูดไม่จา
เขาคิดถึงอีกเรื่องหนึ่ง จักรพรรดิหยวนจิ่งทรงบำเพ็ญพรตและเล่นแร่แปรธาตุ ค่าใช้จ่ายมหาศาล และเงินเหล่านี้ไม่ได้มาจากกรมการคลัง แต่เป็นค่าใช้จ่ายที่มาจากท้องพระคลังของพระองค์เอง ถ้าเช่นนั้น จักรพรรดิหยวนจิ่งนำเงินจากไหนมาถลุงอย่างบ้าคลั่งเช่นนี้
เขาไม่ได้ถามคำถามนี้ แต่กลับไปฝึกลมหายใจที่ห้องโดยสาร เพื่อฟื้นพลัง เมื่อใกล้เที่ยง ก็รู้สึกหิวจนท้องร้อง
เมื่อออกจากห้องก็ได้ยินเสียงพูดคุยกันอย่างคึกคักบนดาดฟ้าเรือ ที่แท้เป็นเพราะมีปลาแม่น้ำตัวอ้วนจำนวนมากที่ติดแหของคนพายเรือมา ถูกเทกระจัดกระจายลงบนดาดฟ้าเรือ โดยมีเจียงลวี่จงเป็นผู้นำ ซ่งถิงเฟิง และฆ้องทองแดงกว่า 20 คน ร่วมประสมโรง ต่างดีใจที่เที่ยงนี้จะได้ดื่มน้ำแกงปลาสดๆ
ผู้ตรวจการที่เป็นผู้นำคณะครั้งนี้ได้ยินเสียงก็ออกมาดู แล้วขมวดคิ้ว
เขาเป็นผู้ช่วยรองฝ่ายตรวจการประจำฝ่ายตรวจการณ์ ขุนนางระดับสี่ชั้นเอก ในวงข้าราชการของต้าฟ่ง ผู้ตรวจการจะรับผิดชอบเป็นผู้ตรวจสอบ และมีอำนาจบาตรใหญ่
เว่ยเยวียนเป็นผู้ควบคุมฝ่ายตรวจการ ต้าชิงอียังมียศฝ่ายตรวจการฝ่ายซ้าย ข้าราชการระดับสองชั้นเอก
ผู้ตรวจการท่านนี้สามารถพูดได้ว่าเป็นคนกันเองมีอาการเมาเรือตลอดช่วงเช้า รู้สึกวิงเวียน ตาลาย และกำลังพักผ่อนอยู่ ก็ถูกปลุกด้วยเสียงเอะอะของทหารกลุ่มนี้ ส่งจึงทำให้รู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง
“เลือกปลาแม่น้ำตัวที่อ้วนที่สุดสักสองสามตัวมาต้มน้ำแกงให้ใต้เท้าผู้ตรวจการดื่มซิ” เจียงลวี่พูดยิ้มๆ
ใต้เท้าผู้ตรวจการที่ไว้เคราแพะ ท่าทางสง่าโบกมือไปมา และขมวดคิ้วแน่น “ปลาแม่น้ำเหม็นคาวนัก ข้าไม่อยากกิน”
หลังจากปฏิเสธเจตนาดีของเจียงลวี่จงแล้ว เขาก็กวาดตามองบรรดาฆ้องทองแดงด้วยความไม่พอใจ “ทุกคนอยู่ในความสงบหน่อย ส่งเสียงเอะอะโวยวาย ช่างน่าอายนัก”
หลังจากพูดจบ ก็กลับเข้าไปในห้องโดยสารด้วยสีหน้าไม่พอใจ
“หึหึ ร่างกายปัญญาชนช่างอ่อนแอ แค่นี้ก็ทนไม่ได้เสียแล้ว” ฆ้องทองแดงคนหนึ่งหยอกเย้า จึงถูกเจียงลวี่จงถลึงตาใส่
มีน้ำแกงปลาสดให้ซด…จะได้เติมผงปรุงรสไก่เพิ่มรสชาติเสียหน่อย… สวี่ชีอันที่ท้องกำลังร้องรู้สึกโหยหาอาหารกลางวัน
………………………………………………….