ผู้พิทักษ์รัติกาลแห่งต้าฟง - บทที่ 186 พลาดโอกาสที่ดี
บทที่ 186 พลาดโอกาสที่ดี
‘เฝ้าเพรียกหาเร่งเร้าหลายครั้งครา จึงโอบกอดผีผาบังโฉมหน้ายุรยาตรออกมาด้วยเอียงอาย’ ตอนที่ไป๋จีอวี้ประพันธ์ประโยคนี้ ไม่รู้ว่าในใจกำลังเสียดสีว่าหญิงสาวผู้กอดผีผานั้นดัดจริตอยู่หรือไม่
สวี่ชีอันเองรู้สึกว่าคณิกาที่ชื่อว่าหงซิ่วนั้นดัดจริต หรือหลงตัวเองกันแน่ ครึ่งหลังของการประชุมชาจึงค่อยเยื้องย่างออกมา หัวเราะแต่พองาม หยิบแก้วเหล้าแล้วพูดว่า
“สุขภาพของข้าน้อยไม่สู้ดีนัก จึงพักผ่อนครู่หนึ่ง นายท่านทั้งหลายอย่าได้ถือสาข้าน้อยเลย”
หลังจากดื่มเหล้าแก้วหนึ่งเป็นการขอโทษแล้ว ก็ไม่เห็นจะทำอะไรอีกเลย แต่ก็ยังทำหน้าที่เป็นคนนำในการละเล่นในวงสุราอย่างเต็มที่ อืม คนที่อยู่ในที่นี้ล้วนเป็นฆ้องทองแดงทั้งหมด การละเล่นย่อมไม่ใช่การละเล่นที่สูงส่งอย่างแน่นอน แต่เป็นการเล่นทายนิ้วและทอยลูกเต๋า
รอยยิ้มบนใบหน้าดูเป็นมืออาชีพมากเกินไป… หลังตรงตลอดเวลา ลำตัวดูแข็งเล็กน้อย แสดงว่าไม่ได้มีความรู้สึกร่วมกับบรรยากาศจริงๆ… ค่อนข้างถือเรื่องการถูกเนื้อต้องตัวกับแขก เมื่อครู่ถูกข้าจับมือ ในแววตายังแสดงให้เห็นถึงความรังเกียจ… สรุปว่า ดูถูกทหารสินะ
สวี่ชีอันชอบสังเกตการแสดงออกทางสีหน้า และการเคลื่อนไหวเล็กๆ น้อยๆ ของผู้คน เพราะรายละเอียดเหล่านี้เป็นภาพสะท้อนความในใจในระดับหนึ่ง
นี่เป็นโรคที่ได้มาจากการประกอบอาชีพที่ผ่านมา
การแสดงออกของแม่นางหงซิ่วทำให้สวี่ชีอันนึกถึงครั้งแรกที่ได้พบกับคณิกาที่ชื่อฝูเซียง วันนั้นคณิกาแห่งสำนักสังคีตที่มีชื่อเสียงด้านความงามที่เป็นที่โจษจันไปทั่วก็แสดงทีท่ามากพิธีรีตอง ให้ความรู้สึกห่างเหินเช่นเดียวกัน
เพียงแต่ฝูเซียงนั้นมีจรรยาบรรณในวิชาชีพมากกว่า ไม่ได้แสดงออกอย่างชัดเจนขนาดนั้น แต่หงซิ่วคนนี้ แสดงออกอย่างไม่ปิดบังเลย
แน่นอนว่าฝูเซียงเป็นคณิกาของสำนักสังคีตแห่งเมืองหลวง เมืองหลวงเป็นสถานที่แบบไหนกัน เป็นแหล่งชุมนุมของขุนนางชั้นสูง อวี่โจวจะเทียบได้อย่างไร
นอกจากจรรยาบรรณในวิชาชีพแล้ว ในด้านรูปโฉม หงซิ่วก็เป็นคนสวยมาก มีความนุ่มนวล บอบบางตามบุคลิกลักษณะของสตรีเจียงหนาน
พูดจามักจะลงท้ายด้วยคำว่า “นะ” “เล่า” เสมอ นุ่มๆ นวลๆ พูดกับใครก็เหมือนกำลังคุยกับคนรัก
“ข้าน้อยจะบรรเลงเพลงให้นายท่านทุกคนฟังนะเจ้าคะ” หงซิ่วยิ้มอย่างอ่อนโยน
“ฝีมือการบรรเลงพิณของแม่นางหงซิ่วนั้นพูดได้ว่ายอดเยี่ยมที่สุดในสำนักสังคีตแห่งอวี่โจว เมื่อมาเยือนสำนักสังคีตแห่งอวี่โจว จะต้องมาฟังเสียงพิณของแม่นางหงซิ่ว” ขุนนางของสำนักงานขนส่งท่านนั้นยกยอปอปั้นทันที
เปรียบเสมือนการแนะนำผลิตภัณฑ์พิเศษของท้องถิ่นให้แขกผู้มีเกียรติจากแดนไกล ว่าไพเราะอย่างไร
หลังจากเล่นจบหนึ่งเพลง ขุนนางของสำนักงานขนส่งก็ยกแก้วเหล้าขึ้นพร้อมกับหัวเราะฮ่าฮ่า “ใต้เท้าทุกท่าน เป็นอย่างไรบ้าง”
ซ่งถิงเฟิงเป็นผู้มีประสบการณ์สูง รีบชูแก้ว แล้วพูดว่า “หากเทียบกับคณิกาฝูเซียงของสำนักสังคีตแห่งเมืองหลวง ก็ไม่ต่างกันเลย”
ยังคงมีความแตกต่างกันอยู่บ้าง… สวี่ชีอันไม่ได้เข้าข้างคนสนิทของตัวเอง แต่เป็นการประเมินจากมุมมองที่เป็นกลางอย่างแท้จริง
“คณิกาฝูเซียงที่ ‘เงาบางเบาเคลื่อนเฉียงอยู่ในน้ำใสตื้น กลิ่นหอมละมุนคลุ้งกลางจันทรายามสายัณห์’ คนนั้นใช่หรือไม่” ดวงตาของขุนนางแห่งสำนักงานขนส่งเป็นประกายขึ้นในทันใด
ระยะทางระหว่างอวี่โจวและเมืองหลวงนั้นห่างไกลกันมาก แต่บทกวีบทนี้ประพันธ์ขึ้นมานานแล้ว บรรดาปัญญาชนมีการเขียนจดหมายถึงกัน เผยแพร่กวีบทนี้มาสู่นักปราชญ์สำนักขงจื๊อในแคว้นต่างๆ
บทกวีสองวรรคนี้แพร่หลายอย่างกว้างขวาง และได้รับความนิยมสูงกว่า ‘ทางข้างหน้าไม่กังวลไร้คนรู้ใจ ใต้หล้านี้มีใครไม่รู้จักข้า’
“ใช่แล้ว” ซ่งถิงเฟิงพูด
“เล่าลือกันว่าแม่นางฝูเซียงนั้นงดงามนัก เป็นหญิงที่งามที่สุดในโลก” ขุนนางแห่งสำนักงานขนส่งถามอย่างคาดหวัง
นี่คือตัวกรองชื่อเสียง ฝูเซียงเป็นคณิกาที่มีชื่อเสียงที่สุดในเมืองหลวง เปล่งรัศมีเหนือศีรษะ ในสายตาของผู้ชายที่ถวิลหาเรื่องรักๆ ใคร่ๆ นางคือเทพธิดาอันดับหนึ่งโดยแท้
แม่นางหงซิ่วฝืนยิ้มบางๆ รู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย
อยู่ในถิ่นของนาง กลับพูดถึงผู้นำในอาชีพเดียวกัน แล้วยังคุยกันอย่างออกรสออกชาติขนาดนี้ นางจึงรู้สึกเสียหน้าเป็นอย่างมาก
ดูเหมือนว่าซ่งถิงเฟิงจะไม่สังเกตเห็นความไม่พอใจของแม่นางหงซิ่ว เขาหัวเราะคิกคัก แล้วชี้ไปที่สวี่ชีอันแล้วพูดว่า “เรื่องนี้ต้องถามเขาแล้ว”
สวี่ชีอันพูดเรียบๆ ว่า “ก็พอใช้ได้นะ ในบรรดาสาวงามที่ข้าเคยเห็น สามารถจัดอยู่ในอันดับหนึ่งในห้าได้”
ขณะที่พูด ก็มีสาวงามแวบเข้ามาในความคิดของเขาคนแล้วคนเล่า อาสะใภ้ หลิงเยวี่ย ฮว๋ายชิ่ง หลินอัน ราชครู ฉู่ไฉ่เวย…
‘นี่คือคำพูดของคนหรือ’
ทุกคนอดมองสวี่ชีอันไม่ได้
“พูดเล่นเก่งจริง ใต้เท้าหยอกเล่นเก่งจริงๆ” ขุนนางแห่งสำนักงานขนส่งพูดพร้อมขำแห้ง
“ไม่ได้พูดเล่น” จูกว่างเสี้ยวผู้เงียบขรึมและพูดน้อยเอ่ยปาก อธิบายแทนเพื่อนร่วมงานว่า “ฝูเซียงเป็นคนสนิทของเขา”
…ขุนนางแห่งสำนักงานขนส่งหน้าเสีย เขาพยายามเปลี่ยนสีหน้า จึงหยุดตัวเองไม่ให้หัวเราะเยาะออกมาได้
‘ฝูเซียงเป็นคนสนิทของเขาหรือ คณิกาอันดับหนึ่งผู้สง่างามของเมืองหลวง จะชอบทหารที่หยาบคายอย่างพวกเจ้าหรือ ทำไมไม่บอกว่าองค์หญิงเป็นคนสนิทของเจ้า ทำไมไม่บอกว่าราชครูผู้หญิงที่ลึกลับคนนั้นเป็นคนสนิทของเจ้าด้วยล่ะ’
แต่ว่าการคุยโวโอ้อวดในวงเหล้าถือเป็นเรื่องปกติ ขุนนางจากสำนักงานขนส่งที่มาดื่มเหล้าเป็นเพื่อนนั้นดูแคลนในใจ แต่ภายนอกยังคงหัวเราะร่า
‘ผู้ชายหยาบคาย…’ ความดูแคลนในสายตาของคณิกาหงซิ่วไม่มีปิดบัง เพียงแต่นางก้มหน้าลงดื่มสุราอย่างดี ไม่ให้ผู้อื่นเห็น
นางไม่ชอบทหารอยู่แล้ว ไม่รู้จักทะนุถนอมผู้หญิง คำพูดและการกระทำล้วนหยาบคายเป็นอย่างมาก ไม่เหมือนปัญญาชน ที่อ่อนโยนมีมารยาท แต่งบทกวีเป็น และสุภาพต่อสตรีในสำนักสังคีต
“คิดไม่ถึงว่าใต้เท้าจะมีไมตรีต่อแม่นางฝูเซียงเช่นนี้ ไม่ทราบว่าใต้เท้ามีชื่อเสียงเรียงนามว่าอะไรหรือเจ้าคะ” หงซิ่วพูดกึ่งจริงจังและกึ่งเยาะเย้ย
ขุนนางแห่งสำนักงานขนส่งใช้สายตาต่อว่าต่อขานจ้องมองนาง แล้วรีบยกแก้วเหล้าพร้อมพูดว่า “ดื่มเหล้า ดื่มเหล้า”
หัวข้อสนทนานี้จึงผ่านไป ซ่งถิงเฟิงพูดพร้อมรอยยิ้มว่า “หนิงเยี่ยน โชคดีที่หัวหน้าไม่ได้ไปอวิ๋นโจวด้วย มิเช่นนั้นคงไม่เห็นด้วยกับพวกเราที่มาหาความสำราญที่สำนักสังคีตอย่างแน่นอน”
สวี่ชีอันพูดว่า “นี่ไม่ใช่การหาความสำราญ แต่เป็นการท่องเที่ยว หากครั้งหน้าหัวหน้าถาม เจ้าก็ตอบตามนี้แล้วกัน”
หนิงเยี่ยน คงเป็นชื่อรองของเขา… หงซิ่วเหลือบมองสวี่ชีอัน
การประชุมชายุติลง
คณิกาหงซิ่วออกจากงานเลี้ยงก่อน หลังจากนั้นก็ไม่ได้ยินเสียงอีกสักแอะ
นางไม่ได้อยู่ร่วมดื่มชากับแขกต่อ แสดงว่านางไม่ถูกตาต้องใจหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลที่อยู่ในงานเลี้ยงเสียเลย
“ไม่เห็นหัวคนอื่นสักนิด!” หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลคนหนึ่งพูดเสียงเข้ม
ขุนนางแห่งสำนักงานขนส่งรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ในใจรู้สึกโกรธเคืองเป็นอย่างยิ่ง ไม่ได้โกรธเคืองหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล แต่โกรธเคืองหงซิ่ว
ติดที่ว่าสำนักสังคีตไม่ได้อยู่ในความมดูแลของสำนักงานขนส่ง หงซิ่วที่เป็นหนึ่งในหกคณิกาของสำนักสังคีตแห่งอวี่โจว ไม่มีความจำเป็นต้องทำตามความประสงค์ของสำนักงานขนส่งเพื่อการดำรงชีพแม้แต่น้อย
ซ่งถิงเฟิงโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ “ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร พวกเราไปต่อที่อื่นกันเถอะ”
สวี่ชีอันเห็นด้วยกับความคิดเหล่าซ่ง ฝืนใจทำไม่มีผลดี
คนทั้งกลุ่มออกจากสำนักสังคีต ซ่งถิงเฟิงและพวกรวมสามคนเลี้ยวไปทางริมแม่น้ำ อาศัยความมืดพรางตา พวกเขายืนอยู่ริมฝั่ง แก้ไขอาการบวมของกระเพาะปัสสาวะ
…
ในห้องนอนที่ถ่านกำลังลุกโชน หงซิ่วจิบชาแก้เมา นั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง ปล่อยให้สาวใช้ที่ผลักประตูเข้ามานวดไหล่ให้
“นายหญิง พวกเขากลับไปแล้วเหรอเจ้าคะ” สาวใช้หัวเราะเบาๆ แล้วพูดว่า “ถึงกับกล้าพูดว่าคณิกาอันดับหนึ่งของเมืองหลวงเป็นคนสนิทของเขา แม้แต่บ่าวยังดูออกว่าเป็นการโอ้อวด”
หงซิ่วบุ้ยปาก พูดเสียงเรียบว่า “พวกทหารก็เป็นแบบนี้ หยาบคายเหลือทน”
หลังจากพักผ่อนครู่หนึ่งแล้ว สาวใช้คนหนึ่งก็เคาะประตูแล้วพูดจากด้านนอกว่า “นายหญิง คุณชายเว่ยพาเพื่อนมาเหมาห้องเจ้าค่ะ”
เมื่อหงซิ่วได้ยินดังนั้น ใบหน้าสดใสขึ้นทันที พูดอย่างเบิกบานว่า “ยกเหล้าไปให้คุณชายทุกคน ให้พวกเขารอสักครู่”
หลังจากพูดจบก็รีบเร่งสาวใช้ว่า “รีบช่วยข้าเปลี่ยนชุด ไปเอากระโปรงผ้าไหมทองที่สวยที่สุดตัวนั้นมา”
คุณชายเว่ยเป็นหลานชายของจือฝู่แห่งอวี่โจว เป็นซิ่วไฉที่มีความรู้กว้างขวาง มีความสามารถ อ่อนโยนมีมารยาท
หลังจากเปลี่ยนเป็นกระโปรงไหมสวยงามและปักปิ่นหยกเสร็จสรรพ หงซิ่วที่แต่งกายสวยหรูก็มาถึงห้องสุรา แสดงความเคารพด้วยท่าทางอ่อนช้อย “หงซิ่วเคยพบคุณชายทั้งหลายมาก่อน”
นางนั่งข้างคุณชายเว่ยที่สวมชุดคลุมยาวสีขาว บัณฑิตหนุ่ม วิจารณ์เรื่องสำคัญของประเทศชาติ เขียนบทความโจมตีความผิดส่งเสริมความดี นี่แหละสภาพแวดล้อมที่นางชื่นชอบ
นางมักจะรู้สึกอิจฉาคณิกาอันดับหนึ่งที่ไม่เคยพบหน้า แต่มีชื่อเสียงโด่งดังคนนั้น
ครั้งนี้โชคดีเพียงใดจึงได้พบกับบัณฑิตที่มีความรู้ความสามารถโดดเด่นและเขายังได้มอบบทกวีให้ เพื่อเผยแพร่สืบต่อไป
“เมื่อครู่มีใต้เท้าจากเมืองหลวงสองสามคนมาที่นี่ ดูเหมือนจะเป็นหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล” หงซิ่วรินเหล้าให้คุณชายเว่ยพร้อมกับพูดถึงเรื่องนี้ ยิ้มแล้วพูดว่า
“มีคนบอกว่าคณิกาฝูเซียงแห่งเมืองหลวงเป็นคนสนิทของเขาด้วยเจ้าค่ะ”
ปัญญาชนที่นั่งอยู่ ณ ที่นั้นหัวเราะเสียงดัง “ช่างน่าขำจริงๆ แม่นางฝูเซียงจะถูกตาต้องใจทหารที่หยาบคายได้อย่างไร”
“ครึ่งเดือนก่อนพี่เว่ยไปที่เมืองหลวง ได้ยลโฉมคณิกาฝูเซียงหรือไม่”
“ละอายใจ ละอายใจ ได้เข้าร่วมการประชุมชาสามครั้ง แต่ได้พบคณิกาฝูเซียงเพียงครั้งเดียวเท่านั้น “คุณชายเว่ยในชุดคลุมยาวสีขาวพูดถึงตรงนี้ ก็แสดงความหลงใหลออกมา
“กลิ่นหอมละมุนคลุ้งกลางจันทรายามสายัณห์… งามสมคำเล่าลือ ยากจะหาใครเทียบเทียม”
มีคุณชายคนหนึ่งถามขึ้นทันทีว่า “คณิกาฝูเซียงมีคนสนิทหรือไม่”
คุณชายเว่ยตอบทันควันว่า “ข้านึกบางอย่างขึ้นมาได้ การประชุมชาในวันนั้น ข้าคุยกับแขกในงานเลี้ยง เขาบอกว่าฝูเซียงไม่รับแขกนานแล้ว แขกที่มาประชุมชาทุกวันไม่ขาดก็เพื่อยลโฉมงามเท่านั้น แต่ว่ามีคนคนหนึ่งที่เข้าออกหออิ่งเหมยบ่อยๆ …อืม บ้านของฝูเซียงชื่อว่าหออิ่งเหมย ว่ากันว่าคนคนนี้ก็คือคนสนิทของฝูเซียง”
บรรดาคุณชายทั้งหลายต่างหวั่นใจ “ผู้ประพันธ์ ‘กลิ่นหอมละมุนคลุ้งกลางจันทรายามสายัณห์’ ผู้นั้นหรือ”
คุณชายเว่ยพูดด้วยความสะเทือนใจว่า “นอกจากเขาแล้วยังจะมีใครอีกล่ะ”
ชะงักไปครู่หนึ่ง เขาก็มองหน้าทุกคน พูดด้วยพูดด้วยน้ำเสียงแบ่งปันความลับว่า “ฐานะของคนคนนี้ไม่ธรรมดา บทกวีบทนี้แพร่หลายอย่างกว้างขวาง นักปราชญ์สำนักขงจื๊อแห่งต้าฟ่งต่างรู้จักดี แต่ทำไมตัวของกวีเองถึงไม่เป็นที่รู้จัก และไม่มีใครพูดถึงเลย พวกเจ้าไม่รู้สึกแปลกบ้างเหรอ”
เรื่องนี้กระตุ้นความอยากรู้ของทุกคน ต่างพากันคาดเดา “ฐานะอ่อนไหว ไม่สามารถบอกใครได้อย่างนั้นหรือ”
หงซิ่วฟังอยู่ข้างๆ ดวงตาเป็นประกาย คนที่อยากรู้ฐานะของกวีท่านนั้นมากที่สุดก็คือนางนั่นเอง นั่นคือผู้ปราดเปรื่องที่สามารถทำให้ผู้หญิงในสำนักสังคีตต่างเปลี่ยนความคิดกันใหม่ได้
รอให้เพื่อนๆ ถกเถียงกันไปมาอยู่ครู่หนึ่ง คุณชายเว่ยก็ชายเว่ยก็กดมือลง สถานการณ์ก็เงียบลงในทันใด
เขาส่ายหัวแล้วพูดว่า “เพราะว่าฐานะที่แท้จริงของคนคนนั้นคือหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล ไม่ใช่ปัญญาชน”
“อย่างนี้เองหรือ!” ทุกคนต่างตกใจเป็นอย่างมากและเข้าใจในทันที
มิน่าเล่านักปราชญ์สำนักขงจื๊อจึงไม่ยอมเปิดเผยฐานะของกวีคนนั้นแม้แต่น้อย โดยเลือกที่จะลืมมันไปเสีย ที่แท้ก็เป็นหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล ไม่ใช่ปัญญาชน
หน่วยลาดตระเวนยามวิกาล… ผู้พูดไม่ได้ตั้งใจ แต่กลับกระทบหัวใจผู้ฟังเสียเต็มเปา หัวใจของหงซิ่วจมดิ่งลงทันที
นางเผยอปากพูดตะกุกตะกักว่า “ชื่อ ชื่ออะไรหรือเจ้าคะ”
คุณชายเว่ยเหลือบมองสาวงามแล้วพูดว่า “สวี่ชีอัน ชื่อรอง หนิงเยี่ยน”
‘เคร้ง!’ …แก้วเหล้าหล่นลงบนโต๊ะ จากนั้นก็ร่วงหล่นลงกับพื้น แล้วก็แตกเป็นเสี่ยงๆ
ทุกคนต่างมองไปที่หงซิ่ว ใบหน้าของหญิงงามซีดเผือด ดวงตาเหม่อลอย ราวกับดอกไม้กระดาษที่ไร้ชีวิตชีวา ขณะที่กำลังงุนงง จู่ๆ หงซิ่วก็ฟุบลงบนโต๊ะ ท่าทางเศร้าโศกเป็นทุกข์ ร้องไห้ฟูมฟายปริ่มจะขาดใจ ร่างกายสั่นเทิ้ม
………………………