ผู้พิทักษ์รัติกาลแห่งต้าฟง - บทที่ 204 คนชั้นต่ำ
บทที่ 204 คนชั้นต่ำ
จักรพรรดิหยวนจิ่งทอดพระเนตรไปยังเว่ยเยวียน ทรงพยักหน้าพร้อมตรัส “มีเรื่องอันใด? ”
เว่ยเยวียนเอ่ยถาม “ในพระราชสาส์นที่สำนักสมุหเทศาภิบาลชิงโจวส่งกลับมา ระบุชัดเจนหรือไม่ว่าสมุหเทศาภิบาลหยางกงประพันธ์กลอนนี้ขึ้นมาพ่ะย่ะค่ะ”
…เขาพูดแบบนี้หมายความว่าอย่างไร พวกลื่นเป็นปลาไหลในวงราชการวินิจฉัยต้นสายปลายเหตุออกมา
จักรพรรดิหยวนจิ่งไม่ได้ตอบแต่กลับตรัสถาม “มีปัญหาอะไรรึ”
ในพระราชสาส์นไม่ได้ระบุชัดเจนว่าหยางกงเป็นผู้แต่งกลอน ถ้อยคำได้ความว่า ‘หยางกงสั่งการขุนนางจำนวนมากให้สร้างแผ่นจารึกเตือนใจ สลักอักษรจารึกเพื่อเตือนชาวโลก’
นี่เป็นถ้อยคำที่ฉลาดนัก ไม่ชัดเจนแต่ก็ไม่ปฏิเสธ สำหรับจักรพรรดิหยวนจิ่ง นี่ก็คือการยอมรับโดยปริยาย
“หยางกงไม่ได้ประพันธ์กลอนนี้ขึ้นแต่เป็นผู้อื่น กระหม่อมคิดว่าเมื่อกลอนนี้แพร่สะพัด จะต้องเลื่องลือทั่วใต้หล้าเป็นแน่ โดยส่วนตัวแล้ว นี่เป็นโอกาสสร้างชื่อเสียงที่สวรรค์ลิขิตให้ ไม่ควรถูกหยางกงครอบครองแต่เพียงผู้เดียว” เว่ยเยวียนกล่าว
“หืม? ชิงโจวมีอัจฉริยะระดับนี้ตั้งแต่เมื่อใด” จักรพรรดิหยวนจิ่งทรงหัวเราะพร้อมจ้องมองเว่ยเยวียนด้วยความสนใจ “ว่าแต่เจ้าเถอะ เจ้าทราบได้อย่างไรกัน”
หยางกงไม่ได้ประพันธ์แต่เป็นผู้อื่น…ชิงโจวมีอัจฉริยบุคคลมากมายจริงๆ เป็นเมืองใหญ่แห่งการสอบคัดเลือกข้าราชการ…เหล่าท่านทั้งหลายคิดในใจ ทอดสายตามองเว่ยเยวียนตามคำถามของจักรพรรดิหยวนจิ่ง
ทั้งหมดต่างเกิดข้อสงสัย เหตุใดเว่ยเยวียนจึงรู้ว่าหยางกงไม่ได้ประพันธ์กลอนบทนี้?
“มิใช่คนจากชิงโจว” เว่ยเยวียนส่ายหน้า
จักรพรรดิหยวนจิ่งทรงเปล่งเสียง ‘หืม’ ด้วยความสงสัย
“นอกจากนี้กระหม่อมยังรู้ว่ากลอนนี้ไม่ได้ประพันธ์ขึ้นที่ชิงโจว เป็นที่ประจักษ์กว่าหนึ่งเดือนก่อนหน้านั้นแล้ว มิได้ประพันธ์ขึ้นโดยคนชิงโจวเช่นกัน” เว่ยเยวียนกล่าวอีก
จากนั้นเหล่าขุนนางชั้นผู้ใหญ่ทั้งหลายก็ส่งเสียง ‘หืม’ ตามด้วยความสงสัยเช่นกัน ขุนนางใกล้ชิดที่กล่าวว่า ‘นี่สมกับเป็นบทกวีของต้าฟ่ง’ ผู้นั้นเอ่ยอย่างแคลงใจ
“เว่ยกง อย่าได้ปิดบังต่อหน้าฝ่าบาท”
เจ้าคนปากเสียประจบทันทีที่เปิดปากพูด
เป็นที่ประจักษ์กว่าหนึ่งเดือนก่อนหน้านั้นแล้ว…มิได้ประพันธ์ขึ้นโดยคนชิงโจวเช่นกัน…ขุนนางที่ความคิดเฉียบแหลมใจเต้นระส่ำ คาดเดาไว้แล้ว
จากนั้นสีหน้าของเหล่าท่านทั้งหลายก็แปรเปลี่ยนแปลกประหลาดยิ่งกว่าเก่า
เว่ยเยวียนชำเลืองมองจักรพรรดิหยวนจิ่งที่มีสีหน้าเคร่งขรึมลงโดยพลัน ตรัสด้วยน้ำเสียงใจเย็น “ฆ้องทองแดงสวี่ชีอันจากที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลประพันธ์กลอนนี้ขึ้น บทประพันธ์เดิมยังตั้งแสดงอยู่ในที่ทำการปกครอง หึ หากใต้เท้าทั้งหลายจะชมผลงาน ข้าก็ให้ยืมอ่านได้”
‘เป็นเขาจริงด้วย…’ เสียงวิพากษ์วิจารณ์เบาๆ ดังขึ้นอีกครั้ง
“น่าเสียดายจริงๆ ที่อัจฉริยะผู้นี้ไม่ได้เรียนหนังสือ”
“ฮึ เช่นนั้นสวี่ผิงจื้อก็เป็นทหารที่หยาบกระด้าง มองการณ์ไม่ไกล”
“สวี่ชีอันผู้นี้ หากเข้าราชวิทยาลัยหลวงได้ก็คงจะดีมาก! ”
บัดนี้ แม้จะเป็นท่านทั้งหลายในท้องพระโรงที่ไม่ชอบสวี่ชีอันก็ตาม ก็ถอนใจเสียดายอย่างเลี่ยงไม่ได้ พรสวรรค์ด้านการประพันธ์ระดับนี้หากเป็นปัญญาชน แน่นอนว่ายิ่งเป็นปัญญาชนของราชวิทยาลัยหลวงแล้วใหญ่ เช่นนั้นคงจะดีมาก
ไม่มีผู้ใดคลางแคลงว่าเว่ยเยวียนพูดปด แม้แต่ศัตรูด้านการเมืองของเขา เว่ยเยวียนไม่สามารถและไม่จำเป็นต้องโกหกเรื่องนี้เช่นกัน ประเดี๋ยวจะเสียชื่อเปล่าๆ
ขุนนางใกล้ชิดผู้นั้นสีหน้าอึกอัก ก้มหน้าไม่พูดไม่จา ทำตัวค้อมต่ำ
จักรพรรดิหยวนจิ่งส่งเสียง ‘หึ’ พร้อมตรัส “เจ้าพูดเรื่องนี้ขึ้นมา มีเจตนาเช่นไรกัน”
เว่ยเยวียนหัวเราะหึๆ “ย่อมต้องการช่วยเหลือผู้ใต้บังคับบัญชาสร้างชื่อ”
จักรพรรดิหยวนจิ่งเผยท่าทีฮึดฮัด แต่ก็ไม่ได้ตรัสสิ่งใด
แม้เขาจะไม่ชอบสวี่ชีอัน ทว่าในฐานะจักรพรรดิ ก็ไม่ถึงกับกัดฆ้องทองแดงตัวเล็กๆ ไม่ปล่อย อีกประการหนึ่ง คนแบบที่จักรพรรดิหยวนจิ่งไม่ชอบ ในท้องพระโรงยังมีอยู่หลายหลาก
แน่นอนว่าหากฆ้องทองแดงทำผิดพลาดหรือทำให้เขาโกรธ นั่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
…
ภูเขาชิงหยุน สำนักอวิ๋นลู่
ห่านตัวหนึ่งโบยบินบนขอบฟ้า กระพือปีกพุ่งตรงไปยังภูเขาชิงหยุน แฉลบผ่านสำนักแต่ละแห่ง ตึกแต่ละอาคาร ก่อนจะถูกมือหนึ่งจากภายในห้องเล็กอันประณีตที่ริมผาในหอสังเกตการณ์ชั้นสองจับไว้หลวมๆ
ท่ามกลางความบิดเบี้ยวของแสงสว่าง ห่านพลันแปรเปลี่ยนเป็นห่านกระดาษที่ตัดอย่างประณีต คล้ายของจริงยิ่งนัก
“หยางจื่อเชียนส่งจดหมายกลับมา” หลี่มู่ไป๋ยิ้มพร้อมกับหันหน้ามา บอกสองปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ที่เล่นหมากรุกอยู่ภายในห้อง ฝีมือการเล่นของทั้งสองดูไม่ได้เอาเสียเลย
จางเซิ่นและเฉินไท่กำลังฟาดฟันกันอย่างมัวเมา พลั้งปากถามโดยไม่แม้แต่จะเงยหน้า “เขียนว่าอย่างไรบ้าง”
หลี่มู่ไป๋คลี่กระดาษจดหมาย อ่านด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ไม่นานนักรอยยิ้มบนใบหน้ากลับจางหาย สีหน้าค่อยๆ ดุดันยิ่งขึ้น
“หน้าด้าน หน้าด้านที่สุด” หลี่มู่ไป๋เขวี้ยงกระดาษจดหมายในมือโดยพลันพร้อมเอ่ยคำราม
“หยางกง ไอ้หัวขโมย หน้าด้านไร้ยางอาย เป็นปัญญาชนเสียเปล่า ข้าหลี่มู่ไป๋อับอายในตัวเขาจริงๆ”
เสียงคำรามที่เกิดขึ้นโดยพลัน ทำเอาจางเซิ่นกับเฉินไท่สองปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ถึงกับสะดุ้ง
“แล้วนี่เกิดอะไรขึ้น จดหมายฉบับเดียวจากจื่อเชียนยั่วยุให้เจ้าเดือดดาลได้เยี่ยงนี้เชียว” จางเซิ่นส่ายหน้าอย่างเอือมระอา พร้อมพูดเย้ยหยัน
“ฉุนจิ้งเอ๋ย เจ้าก็ขาดภาวะจิตเล็กน้อย หุนหันพลันแล่นเดือดดาลได้ง่าย ตอนนั้นถึงแพ้ให้เว่ยเยวียน เจ้าดูเว่ยเยวียน ความสงบสุมอยู่เต็มอก นิ่งสงบดุจภูเขา”
ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่เฉินไท่ส่ายหน้า “ฉุนจิ้งอารมณ์ร้อนจริงดังเจ้าว่า ขอข้าดูจดหมายหน่อย”
หลี่มู่ไป๋บันดาลโทสะ ในใจแต่งแต้มไปด้วยความริษยา ทำเสียงฮึดฮัดแล้วเขวี้ยงกระดาษไปบนกระดานหมากรุก
จางเซิ่นยื่นมือหยิบขึ้นมาตั้งใจอ่าน หยางกงหยางจื่อเชียนบอกในจดหมายว่า เขาได้ต้อนรับขบวนผู้ตรวจการที่ชิงโจวและได้พบสวี่ชีอัน
หยางกงกำแหงพูดชมสวี่ชีอัน เรียกเขาว่าเป็นอัจฉริยะด้านการประพันธ์อันดับหนึ่งในรอบ 500 ปีของต้าฟ่ง ชมแล้วชมอีก จางเซิ่นรู้สึกทะแม่ง มองดูความโอ้อวดเล็กน้อยและรสชาติการกินของเขาแล้วปากอ่อน[1]
ด้านล่างยังเป็นกลอนอีกบทหนึ่ง
‘เงินเดือนเหล่าท่าน หยาดเหงื่อปวงประชา ทารุณไพร่ฟ้าแสนง่าย ตบตาสวรรค์แสนยาก’…สวี่ชีอัน (เรียนรู้จากหยางกง)
บนจดหมายยังบอกอีกว่า กลอนบทนี้ฝนลงมาจากอักษรจารึก
‘ครืนๆ…’ กำแพงผาสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง เศษหินกลิ้งตกลงมา หอสั่นสะเทือนด้วยปราณใส เสียงคำรามของจางเซิ่นและเฉินไท่ดังไปทั่วทั้งสำนักอวิ๋นลู่
“หยางกง ไอ้หัวขโมยผู้นี้ไม่เหมาะจะเป็นแบบอย่างให้ใคร ตาแก่เช่นข้าแนะนำว่าควรเตะหัวขโมยนี่ออกไปจากสำนักอวิ๋นลู่ซะ”
“บทกลอนเลี้ยงส่งก็เอาไปแล้ว กลอนบทนี้ก็จะยอมให้เขาเอาไปอีกหรือ ตาแก่เช่นข้าไม่ยอมรับ!”
“ช่างน่าโมโหจริงๆ เขายังเขียนจดหมายโอ้อวดอีก…”
…
อาหารมื้อเที่ยงกลิ่นอายอวิ๋นโจวที่เคยกินที่จุดพักเปลี่ยนม้า สวี่ชีอันแช่น้ำย็นอาบ จิตวิญญาณฮึกเหิมนัก
เขาสวมเสื้อขาวเดินกลับเข้าห้อง เปิดฝาไหออก ควันเขียวลอยขึ้นพลิ้วสะบัด ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นสาวงามล่มเมืองที่กำลังพองแก้มทั้งสอง
“ไอ้ผู้ชายเฮงซวย! ”
สวี่ชีอันเอ่ยอย่างเอือมระอา “เดิมคิดจะปล่อยเจ้าไป ตอนนี้เปลี่ยนใจแล้ว”
ซูซูเปลี่ยนท่าทีในบัดดล ออดอ้อนเสียงหวานเยิ้ม “นายท่าน…”
สวี่ชีอันหรี่ตามองสำรวจนาง
“นายท่าน ท่านมองอะไรน่ะ” ซูซูกะพริบตาปริบ ถือโอกาสทำตัวยั่วยวนที่บุรุษทุกคนชื่นชอบเป็นขวัญตา
“ข้ากำลังคิดว่าหนิงไฉ่เฉินทำได้อย่างไร” สวี่ชีอันไม่อ้อมค้อม
“หนิงไฉ่เฉินคือใคร”
“เป็นปัญญาชนคนหนึ่ง เขาพบรักกับปีศาจตนหนึ่งเช่นกัน”
“ปีศาจตนนั้นต้องการกินพลังชีวิตของเขา” ซูซูเอ่ยอย่างกระเง้ากระงอด
“ทำไมล่ะ”
“เพราะข้าก็คือปีศาจไงล่ะ ข้าก็ต้องการกินพลังชีวิตของบุรุษ”
“แล้วเจ้ากินอย่างไรล่ะ” สวี่ชีอันหลี่ตาพร้อมเอ่ยเสียงขรึม “อธิบายมาตรงๆ ข้าจะได้พิจารณาว่าควรปล่อยเจ้าดีหรือไม่ตามน้ำหนักบาปของเจ้า”
“ใช้ปากดูด” ซูซูทำตัวเป็นสาวน้อยใสซื่อบริสุทธิ์ “คนที่ข้าดูดล้วนเป็นโจรภูเขาที่กระทำผิดสิบมหันตโทษมิอาจให้อภัย”
“ดูดตรงไหน อืม ข้าเพียงอยากรู้วิธีการของปีศาจเท่านั้น”
“ดูดหัว”
“หัวตรงไหน” นัยน์ตาของสวี่ชีอันส่องแสงประกายออกมาอย่างแรงกล้าโดยพลัน
ซูซูสีหน้าฉงนเล็กน้อย ทว่ายังคงตอบอย่างละเอียดยิบ นิ้วมือเรียวเล็กจิ้มหว่างคิ้วของตน “ตรงนี้”
แสงประกายในนัยน์ตาสวี่ชีอันดับลงแทบจะทันที พร้อมเอ่ยเสียงขรึม “ข้าคิดไว้แล้ว เจ้าก่อกรรมทำชั่วไว้มากมาย ข้าปล่อยเจ้าไปง่ายๆ ไม่ได้ กลับเข้าไปเถอะ”
‘ปัง!’
เสียงดังขึ้นขณะปิดไหเหล้า
“เสียเวลา…” สวี่ชีอันพึมพำพร้อมยืนขึ้น ออกจากห้องไปเคาะประตูห้องของซ่งถิงเฟิง
“มีเรื่องอะไร” เดิมทีซ่งถิงเฟิงคิดจะนอนพักฟื้นฟูจิตวิญญาณ กางเกงหรือก็ถอดออกไปแล้ว แต่สวี่ชีอันกลับมาเคาะประตูเสียได้
“ท่านผู้ตรวจการไม่อยู่ ทว่าพวกเราก็มิอาจลดละความพยายามได้ ข้าคิดจะลองไขรหัสลับที่โจวหมินทิ้งเอาไว้ เจ้ากับกว่างเสี้ยวล้วนเป็นหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลที่มีประสบการณ์ท่วมท้น ความเห็นของพวกเจ้าเชื่อว่ามีผลต่อการอนุมานของข้าอย่างแน่นอน”
เมื่อซ่งถิงเฟิงได้ยินนักสืบสวี่หนิงเยี่ยนเอ่ยเช่นนี้ ทั้งยินดีทั้งละอายใจ อย่างไรเสียหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลที่มีการจัดสรรระบบ สิ่งที่ทำมากที่สุดยังคงเป็นความรุนแรง มิใช่การอนุมาน
“หนิงเยี่ยน ด้านคลี่คลายคดี…อันที่จริงข้าก็ไม่สันทัดนัก”
“เจ้าเคยได้ยินประโยคหนึ่งไหม” สวี่ชีอันเอ่ยอย่างเคร่งขรึม
ซ่งถิงเฟิงส่ายหน้า
สวี่ชีอันเอ่ย “คำพูดแบบส่งเดชส่วนหนึ่งแก้ความสงสัยของข้าได้ ความใจร้อนอย่างน่าประหลาดใจทำให้ข้าสืบหาได้ต่อ ทุกการเคลื่อนไหวของเจ้า ข้ากลับทวีความสนใจมากขึ้น”
ซ่งถิงเฟิงเอ่ยอย่างระแวดระวัง “เจ้าสนใจทุกการเคลื่อนไหวของข้าไปด้วยเหตุใด คิดจะทำอะไรกัน”
“ไม่ใช่ หลุดปากแล้ว…”
สวี่ชีอันเบี่ยงหัวข้อสนทนา “จริงสิ เรื่องของแม่นางซูซู เจ้ารู้สึกอย่างไรบ้าง”
ขณะที่พูดนั้นเขาก็จ้องซ่งถิงเฟิงเขม็ง รอให้ท่าทางอัปยศที่เขาเก็บซ่อนไว้เผยออกมา
เมื่อซ่งถิงเฟิงได้ยินคำว่าแม่นางซูซู ในใจพลันรู้สึกปวดแปลบ แล้วเอ่ยเสียงขรึม “หากชีวิตนี้ไม่ได้พบนางอีก ซ่งคนนี้คงจะเสียใจไปตลอดชีวิต”
นางก็อยู่ในห้องของข้าไง…ไอ้ทึ่มนี่ยังไม่ตอบสนองอีกหรือ นี่ไม่สมเหตุสมผล ตราบใดที่คู่กับจูกว่างเสี้ยว การกระทำของซูซูคงถูกเปิดเผยแล้ว…พวกเขาหลบหน้ากันและกันหรือ ทำไมล่ะ
เป็นเพราะข้าน่าเชื่อถือกว่าหรือ สวี่ชีอันพลันตื้นตันขึ้นมาเล็กน้อย
“จริงสิ เรื่องของซูซู หนิงเยี่ยน เจ้าอย่าบอกใคร รวมถึงกว่างเสี้ยวด้วย” ซ่งถิงเฟิงเอ่ยเตือน
“วางใจได้ ปากของข้าปิดสนิท” สวี่ชีอันเผยรอยยิ้มอันเจิดจรัสพร้อมเอ่ย “ถือโอกาสถามสักประโยค เป็นเพราะข้าน่าเชื่อถือมากกว่ากว่างเสี้ยวหรือ”
“ไม่ใช่หรอก ทำไมเจ้าเกิดหลงผิดเช่นนี้” ซ่งถิงเฟิงมองสำรวจเขาแปลกๆ “เพราะในเรื่องชู้สาวเจ้ายิ่งไม่มีขอบเขต จึงไม่กลัวจะถูกเจ้ารู้ ถึงอย่างไรก็คงจะไม่แย่ไปยิ่งกว่าเจ้า”
“…สำนักสังคีตที่ทุกคนไปด้วยกัน พึ่งสิ่งใดข้าก็ยิ่งไม่พอ ก็เพราะคนที่ข้าหลับนอนด้วยคือฝูเซียง คนที่เจ้าหลับนอนงดงามแบบนี้หรือ” สวี่ชีอันไม่พอใจ ในใจกล่าว ข้าทั้งไม่ใคร่เด็กและไม่พิศวาสแม่ ทำไมจะไม่มีขอบเขต
“ทุกครั้งที่เอ่ยถึงเรื่องที่เจ้าหลับนอนกับฝูเซียงทุกค่ำคืน ซ้ำยังไม่จ่ายเงินกับสหายข้าราชการคนอื่นๆ ทุกคนต่างพร้อมใจกันด่าว่า ‘บ้าหญิง! หรือไม่ก็ ‘ไอ้คนชั้นต่ำ!’ ”
“…”
ทั้งสองเคาะประตูของจูกว่างเสี้ยวด้วยกัน ซ่งถิงเฟิงคิ้วขมวด “เกิดอะไรขึ้น ดูไม่สดชื่นเอาเสียเลย ท่าทางแปลกๆ ตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว”
จูกว่างเสี้ยวเผยอริมฝีปาก แต่ลำบากใจจะเอื้อนเอ่ย สุดท้ายก็มองไปทางสวี่ชีอัน
เจ้ามองข้าทำไม เจ้าเองก็คิดว่าข้าเป็นคนชั้นต่ำใช่หรือไม่ สวี่ชีอันกลอกตาด้วยความโมโห
สามคนรวมกลุ่มกันมายังห้องเก็บสะสมสิ่งของที่โจวหมินทิ้งเอาไว้ ตรวจสอบอย่างถี่ถ้วนอยู่นาน ซ่งถิงเฟิงจึงเอ่ยอย่างท้อแท้ “สิ่งของเหล่านี้พวกเราพลิกตัวมองไปมานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว”
จูกว่างเสี้ยวมองไปทางสวี่ชีอัน “หนิงเยี่ยนคิดว่าเบาะแสที่เกี่ยวข้องกับรหัสลับอยู่ในของที่ทิ้งเอาไว้หรือ”
“จำที่ข้าไขคำปริศนาและพบลู่ทางความคิดของรหัสลับได้หรือไม่” สวี่ชีอันก้าวไปยืนอยู่ข้างของที่ทิ้งเอาไว้ แล้วถ่ายทอดความรู้ด้วยความละเอียดรอบคอบ
“การเปลี่ยนมุมมองความคิดเป็นส่วนเชื่อมต่อที่ไม่มีหรือขาดหายในการอนุมาน คดีของโจวหมินนี้ต่างจากคดีซังผอ อย่างน้อยซังผอยังหลงเหลือร่องรอย ค้นหาไปร่องรอยก็ปรากฏเพียงพอแล้ว ทว่าคดีนี้ไม่มีเบาะแสอื่นๆ โดยสมบูรณ์ เบาะแสเพียงหนึ่งเดียวก็คือการไขรหัสลับที่โจวหมินทิ้งเอาไว้”
ซ่งถิงเฟิงกับจูกว่างเสี้ยวพยักหน้า ทำท่าทางเหมือนครุ่นคิดบางสิ่งอยู่
จากประสบการณ์ในคดีซังผอ พวกเขาก็มีประสบการณ์ในการคลี่คลายคดีอยู่บ้าง ทว่ายังอยู่ในช่วงวาดกระบวยตามน้ำเต้า[2] หากมีกรณีที่คล้ายกับคดีซังผอปรากฏขึ้นอีก ทั้งสองสามารถเลียนแบบวิธีการของสวี่ชีอันได้ในการลองคลี่คลายคดี
วันหนึ่งหากจุดเจาะเข้าคดีเปลี่ยนไป พวกเขาคงจับต้นชนปลายไม่ถูก
หากเป็นในนวนิยายกำลังภายใน ซ่งถิงเฟิงกับจูกว่างเสี้ยวยังอยู่ในช่วงฝึกเพลงดาบ ขณะที่สวี่ชีอันมีเคล็ดวิชาไร้กระบวนท่า ในมือไร้ดาบทว่าดาบอยู่ในจิตใจ
“อย่าเอาแต่พยักหน้าอยู่เลย ลองพูดความเห็นของพวกเจ้าบ้าง”
ซ่งถิงเฟิงเอ่ยอย่างไม่ค่อยแน่ใจนัก “ทิ้งรหัสลับเอาไว้เพื่อให้พวกเราแก้ เช่นนั้นอันที่จริงเบาะแสก็ชัดเจนมาก สามารถหาพบได้โดยง่าย อยู่ที่พวกเราจะค้นพบได้หรือไม่”
“ดีมาก นักพรตตาบอดเช่นเจ้าค้นพบทางสว่างแล้ว” สวี่ชีอันเยาะเย้ย
เขาคลี่กระดาษโพยออก จ้องมองรหัสลับสองกลุ่มแล้วเอ่ย “นี่เป็นตัวเลขสองกลุ่ม รูปแบบตัวเลขเป็นรหัสลับ จะต้องตรงกับหนังสือรหัสสักอันเป็นแน่ เมื่อหาหนังสือรหัสพบ พวกเราก็จะแก้ปริศนาออก”
เพราะตัวเลขหนึ่งชุดหรือหลายชุดอย่างเดียวไม่มีความหมาย ดังนั้นความหมายจึงไม่ได้อยู่ที่ตัวเลข ทว่าเป็นข้อความที่ตัวเลขอ้างถึง
ในนั้นจะต้องอยู่ในหนังสือรหัสอย่างแน่นอน
“นอกเสียจากตัว ‘โม่[3]’ ที่เหลือล้วนเป็นตัวเลข เบาะแสจะต้องไม่อยู่ในผังชัยภูมิแบบเล่ห์เหลี่ยมเดิมซ้ำๆ เป็นแน่ เช่นนั้นที่ใดจะมีตัวเลขจำนวนมากอยู่ล่ะ” จูกว่างเสี้ยวเอ่ยอย่างฉงน
“เบาะแสที่อยู่ในตัวเลขมากเกินไปแล้ว ในหนังสือก็มีตัวเลขไม่ใช่หรือ” ซ่งถิงเฟิงกล่าว
“เยี่ยม ช่างเป็นการเดาที่ยอดเยี่ยม” สวี่ชีอันตาเป็นประกาย “สมมติว่ารหัสผ่านสองกลุ่มนี้อยู่ในหนังสือสักเล่ม เดินไปตามลู่ทางความคิดของพวกเราก่อนหน้านี้ หนังสืออะไรที่พวกเราจะได้มาง่ายที่สุด”
ซ่งถิงเฟิงคิดว่าข้อเสนอของตนได้รับการยอมรับแล้ว จึงวิเคราะห์ด้วยจิตใจที่ห้าวหาญ “คัมภีร์ตรีอักษร คัมภีร์กฎระเบียบแห่งต้าฟ่ง และบันทึกอวิ๋นโจว”
เหล่านี้ล้วนเป็นหนังสือที่พบในอวิ๋นโจวได้ง่ายๆ คัมภีร์ตรีอักษรจัดอยู่ในหนังสือระดับก่อปัญญา คัมภีร์กฎระเบียบแห่งต้าฟ่งที่ทำการปกครองในแต่ละเมืองล้วนมีอย่างละชุด บันทึกอวิ๋นโจวเป็น ‘หนังสือประวัติศาสตร์’ ของอวิ๋นโจว พบได้บ่อยในที่ทำการปกครองเช่นเดียวกัน จุดพักเปลี่ยนม้าก็มี
ทั้งสามให้ทหารส่งสารหาหนังสือเหล่านี้มาก่อน ไม่ได้พลิกหาในทันที เพราะยังมีอีกหนึ่งปัญหาอยู่ตรงหน้า
จูกว่างเสี้ยวเอ่ยถาม “เช่นนั้นตัวเลขแทนความหมายอะไรได้บ้าง แล้วจะหาอย่างไร”
“หลังจากบุรุษสูญเสียโปรตีนไปจำนวนมาก สมองจะใช้การไม่ได้ชั่วคราว” สวี่ชีอันจ้องมองเขา แล้วเอ่ยอย่างจริงจัง “ตอนนี้ต้องการพักผ่อนไม่ก็บำรุงสักหน่อย”
“หมายความว่าอย่างไร”
“ข้าหมายถึงตัวเลขเหล่านี้หากไม่ใช่จำนวนหน้าก็เป็นลำดับตัวอักษร นี่เป็นการอนุมานที่ง่ายที่สุด” สวี่ชีอันตอบ
ซ่งถิงเฟิงพลิกคัมภีร์ตรีอักษรออก “ไม่ใช่จำนวนหน้าแน่นอน เพราะคัมภีร์ตรีอักษรก็หนาเยี่ยงนี้”
เขาเอ่ยพลางพลิกอ่านคัมภีร์ตรีอักษร “อักษรที่ หนึ่งร้อยหกสิบสอง ‘อี้[4]’ อักษรที่ สามร้อยสี่สิบเจ็ด ‘ฉิง[5]’ รหัสลับอื่นก็ถอดออกมาแล้ว รหัสลับสองกลุ่มที่โจวหมินให้ รวมกันเป็น ‘ความเงียบระหว่างอารมณ์มนุษย์’…อืม นี่มันไม่ใช่แล้ว”
ขณะที่ซ่งถิงเฟิงตีความผิด สวี่ชีอันกับจูกว่างเสี้ยวก็กำลังตีความอีกสองเล่มอยู่
จูกว่างเสี้ยวกล่าว “ความเงียบอันรุ่งโรจน์ในน้ำลึกตะวันออก…อืม นี่ก็ไม่ใช่เช่นกัน”
ทั้งสองพร้อมใจกันมองสวี่ชีอัน เขาเอ่ยอย่างหดหู่ “ความเงียบมุ่งหมายล่องลอยไร้ปลายทาง”
………………………………………………
[1] กินของเขาแล้วปากอ่อน หมายถึง รับอาหารของผู้อื่นมากินแล้วมิอาจปฏิเสธอีกฝ่ายได้ หรือยอมทำตามอีกฝ่ายโดยไม่รู้ตัว
[2] วาดกระบวยตามน้ำเต้า ใช้อุปมาว่า ลอกแบบหรือเลียนแบบ
[3] โม่ หรือ默มีความหมายว่า ความเงียบ
[4] อี้ หรือ 义 มีความหมายว่า คุณธรรม
[5] ฉิง หรือ 情 มีความหมายว่า อารมณ์ ความรู้สึก