ผู้พิทักษ์รัติกาลแห่งต้าฟง - บทที่ 209 ตายตกทางสังคม
บทที่ 209 ตายตกทางสังคม
เสียงของซ่งถิงเฟิงออกจะประหลาดอยู่สักหน่อย ในความตกใจแฝงความร้อนรน หากให้บรรยาย ก็คงจะประมาณว่า ‘ภรรยาจ๋า รีบออกมาดูท่านเทพเร็ว!’
น้ำเสียงประมาณนี้ล่ะ
สวี่ชีอันเก็บสมุดบัญชีใส่ลงในอกเสื้อแล้วเดินออกไปก่อน ส่วนจูกว่างเสี้ยวก็สวมรองเท้าอย่างว่องไวแล้วตามออกไป
ในห้องโถงของจุดพักม้า สาวน้อยวัยเยาว์ในชุดจิ้นจวงสีฟ้าเข้มผู้หนึ่งกำลังนั่งดื่มชาอยู่ที่โต๊ะ ชุดกางเกงรัดรูปเผยให้เห็นรูปร่างคล่องแคล่วดุจเสือดาว ปลายแขนเสื้อถูกมัดไว้ ผมยังคงเป็นทรงหางม้าสูงเช่นเดิม
การแต่งกายที่ไม่ฉูดฉาดเวิ่นเว้อ แต่กลับขับเน้นความสง่างามและความองอาจของนางอย่างชัดเจน
เห็นได้ชัดว่าเป็นทหารหญิงคนงามผู้องอาจเปี่ยมเสน่ห์…มีตรงไหนเหมือนเทพธิดาของนิกายสวรรค์แห่งลัทธิเต๋าบ้าง…อาจารย์ในสำนักบอกให้นางละทิ้งความรู้สึก ผลสุดท้ายเจ้ากลับกลายเป็นจอมยุทธ์หญิงแห่งยุคผู้ผดุงความยุติธรรมเสียอย่างนั้น…สวี่ชีอันค่อนแขวะในใจ ใบหน้าประดับรอยยิ้มแล้วเอ่ยว่า
“ท่านแม่ทัพหลี่ เจอกันอีกแล้วนะขอรับ”
‘ขอบตาดำของเจ้านี่ชัดเจนยิ่งกว่าเดิมเสียอีก…สภาพจิตใจไม่ค่อยดีเท่าไหร่…น่าจะเป็นเพราะถูกปีศาจสาวสูบปราณจิตล่ะสิ’ หลี่เมี่ยวเจินมองพิจารณาเขาด้วยดวงตาเป็นประกายแล้วเอ่ยขึ้นก่อนว่า “ใต้เท้าสวี่”
สวี่ชีอันนั่งลงตรงข้ามนาง ด้านซ้ายขวาคือซ่งถิงเฟิงและจูกว่างเสี้ยว ทหารประจำจุดพักม้าเข้ามารินชาให้เสร็จสรรพจากนั้นก็ถอยออกไป
ทั้งสองฝ่ายไม่รีบร้อนเอ่ยความ แต่ละคนต่างครุ่นคิดอยู่ในใจ
นางน่าจะมาเพื่อปีศาจสาว เป็นเพราะรออยู่นานก็ไม่ได้รับการรายงานภารกิจจากปีศาจสาว จึงรู้ว่าเกิดปัญหาแล้ว…สวี่ชีอันดื่มชาไม่พูดจา พลางครุ่นคิดว่าควรจะรับมืออย่างไร
ส่งปีศาจสาวคืนให้นางหรือ?
ไม่อยากให้นี่นา ภรรยากระดาษแสนงดงามขนาดนี้ แค่มองก็ชื่นตาชื่นใจแล้ว เขายังคิดจะพานางกลับเมืองหลวงไปให้หลิงอินเปิดหูเปิดตาด้วย
อีกอย่าง ความสามารถในการสิงร่างก็มีประโยชน์อย่างยิ่ง สามารถใช้ได้หลายสถานการณ์และหลายสภาพแวดล้อม
“ใต้เท้าทั้งหลาย…” หลี่เมี่ยวเจินลูบคลำถ้วยชาแล้วเลือกคำมาพูด “เมื่อวานได้พบแม่นางที่มีนามว่าซูซูหรือไม่”
ซ่งถิงเฟิงและจูกว่างเสี้ยวหันมามองหน้ากันโดยพลัน
มาแล้ว ถึงเวลาลงดาบเจ้าน้องชายทั้งสองแล้ว…สวี่ชีอันมุมปากกระตุก “เคยพบขอรับ นางกับเพื่อนร่วมงานทั้งสองของข้าได้ผูกสัมพันธ์ที่ยากจะตัดแล้ว”
เมื่อฟังถึงตรงนี้ สีหน้าของทั้งสามก็แตกต่างกัน ซ่งถิงเฟิงเหลือบมองจูกว่างเสี้ยว กล่าวในใจว่า ‘เห็นๆ อยู่ว่าผูกสัมพันธ์กับข้า แล้วเกี่ยวอะไรกับเจ้าน้ำเต้าอุดอู้จูกว่างเสี้ยวนี่กัน’
หลี่เมี่ยวเจินกวาดมองใบหน้าของฆ้องทองแดงทั้งสอง รู้สึกเห็นใจอยู่สักหน่อย ฟังจากความหมายของสวี่ชีอัน ซูซูจะต้องสูบปราณจิตของทั้งสองคนนี้ไปแน่
แต่ถึงอย่างนั้นนางก็แน่ใจแล้วว่า ‘ปีศาจสาว’ อยู่ในมือของสวี่ชีอันแน่นอน ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่พูดแบบนี้ออกมา
“ขออภัย ข้าคิดไม่รอบคอบเอง ไม่ทราบว่าใต้เท้าสามารถส่งนางคืนมาให้ข้าได้หรือไม่” หลี่เมี่ยวเจินกล่าวอย่างจริงใจ
“วางแผนทำร้ายข้าราชสำนักเพื่อสืบข้อมูลลับ นี่มันโทษถึงตายเลยนะแม่ทัพหลี่” สวี่ชีอันหรี่ตาแล้วเอ่ยด้วยท่าทางคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม
หลี่เมี่ยวเจินจ้องตากับเขาอย่างนิ่งสงบ ไม่แก้ตัวไม่โกรธเกรี้ยว ราวกับไม่เห็นกฎหมายของต้าฟ่งอยู่ในสายตา
สวี่ชีอันพลันนึกได้ทันที หมายเลขสองเป็นวัยรุ่นขี้โมโห แม้นางจะกล้าหาญองอาจ แต่ไม่มีทางปกปิดได้ว่านางเป็นชาวยุทธ์ที่ใช้กำลังแหกกฎ อีกทั้งยังเกลียดชังจักรพรรดิหยวนจิ่งที่ไร้ความรับผิดชอบอีกต่างหาก
ที่สำคัญที่สุดคือ หมายเลขสองเป็นยอดฝีมือขั้นห้า สำหรับนางแล้ว ทุกคนในที่นี้ล้วนแต่เป็นขยะ….
ต้องเปลี่ยนความคิดใหม่…สวี่ชีอันล้มเลิกการใช้กำลังกดดัน ความคิดที่จะเก็บซูซูเอาไว้ใช้เองทำให้เขาหัวเราะลั่นออกมา
“แต่ว่าข้าก็ไม่ใช่คนไร้เหตุผล สิ่งใดๆ ล้วนแต่สามารถปรึกษากันได้ทั้งนั้น ที่สำคัญคือชื่นชมท่านแม่ทัพที่ทำเพราะความรักและบุกปราบโจรทั่วทุกสารทิศตลอดหนึ่งปีกว่า ความรู้สึกที่ทำเพื่อชาติและประชาชนเช่นนี้ช่างทำให้ข้าละอายใจนัก แต่ว่าข้าถูกใจแม่นางซูซูมาก แม่ทัพหลี่ยอมตัดใจได้หรือไม่”
สวี่ชีอันคิดจะยื่นหมูยื่นแมว พวกโอตาคุรู้ดีว่าภรรยากระดาษมองได้แต่กินไม่ได้ แต่ก็ขัดขวางความรักของพวกเขาไม่ได้ด้วย
หลี่เมี่ยวเจินได้ยินดังนั้นก็ขมวดคิ้วเอ่ย “ถึงแม้ปีศาจสาวจะเป็นวิญญาณร้ายระดับสูง แต่กลับไม่มีร่างจริง เว้นแต่จะสูบพลังจิตอย่างไม่หยุดยั้ง แต่หากเป็นเช่นนั้นไปนานๆ ก็จะสูญเสียสติสัมปชัญญะแล้วกลายเป็นสัตว์ประหลาดที่ไม่อาจควบคุมได้ มีเพียงต้องติดตามอยู่ข้างกายข้าเท่านั้นจึงจะรักษาสภาพเดิมได้ เจ้าไม่ใช่ศิษย์ของลัทธิเต๋า ไม่ได้เชี่ยวชาญวิชาลับประเภทนี้ การเก็บนางไว้ข้างกายมีแต่จะทำร้ายคนอื่นและทำร้ายตัวเอง”
ภาพลักษณ์ในความเป็นจริงกับภาพลักษณ์ในกลุ่มสนทนาของนางแตกต่างกันมากเลยนี่นา…ในกลุ่มทั้งร่าเริงทั้งขี้โมโห แต่ความจริงเอียงไปทางเข้มงวดหน่อยๆ…อืม ภาพลักษณ์เข้มงวดก็เหมาะกับแม่ทัพดี นี่ก็คงจะเป็นการสวมหน้ากากแบบหนึ่ง
สวี่ชีอันกล่าวอย่างจนปัญญา “ก็ได้!”
สวี่ชีอันบอกให้รอสักครู่ จากนั้นก็ลุกขึ้นเดินกลับไปที่ห้อง
แววตาของจูกว่างเสี้ยวกับซ่งถิงเฟิงค้างทื่อ มองหน้ากันด้วยสีหน้าแข็งกระด้าง… ‘อะไรคือปีศาจสาว อะไรคือสูบพลังจิต พวกเขากำลังพูดเรื่องอะไร’
‘เมื่อกี้พวกเขาพูดว่า…แม่นางซูซู?’
ผ่านไปครู่หนึ่ง สวี่ชีอันก็หยิบขวดเหล้าใบหนึ่งกลับมาแล้ววางไว้บนโต๊ะเสียงดัง ‘ปัง’ สายตาของทั้งสามก็ไปตกอยู่บนขวดเหล้า
ซ่งถิงเฟิงและจูกว่างเสี้ยวเผยสีหน้างุนงงสับสน หลี่เมี่ยวเจินกลับหรี่ตาลง จำได้ว่าสิ่งที่สลักอยู่บนขวดเหล้าคือยันต์ผนึกของลัทธิเต๋า
สวี่ชีอันเปิดขวดเหล้าออก ต่อมา ควันสีเขียวอ้อยอิ่งก็ลอยออกมาจากปากขวดแล้วก่อร่างเป็นคนงามทรงเสน่ห์ผู้หนึ่ง นางถลึงตามองสวี่ชีอันก่อน จากนั้นก็ตวาดลั่นด้วยความโมโห
“เจ้าหน้าเหม็น ข้าหิวจะตายอยู่แล้ว…”
จากนั้นพอนางมองเห็นหลี่เมี่ยวเจิน ใบหน้าน้อยๆ พลันเจิดจ้าขึ้นทันใด แต่ไม่นานก็ทำท่าทางโดนรังแก กล่าวพลางสะอึกสะอื้นว่า
“นายท่าน ท่านต้องให้ความเป็นธรรมแก่ข้านะเจ้าคะ เจ้าหน้าเหม็นนี่รังแกข้า ดูหมิ่นข้า หากท่านมาช้ากว่านี้ ข้าคงคลอดทายาทชั่วช้าของเขาแล้วแน่ๆ ฮือๆๆ…”
‘แม่นางซูซู’ …จูกว่างเสี้ยวและซ่งถิงเฟิงรู้สึกหนาวเย็นประดุจลมพัดในเดือนหนึ่ง ตัวแข็งทื่อไปทุกอณู
‘ปัง!’
หลี่เมี่ยวเจินปิดขวดกลับแล้วพยักหน้าเอ่ย “ขอบคุณใต้เท้าสวี่ที่ใจกว้างมีเมตตา เรื่องนี้ข้าติดหนี้บุญคุณเจ้าแล้ว ภายหน้าหากมีเรื่องใดอยากขอร้องก็ให้เอ่ยมาได้ทุกเมื่อ”
ตอนนี้สวี่ชีอันจึงแย้มยิ้มออกมา “แม่ทัพหลี่เกรงใจแล้ว”
คำสัญญาของหมายเลขสองนั้นมีค่ายิ่ง ใช้ปีศาจสาวที่ไม่อาจเก็บไว้ข้างกายได้นานแลกคำสัญญามาได้ ก็ถือว่าคุ้มค่า
เขาส่งหลี่เมี่ยวเจินออกจากจุดพักเปลี่ยนม้า เมื่อเดินมาถึงประตูก็เอ่ยถาม “ดูจากตัวตนและพลังฝึกตนของแม่ทัพหลี่ คงไม่ขาดแคลนปีศาจสาวสักตนหรอกกระมัง”
หลี่เมี่ยวเจินกล่าวไตร่ตรอง “ปีศาจสาวไม่ใช่ภูตผีธรรมดา จะต้องเป็นสตรีที่เกิดในปีหยินเดือนหยิน และแม้ตายก็ยังต้องเป็นสตรีพรหมจรรย์ จึงจะสามารถกลายเป็นปีศาจสาวได้”
ปีหยินเดือนหยิน คือปีใดเดือนใด? สวี่ชีอันยิ้มแล้วพยักหน้า แสร้งทำเป็นว่าตนเข้าใจ
“แต่ว่า” หลี่เมี่ยวเจินหันกลับมาแล้วยกมุมปากขึ้น “ถึงจะเลี้ยงสุนัข แต่คนก็ยังมีความรู้สึกผูกพัน ถูกหรือไม่?”
สวี่ชีอันแย้มยิ้ม บรรยากาศระหว่างทั้งคู่ไม่ได้ดูระมัดระวังและแปลกหน้าเหมือนแต่ก่อนแล้ว
หลี่เมี่ยวเจินถือโอกาสเสนอขึ้นมา “ใต้เท้าสวี่ไปส่งข้าอีกหน่อยได้หรือไม่”
สวี่ชีอันยิ้มบางๆ อย่างผู้ชายอบอุ่น “ยินดีเป็นอย่างยิ่งขอรับ”
พูดจบ เขาก็หันไปมองข้างหลัง เห็นซ่งถิงเฟิงและจูกว่างเสี้ยวนั่งอยู่ที่เดิมไม่ขยับเขยื้อน แผ่นหลังโดดเดี่ยวเดียวดายเหลือแสน
“ไปกันเถอะ!” รอยยิ้มของสวี่ชีอันยิ่งเจิดจรัส
พวกเขาเดินไปตามถนนกว้างใหญ่ หลี่เมี่ยวเจินแบกหอกเงินไว้ที่หลัง ที่เอวเหน็บดาบยาว ก้าวเดินอย่างสง่าผ่าเผยชวนไหวหวั่น
สวี่ชีอันหันหน้าไปพิจารณาดูใบหน้าของเทพธิดาจากนิกายสวรรค์คนนี้บ่อยๆ บุคลิกของนางมักจะทำให้สวี่ชีอันนึกถึงดอกไม้ในวงการตำรวจที่เขาแอบรักสมัยยังเรียนอยู่ในโรงเรียนตำรวจ
ผมสั้นเท่าติ่งหู เครื่องหน้างดงาม หน้าตาสะอาดสะอ้าน สองขาที่สวมกางเกงลายพรางทั้งยาวทั้งตรง
เทียบกับดอกไม้ประจำโรงเรียนตำรวจคนนั้นแล้ว สวี่ชีอันตัดสินได้ทันทีว่าหลี่เมี่ยวเจินที่ขี่ม้าขาว ถือหอกเงิน สวมผ้าคลุมแดง และใส่เกราะอ่อนผู้นี้ยอดเยี่ยมกว่าเยอะ
หลี่เมี่ยวเจินเอ่ยเสียงเรียบ “ใต้เท้าสวี่ สตรีชาวยุทธ์ไม่จำเป็นต้องยึดติดกับระเบียบเล็กๆ น้อยๆ ก็จริง แต่ถึงอย่างไรข้าก็เป็นสตรี เจ้าจ้องข้าขนาดนี้ออกจะเสียมารยาทไปหน่อยกระมัง”
‘ชิ ชายผู้นี้เป็นพวกบ้ากามจริงๆ’
หากความบ้ากามเป็นความประทับใจแรกในงานเลี้ยง เช่นนั้นตอนนี้ นิยามที่หลี่เมี่ยวเจินให้กับสวี่ชีอันก็คงเปลี่ยนเป็น ‘บ้ากามไม่ใช่เล่นๆ’
รู้สึกว่าภาพลักษณ์ความบ้ากามของข้าจะพลิกกลับได้ยากแล้วสิ…แต่ข้าถูกใส่ร้ายนะ…สวี่ชีอันแย้มยิ้มไม่เปลี่ยนผัน “แม่ทัพหลี่ช่างเหมือนกับสหายเก่าคนหนึ่งของข้านัก”
‘เชอะ!’ หลี่เมี่ยวเจินลอบด่าในใจ สีหน้ายังคงประดับรอยยิ้ม “เมืองไป๋ตี้แห่งนี้ทิวทัศน์งดงาม แต่ระหว่างทางที่ใต้เท้าสวี่ติดตามผู้ตรวจการจางมา คงได้เห็นภาพความทุรกันดารไม่น้อยแล้วกระมัง”
“ช่างทำให้คนสะท้อนใจจริงๆ”
“ปกติแล้ว ผู้บัญชาการของหนึ่งมณฑลจะมีหน่วยทหารใต้บัญชายี่สิบถึงสามสิบหน่วย แต่ผู้บัญชาการอวิ๋นโจวมีหน่วยทหารใต้บัญชาเพียงแค่สิบห้าหน่วยเท่านั้น เจ้ารู้หรือไม่ว่าเพราะเหตุใด” หลี่เมี่ยวเจินถามเองตอบเอง “เพราะประชากรของอวิ๋นโจวน้อยยิ่งนัก ปัญหาโจรร้ายก็รุนแรง จึงไม่อาจรวมเป็นกองกำลังใหญ่ได้ เมื่อไม่มีทหาร แล้วจะปราบโจรอย่างไรเล่า”
ตามระบบทหารของต้าฟ่ง ที่ว่าการในมณฑลที่มีระดับต่ำกว่ากองบัญชาการทหารจะก่อตั้ง ‘หน่วยทหาร’ ขึ้น และหน่วยทหารแต่ละหน่วยจะมีคนอยู่ห้าพันหกร้อยคน ที่ว่าการอำเภอที่อยู่ใต้คำสั่งของที่ว่าการมณฑลก็จะก่อตั้ง ‘กองกำลัง’ ขึ้นมา โดยแต่ละกองกำลังจะมีคนอยู่หนึ่งพันหนึ่งร้อยคน
ใช่ว่าจะไม่มีมณฑลที่มีหน่วยทหารแค่สิบห้าหน่วยเท่านั้น แต่อวิ๋นโจวเป็นพื้นที่ที่มีเหตุโจรกรรมรุนแรง ตามหลักแล้วควรจะมีหน่วยทหารมากกว่ายี่สิบห้าหน่วยด้วยซ้ำ และเมื่อมีกองทัพก็ต้องมีเสบียงพร้อมถึงจะเหมาะสม
“ก็แค่ต้องถางที่ทำนา ปกติกองทัพก็ทำนาเองนี่นา น่าจะพึ่งพาตนเองได้นะ” สวี่ชีอันกล่าว
ผู้บัญชาการแต่ละมณฑลล้วนมีที่นาของกองทัพกันทั้งนั้น ยามที่กองทัพไม่ได้ออกรบก็จะใช้ชีวิตเหมือนกับชาวนา
หลี่เมี่ยวเจินเหลือบมองเขา “แล้วเบี้ยเลี้ยงทหารล่ะ”
…สวี่ชีอันกล่าว “ละอายใจนัก”
นึกได้แล้ว เป็นทหารก็ต้องมีเบี้ยเลี้ยง ไม่ใช่แค่มีข้าวก็เพียงพอก็เป็นอันใช้ได้ ยิ่งเกณฑ์ทหารมากเท่าไหร่ เบี้ยเลี้ยงก็ยิ่งมากตามไปด้วย หากให้เบี้ยเลี้ยงไม่ได้ กองทัพก็จะเละเทะวุ่นวาย ตัวอย่างเช่นนี้มีอยู่ทั่วไปในหนังสือประวัติศาสตร์
“ข้ามาอยู่อวิ๋นโจวได้ปีกว่าแล้ว ได้ไปปราบโจรกับผู้บัญชาการหยางชวนหนานตั้งยี่สิบกว่าครั้ง ทุกครั้งเขาล้วนทุ่มเทแรงกายแรงใจเต็มกำลัง ข้าไม่เชื่อว่าคนเช่นนี้จะสมคบคิดกับโจรภูเขา” หลี่เมี่ยวเจินเผยเจตนาแท้จริง นางมองไปยังสวี่ชีอันด้วยสีหน้าจริงจัง
“ใต้เท้าสวี่เป็นบุคคลสำคัญในการสืบคดีครั้งนี้ ทัศนคติของเจ้าจะตัดสินทัศนคติของผู้ตรวจการ ข้าหวังว่าเจ้าจะจัดการเรื่องนี้ได้อย่างรอบคอบ”
“แม่ทัพหลี่ชมเกินไปแล้ว ข้าเป็นแค่ฆ้องทองแดงตัวเล็กๆ คนหนึ่งเท่านั้น” สวี่ชีอันแสดงสีหน้า ‘ตกอกตกใจ’ ออกมาได้อย่างเป็นธรรมชาติ
หลี่เมี่ยวเจินกล่าวตามตรง “ข้าเคยตรวจสอบใต้เท้าสวี่มาก่อน คิดว่าน่าจะคุ้นเคยกับเจ้าพอสมควร”
อย่างเช่นความชำนาญในการสืบคดี อย่างเช่นเขามีสัมพันธ์กับนางคณิกามากหน้าหลายตาในสำนักสังคีต…
“ใต้เท้าสวี่คล้ายจะมีญาติผู้น้องคนหนึ่งที่กำลังร่ำเรียนอยู่ในสำนักอวิ๋นลู่ใช่หรือไม่”
หมายเลขสองสงสัยในตัวตนของหมายเลขสามอย่างที่คิด…สงสัยว่าเอ้อร์หลางจะเป็นหมายเลขสามปัญญาชนผู้มีน้ำใจสินะ…ข้าไม่พลาดโอกาสที่จะทำให้ความเข้าใจผิดนี้ขยายใหญ่ขึ้นแน่ ถึงอย่างไรเอ้อร์หลางก็อยู่ในสำนักศึกษา หมายเลขสองอยู่ที่อวิ๋นโจว ห่างไกลกันตั้งหลายพันหมื่นลี้…แบบนี้ข้าก็สามารถใช้ ‘ความสัมพันธ์’ ที่มีกับเอ้อร์หลางมาช่วงชิงความไว้วางใจจากหมายเลขสองได้…อย่างไรเสียตัวตนของข้าก็ไม่อาจถูกเปิดเผย เพราะผลลัพธ์จากการตายตกทางสังคมนั้นน่ากลัวเกินไป…สวี่ชีอันกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ใช่แล้ว ฉือจิ้วเป็นปัญญาชนที่มีความทะเยอทะยานท่วมท้น ได้รับความสำคัญจากเหล่าปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งสำนักอวิ๋นลู่อย่างล้ำลึก ว่ากันว่าได้ผู้สืบทอดของสำนักสั่งสอนเองด้วย”
‘ผู้สืบทอดเป็นคนสั่งสอน….มิน่าหมายเลขสามถึงรู้สภาพการณ์ของสำนักอวิ๋นลู่ตั้งมากมายและรู้ข้อมูลลับๆ ทั้งหลายขนาดนี้ได้’ …หลี่เมี่ยวเจินพยักหน้าทันใด แล้วเอ่ยยิ้มๆ
“ใต้เท้าสวี่ช่างมีความปรารถนาอันแรงกล้า องอาจห้าวหาญนัก”
ทัศนคติเปลี่ยนไปอย่างชัดเจน ความรู้สึกประเภทรักบ้านต้องรักอีกาบนหลังคาที่มีต่อสวี่ชีอันก็มีมากขึ้นเช่นกัน
…ตอนนี้ข้าต้องพูดประโยค ‘เจ้าจักรพรรดิหยวนจิ่งสมควรถูกสับเป็นพันชิ้น!’ แล้วสิ ความรู้สึกดีๆ ที่หมายเลขสองมีต่อข้าคงใกล้จะระเบิดแล้วกระมัง
พูดคุยกันอีกสองสามคำ ทั้งคู่ก็เอ่ยลา คนหนึ่งเดินหน้าต่อไป อีกคนหันหลังกลับไปทางเดิม
หลี่เมี่ยวเจินพบตรอกเงียบๆ แห่งหนึ่ง จากนั้นก็หยิบขวดเหล้ามาลบผนึกออกไปแล้วปล่อยซูซูออกมา จากนั้นก็ดีดคนกระดาษออกมาให้นางได้ใช้สิงร่าง
คนกระดาษกลายเป็นแม่นางซูซูผู้งดงามเปี่ยมเสน่ห์ ใบหน้าเต็มไปด้วยความเศร้าสร้อย “นายท่าน…”
หลี่เมี่ยวเจินจ้องนางเขม็งแล้วเอ่ยถาม “เจ้าพูดอะไรกับเขาไปบ้าง”
สวี่ชีอันเปิดเผยตัวตนที่เป็นศิษย์จากลัทธิเต๋าของนางได้ในประโยคเดียวเช่นนั้น เห็นได้ชัดว่าต้องเป็นข้อมูลที่สอบปากคำซูซูมาแน่
ซูซูเงยหน้าขึ้น นิ้วโป้งแตะกับนิ้วชี้เป็นสัญลักษณ์บอกว่า “บอกไปนิดหน่อยเจ้าค่ะ”
“นิดหน่อยคือเท่าไหร่”
“นิดหน่อยก็นิดหน่อยไงเจ้าคะ”
“พูดมา!”
“ก็ไม่ได้พูดอะไรนี่นา ก็แค่ตัวตนของท่านเอย อายุเอย พลังฝึกตนเอย ลงเขามาฝึกประสบการณ์เอย…”
“?”
เครื่องหมายคำถามตัวใหญ่ปรากฏขึ้นในสมองของหลี่เมี่ยวเจิน
“แบบนี้ไม่ใช่บอกไปหมดแล้วหรือ”
“อย่างน้อยข้าก็ไม่ได้บอกเรื่องสมัยที่ท่านอยู่บนเขานี่นา”
“…”
…
สวี่ชีอันกลับไปยังจุดพักเปลี่ยนม้า เห็นจูกว่างเสี้ยวกับซ่งถิงเฟิงยังนั่งอยู่ที่เดิม ทั้งสองต่างมองหน้ากัน ในแววตาเต็มไปด้วยความไม่ไว้วางที่มีต่อเพื่อนร่วมงานอีกฝ่าย
“เหตุใดเจ้าไม่บอกข้าเรื่องของเจ้ากับซูซู”
“เจ้าก็ไม่ได้บอกเหมือนกันนี่”
เมื่อเห็นสวี่ชีอันกลับมาแล้ว สายตาของซ่งถิงเฟิงก็มองเขาอย่างเลื่อนลอย “หนิงเยี่ยน เจ้ารู้ตัวตนของซูซูตั้งแต่แรกแล้วหรือ”
“รู้สิ”
“แล้วทำไมไม่บอกพวกเรา” จูกว่างเสี้ยวกล่าวเสียงขรึม
“ก็พวกเจ้าบอกให้ข้าเก็บเป็นความลับนี่” สวี่ชีอันยักไหล่
ซ่งถิงเฟิงและจูกว่างเสี้ยวมองตาเขา ทันใดนั้นแววตาก็เปี่ยมไปด้วยความไม่เชื่อ
“เช่นนั้นเรื่องระหว่างพวกเรากับซูซูที่โรงน้ำชาก็…” ซ่งถิงเฟิงเอ่ยถามเสียงแผ่ว
“เป็นพวกเจ้าที่หลอนไปเอง” สวี่ชีอันตอบกลับอย่างจริงใจ
“เฮ้อ…” ทั้งคู่ถอนหายใจ ที่แท้ก็เป็นแค่ภาพหลอน
ซ่งถิงเฟิงยิ้มออกมาอย่างโล่งอก “ภาพหลอนสินะ เช่นนั้นก็ไม่มีอะไรแล้ว ข้าเพียงต้องมนตร์เสน่ห์จึงสลบไป”
สวี่ชีอันมองพวกเขาด้วยสายตาเห็นใจแล้วส่ายหน้า “พวกเจ้าถูกวิชาลวงตา แต่ไม่ได้สลบไปเสียหน่อย”
“ไม่ได้สลบ?” จูกว่างเสี้ยวและซ่งถิงเฟิงใจหล่นตุบ
สวี่ชีอันเดินไปที่เสาแล้วเอ่ยเสียงจริงจัง “ถิงเฟิง ตอนนั้นเจ้าเป็นแบบนี้…”
เขากอดเสาแล้วพุ่งเข้าใส่อย่างบ้าคลั่ง
ซ่งถิงเฟิง “…”
“กว่างเสี้ยว เจ้าเป็นแบบนี้…” เขาไปที่โต๊ะ สองมือกดไว้ที่ขอบโต๊ะแล้วออกแรงที่เอว
จูกว่างเสี้ยว “…”
“เอ๋ ทำไมพวกเจ้าต้องไปหลบอยู่ใต้โต๊ะด้วยล่ะ” สวี่ชีอันแสดงบทบาทสมมุติเป็นตัวอย่างเสร็จแล้วก็พบว่าจูกว่างเสี้ยวและซ่งถิงเฟิงเข้าไปหลบอยู่ใต้โต๊ะ ไม่ยอมโผล่หน้าออกมา
“สวี่หนิงเยี่ยน เจ้าไสหัวไป…เจ้าไปซะเถอะ ขอร้องล่ะ เจ้ารีบไปซะ วันนี้ข้าไม่อยากเห็นหน้าเจ้า” ซ่งถิงเฟิงนั่งยองๆ อยู่ใต้โต๊ะแล้วกุมหัว
“ฮ่าๆๆ”
………………………………………………….