ผู้พิทักษ์รัติกาลแห่งต้าฟง - บทที่ 210 เดินทางกลับ
บทที่ 210 เดินทางกลับ
สบายแล้ว…สวี่ชีอันขึ้นไปชั้นบนด้วยความสบายใจ ปล่อยให้เพื่อนร่วมงานทั้งสองได้มีเวลาอยู่เงียบๆ
“ข้าควรอยู่ใต้ท้องรถ ไม่ควรอยู่ในรถ ทำให้เห็นว่าพวกเจ้าหวานชื่นกันขนาดไหน”…“หุๆๆ ฮ่าๆๆ!” เขาเดินขึ้นชั้นบนพร้อมกับหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง
“สวี่หนิงเยี่ยน เจ้ามันสมควรตายพันครั้ง!”
เสียงคำรามด้วยความอายและโกรธของซ่งถิงเฟิงและจูกว่างเสี้ยวดังมาจากด้านหลัง
หลายวันต่อมา สวี่ชีอันก็ได้ประสบกับผลที่ตามมาจากการที่เรือแห่งมิตรภาพได้พลิกคว่ำลง ซ่งถิงเฟิงและจูกว่างเสี้ยวเลือกใช้วิธีเย็นชาและไม่เหลียวแลเขา ทำเหมือนเขาไม่มีตัวตน
สวี่ชีอันเข้าไปพูดคุยกับพวกเขา พวกเขาก็ทำเหมือนไม่ได้ยิน ต่างคนต่างทำงานของตัวเอง
เป็นเพราะสภาพจิตใจพังทลาย รู้สึกละอายใจที่จะคุยกับข้า หรือโกรธเคืองข้ากันแน่ จะต้องเป็นอย่างแรกแน่นอน…สวี่ชีอันคิดเช่นนี้
ดังนั้นในช่วงกินข้าวกลางวัน สวี่ชีอันจึงเริ่มพูดขึ้นก่อน “ข้าลืมเรื่องที่เกิดขึ้นในโรงน้ำชาไปแล้ว และจะไม่หัวเราะเยาะพวกเจ้าอีกแล้ว”
“อะไรนะ” ซ่งถิงเฟิงและจูกวางเซียวโกรธจนแทบบ้า “แม่นางซูซูล้อเล่นกับความรู้สึกของพวกเรา ส่วนเจ้าก็ล้อเล่นกับมิตรภาพของเรา ใครเป็นผู้ถูกกระทำกันแน่”
“เป็นเพราะพวกเจ้าสองคนควบคุมตัวเองไม่ได้ จึงต้องมนตร์ของปีศาจสาว แต่มาโทษข้า?” สวี่ชีอันมองพวกเขาด้วยความโกรธ “ข้าจะปิดบังพวกเจ้าทำไม พวกเจ้ายังมีหน้ามาถามอีก ถ้าข้าเปิดโปงตอนนั้นเลย พวกเจ้าสองคนจะไม่โดดตึกกันหรือ พวกเจ้าลองคิดดู ถ้าไม่ใช่เพราะหลี่เมี่ยวเจินเข้ามา เรื่องก็คงจะถูกปิดไว้เป็นอย่างดีใช่หรือไม่ พวกเจ้าไม่มีใครต้องอายทั้งนั้น กว่างเสี้ยวไม่รู้ว่าถิงเฟิงใช้น้องชายของเขากระแทกเสาอยู่เป็นเวลาหนึ่งเค่อ ถิงเฟิงเจ้าเองก็ไม่รู้ว่าตอนที่กว่างเสี้ยวพยุงโต๊ะไว้ พลังเอวเขาจะดีขนาดนี้”
“หยุด หยุดพูดได้แล้ว…” ซ่งถิงเฟิงและจูกว่างเสี้ยวปิดหน้า
อันที่จริง หากเปิดโปงในตอนนั้น อย่างมากเหล่าซ่งและเหล่าจูก็จะเขินอายอยู่ครู่เดียว และจะไม่เหมือนตอนนี้อย่างแน่นอน อายจนอยากจะลงไปกลิ้งบนพื้น รู้สึกอับอายจนไม่อยากเป็นผู้เป็นคนต่อไปแล้ว
ทุกครั้งที่นึกถึงสิ่งที่พูดต่อหน้าสวี่หนิงเยี่ยน ความรู้สึกที่แสดงออก เช่น ถ้าไม่ใช่นางก็จะไม่แต่งงานอย่างเด็ดขาด หรือจะรู้สึกเสียใจไปตลอดชีวิตเป็นต้น…ซ่งถิงเฟิงและจูกว่างเสี้ยวก็อยากจะคว้านท้องตัวเองจนตายให้รู้แล้วรู้รอดไป ไปเสียจากโลกอันมืดมนนี้
ซ่งถิงเฟิงหันหน้าและพูดอย่างเยาะเย้ย “ข้าไม่มีเพื่อนแบบเจ้า ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา พวกเราก็ตัดขาดกันไปแล้ว”
จูกว่างเสี้ยวกล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า “ข้าก็เช่นกัน”
“อย่ามาล้อเล่น มิตรภาพระหว่างเราสามคนจะสั่นคลอนเพราะผีสาวเพียงตนเดียวได้อย่างไร” สวี่ชีอันเห็นว่าทั้งสองคนยังคงเฉยเมย สีหน้าเย็นชาทั้งคู่ จึงพูดด้วยสีหน้าเจ็บปวดว่า “ถ้าเช่นนั้นกลับถึงเมืองหลวงแล้วจะเชิญพวกเจ้าไปที่สำนักสังคีตก็ได้”
ซ่งถิงเฟิงทำหน้าดูแคลน “แค่สำนักสังคีตก็คิดจะเอามาซื้อข้าและกว่างเสี้ยว?”
สวี่ชีอันกล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า “สองครั้ง”
ซ่งถิงเฟิงทำเสียง ‘ฮึ’ ในลำคอ “ไปให้พ้น อย่ามาคุยกับข้า”
สวี่ชีอันกล่าวด้วยความเจ็บปวดว่า “สามครั้ง”
ซ่งถิงเฟิง ‘หึ…’
สวี่ชีอันกัดฟันพูดว่า “ห้าครั้ง!”
ซ่งถิงเฟิงดึงแขนเสื้อเขาแน่น “ถ้าอย่างนั้นเจ้าต้องเขียนหลักฐานที่เป็นลายลักษณ์อักษร”
หลังจากเรือแห่งมิตรภาพพลิกคว่ำได้สามวัน ในที่สุดก็กลับคืนสู่สภาพปกติ ‘พี่น้องกันนี่นา จะผิดใจกันเพราะความขัดแย้งเล็กๆ น้อยๆ ได้อย่างไร การเชิญไปสำนักสังคีตเป็นเพียงทางลงของทั้งสองฝ่าย สาเหตุสำคัญยังคงเป็นเพราะมิตรภาพนั้นมีความจริงใจมากพอ…’ คำพูดนี้ซ่งถิงเฟิงเป็นคนกล่าว
สวี่ชีอันเห็นด้วยเป็นอย่างมาก จึงกล่าวว่า “ถ้าเช่นนั้นเรื่องสำนักสังคีตก็ยกเลิกก็แล้วกัน”
ซ่งถิงเฟิงและจูกว่างเสี้ยว พูดพร้อมกันว่า “ตัดขาดความเป็นเพื่อน!”
ขณะพูดก็ชูหลักฐานที่เป็นลายลักษณ์อักษรในมือขึ้น
“ยังมีอีก…” จูกว่างเสี้ยวเหลือบมองเขา “ห้ามเผยแพร่เรื่องปีศาจสาวซูซูออกไป… ใครก็พูดไม่ได้”
“ต่อไปเจ้าก็ห้ามเอาเรื่องนี้มาล้อพวกเราอีก” ซ่งถิงเฟิงกล่าวเสริม
ไม่มีปัญหา ข้าไม่ทำอย่างเด็ดขาด จะไม่ทำอย่างเด็ดขาด ฮ่าๆ… สวี่ชีอันรีบหันหน้าหนี ปิดหน้า หลังจากนั้นไม่กี่วินาที เขาก็หันหน้ากลับมาและพูดว่า “ข้าจะไม่ล้อเลียนพวกเจ้าเด็ดขาด”
“เมื่อกี้เจ้าหัวเราะอะไร”
“ข้าไม่ได้หัวเราะ”
“เจ้าหัวเราะ”
“ข้าไม่ได้หัวเราะจริงๆ ข้าได้รับการฝึกมาอย่างเข้มงวด เรื่องน่าขำแค่ไหนก็ไม่มีวันหัวเราะ”
…
นอกเมืองไป๋ตี้ ณ ค่ายทหาร
หลี่เมี่ยวเจินนั่งอยู่ในกระโจมทหาร ฟังรายงานของซูซู “ซ่งถิงเฟิงและจูกว่างเสี้ยวส่วนใหญ่จะอยู่ในจุดพักเปลี่ยนม้า และบางครั้งที่เบื่ออาหารของจุดพักเปลี่ยนม้า ก็จะออกไปหาร้านอาหาร พวกเขาไปเป็นเพื่อนกันสองคน สวี่ชีอันไม่ได้มีส่วนร่วมในเรื่องนี้ เขาไปไหนมาไหนคนเดียว ทุกครั้งที่เขาออกไปก็จะไปที่หอคณิกา จะใช้เวลาอยู่ที่หอคณิกาหนึ่งชั่วยามเกือบทุกวัน จากนั้นก็จะกลับไปที่จุดพักเปลี่ยนม้า ในระหว่างนี้ไม่ได้ไปยังหน่วยงานใดๆ แล้วก็ไม่ได้สืบสวนคดีของโจวหมินด้วย อืม หลุมฝังศพของโจวหมินมีร่องรอยการเคลื่อนไหว จากการคาดคะเนตามเวลา น่าจะเป็นวันที่คณะผู้ตรวจการมาถึงเมืองไป๋ตี้…”
หลายวันมานี้ ซูซูทำหน้าที่เป็นสายลับ จับตาดูการเคลื่อนไหวในจุดพักเปลี่ยนม้า ทันทีที่กลุ่มของสวี่ชีอันสามคนออกมา นางก็จะสะกดรอยตามไปอย่างเงียบๆ
ทหารนั้นสัมผัสพลังหยินไม่ได้ และยิ่งมองไม่เห็นภูตผีและวิญญาณด้วย แค่เพียงรักษาระยะห่างให้ดี ซูซูก็จะไม่ถูกจับได้
“มีอะไรที่ผิดปกติอีกหรือไม่” หลี่เมี่ยวเจินถาม
‘ผิดปกติ? สวี่ชีอันเก็บเงินทุกวันนับว่าผิดปกติหรือไม่…’ ซูซูพึมพำในใจ แต่นางรู้ว่าหลี่เมี่ยวเจินกำลังถามเกี่ยวกับเรื่องที่เกี่ยวข้องกับโจวหมิน จึงส่ายหน้า
“ไม่มีเจ้าค่ะ ดูเหมือนว่าพวกเขาจะรอให้ผู้ตรวจการกลับมา แล้วจึงค่อยทำการสอบสวนคดีของโจวหมิน”
เรื่องที่เว่ยเยวียนกล่าวโทษผู้บัญชาการแห่งเมืองอวิ๋นโจวหยางชวนหนาน พรรคฉีได้ส่งจดหมายมาแจ้งแล้ว คณะผู้ตรวจการมาทำไม วงราชการของอวิ๋นโจวทุกคนต่างรู้อยู่แก่ใจดี
หลี่เมี่ยวเจินดึงจุกขวดกระเบื้องขวดหนึ่ง แล้วเรียกผีที่อาศัยอยู่ในขวดออกมา เป็นปัญญาชนวัยกลางคนที่มีลักษณะสูงและผอม
“ข้าพูด เจ้าเขียน! ”
“ขอรับ นายท่าน”
จากข้อมูลที่หลี่เมี่ยวเจินได้รับจากพรรคฟ้าดิน นางเชื่อว่าตัวเองรู้จักสวี่ชีอันเป็นอย่างดี สืบสวนคดีเก่งและมีประสบการณ์สูง หากเขามีเบาะแสอะไร หรือมีทิศทางที่แม่นยำจริงๆ เขาจะไม่มีวันเสียเวลาอยู่ที่จุดพักเปลี่ยนม้าหลายวันขนาดนี้ ยิ่งคดีดำเนินช้าเท่าไหร่ เบาะแสก็จะยิ่งน้อยลงเท่านั้น นี่แสดงว่าสวี่ชีอันก็หมดปัญญาแล้วเช่นกัน
หลังจากนั้นไม่นานจดหมายก็ถูกเขียนเสร็จ หลี่เมี่ยวเจินมอบจดหมายให้ซูซู “ส่งจดหมายไปให้หยางชวนหนาน”
“เจ้าค่ะ!” ซูซูกอดจดหมายและบิดเอวเล็กๆ ของตนเดินออกจากกระโจมทหาร
นางหยุดอยู่ที่หน้าม่านหนา หันหน้ากลับไปอีกครั้ง พลางขมวดคิ้ว เผยสีหน้าน่าสงสาร
“มีอะไรจะพูดก็พูดมา” หลี่เมี่ยวเจินพูดอย่างไม่สบอารมณ์
“เจ้านายจะไม่ล้างแค้นให้ข้าหรือ เด็กนั่นข่มเหงข้า” ซูซูฟ้องอย่างไม่ยินยอม
“เขากักขังเจ้าแค่วันเดียวเท่านั้น” หลี่เมี่ยวเจินโบกมือ ปฏิเสธคำขอของปีศาจสาวใต้บังคับบัญชา
ผู้หญิงทุกคนล้วนใจแคบ ผู้หญิงยิ่งสวยก็ยิ่งใจแคบ เกี่ยวกับเรื่องนี้ หลี่เมี่ยวเจินไม่เคยเข้าใจเลย
นางชอบชีวิตแบบดื่มเหล้าชามโต กินเนื้อคำใหญ่ และนำกองกำลังไปปราบโจร มีบุญคุณก็ตอบแทน มีแค้นก็ชำระเช่นนี้มากกว่า พูดง่ายๆ ก็คือ…จิตใจเป็นชายอย่างสมบูรณ์
‘ฮึ’ ซูซูเดินสะบัดออกไปอย่างโกรธเคือง
…
อำเภอชิงผิงที่อยู่รอบนอกเมืองไป๋ตี้ ณ ร้านอาหารที่ใหญ่ที่สุดในอำเภอ
วันนี้ร้านอาหารถูกเหมาแล้ว ในฐานะที่เป็นจุดสุดท้ายในการตระเวนตรวจสอบ อาหารกลางวันจึงถูกจัดเตรียมไว้มากมาย
หลังอาหารกลางวัน ซึ่งนำโดยผู้อาวุโสสามคนคือผู้ตรวจการจาง หยางชวนหนาน และซ่งฉางฝู่ พร้อมด้วยขุนนางชั้นสูงของอวิ๋นโจวมากกว่าสิบคน แลกเปลี่ยนความคิดเห็นหลังจากการตระเวนตรวจสอบในห้องส่วนตัวของร้านอาหาร
ผู้ตรวจการจางถือโอกาสเกรี้ยวกราด ประณามเหล่าขุนนางอย่างรุนแรงว่าคอยรับแต่เงินเดือนโดยไม่ยอมทำงาน ปล่อยให้เกิดการโจรกรรมไปทั่ว ส่งผลให้มีผู้ลี้ภัยในอวิ๋นโจวเพิ่มมากขึ้น ชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนตกต่ำ
“คำพูดของใต้เท้าผู้ตรวจการ ทำให้ข้ารู้สึกอับอายยิ่งนัก” สมุหเทศาภิบาลซ่งกล่าวด้วยความละอายใจ
“ตามรายงานลับ เกิดการโจรกรรมในอวิ๋นโจวนั้น เป็นเพราะมีคนคอยสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง โดยคอยส่งยุทธปัจจัยให้” ผู้ตรวจการจางพูดเป็นนัยว่า ‘คนบางคน กินเงินเดือนขององค์จักรพรรดิ แต่กลับทำการช่วงชิงอำนาจ’
เหล่าขุนนางเหลือบมองผู้บัญชาการหยางชวนหนานที่เงียบขรึมไม่พูดจา ไม่มีใครพูดแทนเขา แต่ทุกคนกลับแสดงความเห็น สนับสนุนให้ผู้ตรวจการจางทำการตรวจสอบอย่างเข้มงวด
หยางชวนหนานไม่ได้แสดงความคิดเห็นใดๆ นั่งนิ่งเหมือนภูเขา ปล่อยให้กลุ่มคนเหล่านั้นผลัดกันกล่าววาจาอย่างมีเลศนัย
บรรยากาศของการปลีกวิเวกและแรงกดดันหยางชวนหนานของวงราชการในอวิ๋นโจว ก่อตัวขึ้นระหว่างการลาดตระเวนตรวจสอบ
ในเวลานี้ นายทหารชั้นสูงคนหนึ่งเคาะประตูแล้วเดินเข้ามา เขาเป็นคนสนิทของหยางชวนหนาน เขาเหลือบมองเหล่าขุนนางอย่างเย็นชา แล้วส่งจดหมายลับฉบับหนึ่งให้หยางชวนหนาน ก่อนจะหันหลังเดินออกไป
หยางชวนหนานเปิดซองจดหมายและอ่านจนจบ ใบหน้าที่เคร่งขรึมพลันปรากฏรอยยิ้ม พับซองจดหมาย หัวเราะแล้วพูดว่า “ข้าก็ขอสนับสนุนใต้เท้าผู้ตรวจการเช่นกัน จะต้องทำการตรวจสอบอย่างเข้มงวด ไม่ควรปล่อยไว้ให้ยืดยาว ในมือของใต้เท้าผู้ตรวจการมีคนที่มีความสามารถมากมาย น่าจะทำให้ความจริงปรากฏได้ในไม่ช้า”
ผู้ตรวจการจางขมวดคิ้ว สายตาจับจ้องไปที่จดหมายในมือของหยางชวนหนาน ขุนนางคนอื่นๆ ก็เช่นเดียวกัน ต่างพากันคาดเดาว่าในจดหมายนั้นเขียนว่าอะไร จึงทำให้หยางชวนหนานเต็มไปด้วยความมั่นใจขึ้นมาในทันที
ระหว่างทางกลับเมืองไป๋ตี้ ผู้ตรวจการจางเลิกม่านขึ้นแล้วสำลักไออย่างรุนแรง
เจียงลวี่จงซึ่งอยู่ข้างหน้าหันมามอง ชะลอความเร็วของม้าอย่างรู้กัน วิ่งเคียงคู่กับรถม้า
“จู่ๆ ข้าก็เกิดลางสังหรณ์ไม่ดี…” ผู้ตรวจการจางมองฆ้องทองคำคนนี้ที่แทบไม่มีส่วนในการสืบสวนคดีเลย
“เป็นเพราะจู่ๆ หยางชวนหนานก็เหิมเกริมขึ้นในทันใด?” เจียงลวี่จงเข้าใจทันที
ผู้ตรวจการจางส่งเสียง ‘อืม’ การตระเวนตรวจสอบครั้งนี้เขาเป็นคนปูทางและหยั่งเชิง โดยมีจุดประสงค์ที่จะแยกวงราชการของอวิ๋นโจวออกจากกัน เพื่อเตรียมการจับกุมหยางชวนหนาน
หากวงราชการของอวิ๋นโจวเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ถ้าเช่นนั้นเขาก็จะต้องวางแผนอย่างรอบคอบ หากไม่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ก็ต้องหาวิธีแยกตัวหยางชวนหนานออกไป และต้องได้รับการสนับสนุนจากวงราชการของอวิ๋นโจว
สำหรับเรื่องนี้ ผู้ตรวจการจางมีความมั่นใจเป็นอย่างสูง เพราะในงานเลี้ยงอาหารค่ำตอนที่เพิ่งมาถึงอวิ๋นโจวครั้งแรก สมุหเทศาภิบาลซ่งได้เปิดเผยข้อมูลบางอย่างไปบ้างแล้ว
ทุกอย่างคืบหน้าไปอย่างราบรื่นมาก จากการร่วมมือของผู้ตรวจการจางและสมุหเทศาภิบาลซ่ง ได้มีการส่งสัญญาณไปยังเหล่าขุนนางว่า “พวกเรากำลังจะจัดการหยางชวนหนาน” และบังคับให้พวกเขาอยู่ในแถว
แต่หลังจากได้รับจดหมายฉบับนั้นแล้ว ดูเหมือนหยางชวนหนานจะรู้สึกมั่นใจขึ้นมาในทันที ไม่นิ่งเงียบอีกต่อไป และยังถึงกับหัวเราะและหยอกล้อเขา
ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายมีที่พึ่งอะไรแน่…ผู้ตรวจการจางนวดคิ้ว
“ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ใต้เท้าผู้ตรวจการจะต้องแก้ปัญหาวงราชการให้ได้ ด้านกำลังทหารมีข้าอยู่ ด้านสืบสวนคดีก็มีสวี่ชีอัน” เจียงลวี่จงจับบังเหียนม้า กล่าวปลอบใจ
ผู้ว่าการจางพยักหน้าพึมพำเบาๆ “คงทำได้แค่ฝากความหวังไว้กับหนิงเยี่ยนแล้ว หวังว่าเขาจะสามารถไขปริศนา และพบหลักฐานที่โจวหมินทิ้งไว้โดยเร็วที่สุด”
“รหัสไขปริศนาอะไรกัน โจวหมินเจตนาแกล้งกันชัดๆ” เจียงลวี่จงด่าทอ
ผู้ตรวจการจางได้ยินดังนั้น ก็รู้สึกหนักใจขึ้นไปอีก
คณะใหญ่รีบเดินทางกลับถึงเมืองไป๋ตี้ก่อนพระอาทิตย์ตกดิน ท่ามกลางแสงสีทองยามพระอาทิตย์ตกดิน ผู้ตรวจการจางได้นำกองกำลังเดินทางไปยังจุดพักเปลี่ยนม้า
เวลานี้เพิ่งห้ามออกนอกบ้านในตอนกลางคืนไม่นาน แต่ถนนกลับว่างเปล่า เดิมที่น่าจะออกเดินทางไม่ได้แล้ว แต่ที่นี่ไม่ใช่เมืองหลวง และผู้ตรวจการก็เป็นขุนนางที่ใหญ่ที่สุดในอวิ๋นโจว การห้ามออกนอกบ้านในตอนกลางคืนไม่สามารถจำกัดเขาได้
บรรดาทหารประจำจุดพักเปลี่ยนม้าได้รับข่าวล่วงหน้าว่าใต้เท้าผู้ตรวจการจะเดินทางกลับมาวันนี้ จึงยุ่งอยู่กับการเตรียมอาหารเย็นจนควันขโมงลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า
รถม้าจอดอยู่ที่ทางเข้าจุดพักเปลี่ยนม้า ผู้ตรวจการจางเหยียบตั่งที่ผู้ติดตามวางไว้ให้ลงจากรถม้า ฆ้องทองแดงหลายคนที่อยู่รักษาเหตุการณ์ที่จุดพักเปลี่ยนม้ารออยู่ตรงลานที่พัก รวมถึงสวี่ชีอันและพวกรวมสามคน
ผู้ตรวจการจางกำลังวิตกกังวลกับท่าทีของหยางชวนหนาน เมื่อเขาเห็นสวี่ชีอันก็สะดุ้งทันที “เจ้าเป็นอะไรไป”
ดวงตาของสวี่ชีอันแดงก่ำ ขอบตาไม่ใช่สีดำแต่เป็นสีคล้ำเขียว ซ้ำยังบวมเล็กน้อย ดูร่างกายของเขาแล้วรู้สึกเหมือนจะปลิวไปตามลม ลอยละล่องขึ้นไปสู่ท้องฟ้าได้ทุกเมื่อ
เจียงลวี่จงก้าวขายาวๆ เข้ามา สังเกตสวี่ชีอันอย่างละเอียด “กี่วันแล้ว”
สวี่ชีอันกล่าวอย่างกลุ้มใจว่า “สิบห้าวันแล้ว”
“…” เหล่าเจียงสูดลมหายใจเย็นเยียบเข้าปอด “สภาพตอนนี้เป็นอย่างไร”
“ยังไหว อาจจะตายเมื่อไรก็ได้” สวี่ชีอันกล่าว
‘งั้นแสดงว่ายังไม่ถึงขีดสุด พลังวิญญาณของเจ้าหมอนี่ทรงพลังมาก? เมื่อเขาได้รับการเลื่อนขั้นสู่ระดับหลอมวิญญาณ วิญญาณจะก้าวไปถึงระดับไหนกัน’
ทหารระดับหลอมวิญญาณ พลังจิตจะว่องไวมาก การเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยใดๆ รอบตัวล้วนปิดบังการรับรู้ไม่ได้ โดยเฉพาะศัตรู
ดังนั้นทหารในระดับหลอมวิญญาณจึงแทบจะไม่ถูกซุ่มโจมตี ขณะเดียวกันพลังงาน ลมปราณ และจิตวิญญาณทั้งสามมาบรรจบกัน คอยส่งเสริมซึ่งกันและกัน พลังการต่อสู้ก็จะสูงขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง
รอจนทั้งสองคนพูดคุยกันจบแล้ว ผู้ตรวจการจางก็ถามอย่างอดกลั้นไม่ได้ว่า “หนิงเยี่ยน เกี่ยวกับรหัสลับของโจวหมิน พอมีเค้าเงื่อนบ้างหรือยัง”
“ได้สมุดบัญชีมาแล้ว” สวี่ชีอันตอบด้วยน้ำเสียงสงบ
เมื่อผู้ว่าราชการจางได้ฟังแล้วก็รู้สึกสงบลงเช่นกัน พยักหน้าแล้วกล่าวว่า “อย่าท้อแท้ จะต้องไขรหัสลับได้แน่นอน…”
ทันใดนั้นเขากลับหยุดชะงัก แล้วเหลือบมองสวี่ชีอันอย่างเงียบๆ
……………………………………………………….