ผู้พิทักษ์รัติกาลแห่งต้าฟง - บทที่ 214-1 ซับซ้อนชวนสับสน
บทที่ 214-1 ซับซ้อนชวนสับสน
ไอ้บัดซบเอ๊ย…ชั่วพริบตาที่มองเห็นเจ้าของร้านขายเนื้อสุนัข ในหัวของสวี่ชีอันก็ปรากฏเพียงคำนี้ หลังจากผ่านไปนาน เขาก็งุนงงและโมโห ทั้งยังหวาดกลัวขึ้นมาเล็กน้อย
งุนงงก็เพราะไม่เข้าใจว่าทำไมมันถึงได้เปลี่ยนเป็นเช่นนี้ โมโหก็เพราะรู้สึกว่าสติปัญญาของตนถูกดูหมิ่น และหวาดกลัวเพราะหากอีกฝ่ายวางแผนร้าย ตอนนั้นตนคงติดกับแน่ๆ
“คนผู้นี้ชื่อว่าเหลียงโหย่วผิง เขาแตกต่างกับโจวหมินเพราะเป็นคนอวิ๋นโจวแท้ๆ ได้ยินหยางชวนหนานบอกว่าคนผู้นี้ยังติดต่อกับพรรคฉีผ่านทางเขาอีก” หลี่เมี่ยวเจินกล่าว
“เสมียนของกรมบัญชาการทหาร มีอำนาจเหมือนกับโจวหมิน…” ผู้ตรวจการจางครุ่นคิด จากนั้นพักหนึ่งก็เอ่ยด้วยความสงสัย “เหตุใดเจ้ากับหยางชวนหนานจึงไม่ติดต่อข้าให้เร็วกว่านี้แล้วพูดตามตรง”
หลี่เมี่ยวเจินหลังเหยียดตรง อยู่ในท่าเดิมไม่ขยับไปไหน หันแค่ใบหน้าทรงเมล็ดแตงสีข้าวเปลือกแล้วพูดเสียงเรียบ
“เมื่อมีการตรวจสอบข้าราชสำนัก การต่อสู้ระหว่างฝักฝ่ายในราชสำนักก็ดุเดือดขึ้น จึงไม่รู้ว่าเจ้าชุดครามแซ่เว่ยจะวางแผนใช้โอกาสนี้ถอนรากถอนโคนขุนนางในแต่ละพื้นที่ของพรรคฉีหรือไม่”
“ข้าเป็นตัวแทนของโอรสสวรรค์ เพียงทำหน้าที่ของตนให้ดีที่สุด ปฏิบัติต่อปวงชนอย่างดี และลงโทษเจ้าหน้าที่ทุจริต เท่านี้ก็นับว่าไม่ผิดต่อความไว้ใจของฝ่าบาทและเว่ยกงแล้ว” ผู้ตรวจการจางเอ่ยเสียงขรึม
หลี่เมี่ยวเจินเบ้ปาก ทำหน้าตาหยามเหยียด
จักรพรรดิหยวนจิ่งที่น่าสับเป็นพันชิ้น…สวี่ชีอันลอบคาดเดาความคิดในใจของหมายเลขสอง
เขาถอนหายใจอย่างเหนื่อยล้าแล้วเคาะโต๊ะ หลังจากดึงดูดสายตาของทั้งสามคนแล้ว เขาก็เอ่ยเสียงทุ้มต่ำ “ข้ารู้จักคนผู้นี้!”
ทั้งสามตกใจ
สวี่ชีอันจ้องไปยังภาพเหมือนแล้วเอ่ยถาม “เขาขาพิการใช่หรือไม่”
“ใช่ เหลียงโหย่วผิงเคยขาหักข้างหนึ่งระหว่างทางขึ้นเขาไปปราบโจร” หลี่เมี่ยวเจินตอบ
…คำพูดของคนผู้นั้นไม่อาจเชื่อได้แม้แต่นิดเดียว ในตอนนั้นแม้แต่ข้าก็ยังรู้สึกประทับใจอยู่เลย สวี่ชีอันรู้สึกอยากจะด่ากราดอีกครั้ง
ขณะเดียวกัน เขาก็รู้สึกได้ว่าสภาพของตัวเองย่ำแย่จริงๆ เพราะตอนนั้นไม่คิดจะใช้วิชามองปราณมาตรวจดูว่าคนผู้นั้นพูดจริงหรือเท็จเลยสักนิด
หากเป็นยามปกติ เขาไม่มีทางทำผิดพลาดใหญ่หลวงขนาดนี้แน่
“เกิดอะไรขึ้น” ผู้ตรวจการจางอดเอ่ยถามไม่ได้
สวี่ชีอันด้านหนึ่งโบกมือ อีกด้านนวดหว่างคิ้ว “ใต้เท้าผู้ตรวจการ ตอนนี้สมองของข้าสับสนวุ่นวายนัก อืม ข้าต้องไปที่หนึ่งก่อน แล้วเดี๋ยวข้าจะอธิบายให้ท่านฟัง”
พูดพลาง เขาก็หันไปหาเจียงลวี่จง “ฆ้องทองคำเจียงจะไปกับข้าหรือไม่”
เจียงลวี่จงเหลือบมองผู้ตรวจการจางแล้วส่ายหน้า “คำสั่งของเว่ยกงคือต้องติดตามและคุ้มครองใต้เท้าผู้ตรวจการตลอดเวลา”
ก็ได้ มีเหตุผลอยู่ หากพวกเรากลับมาแล้วพบว่าหัวของใต้เท้าผู้ตรวจการถูกคนเอาไปเตะเป็นลูกบอล คงจะสบายใจน่าดู…สวี่ชีอันจึงกล่าว
“เช่นนั้นก็สั่งให้ฆ้องเงินสองคนไปกับข้า แล้วก็ยืมกองทหารพยัคฆ์ทะยานสามสิบนายให้ข้าด้วย”
เขาไม่ยอมรับว่าตัวเองหวาดกลัว ทุกอย่างที่ทำไปก็เพื่อความปลอดภัยทั้งนั้น
“ข้าไปด้วย!” ท่าทางของหลี่เมี่ยวเจินกระตือรือร้นยิ่ง
สวี่ชีอันรีบเปลี่ยนคำ “ฆ้องทองคำเจียง ข้าต้องการฆ้องเงินสามคนขอรับ”
หลี่เมี่ยวเจิน “…”
ฆ้องทองแดงคนนี้ไม่ไว้ใจนาง หลี่เมี่ยวเจินแสดงท่าทางแบบสตรีออกมา ตวัดหางตามองเขาอย่างร้ายกาจ
พักหนึ่ง สวี่ชีอัน ฆ้องเงินสามคน กองทหารพยัคฆ์ทะยานสามสิบนาย และหลี่เมี่ยวเจินกับซูซูก็พากันขี่ม้าออกจากจุดพักเปลี่ยนม้าและพุ่งทะยานไปยังตลาดมืดที่ถนนหวงป๋อ
เพราะมีประสบการณ์บุกทะลวงเป็นคณะใหญ่เมื่อไม่นานมานี้ ดังนั้นพอกองทหารลาดตระเวนเห็นชุดเครื่องแบบของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลก็ไม่ได้ขัดขวาง แต่กลับหลีกทางให้แทน
คณะผู้ตรวจการที่มาจากเมืองหลวงมีอำนาจกระทำการตามความเหมาะสม
เมื่อออกจากเมืองชั้นใน ไม่นานก็มาถึงถนนหวงป๋อ กองทหารพยัคฆ์ทะยานในชุดเกราะสว่างไสวกลุ่มหนึ่งพุ่งเข้าไปในตลาดมืด ทำให้ผู้คนตามทางระแวดระวังและไม่ชอบใจ พากันถอยหลบกันทั้งนั้น
สวี่ชีอันพาคณะมายังร้านค้าหมายเลขสิบห้า แล้วต้องเผชิญกับความตกตะลึงว่าประตูใหญ่ปิดสนิท ประตูหน้าต่างทุกบานล้วนแต่ดำมืด ไม่มีแสงตะเกียงส่องลอดออกมาเลย
ใจเขาหล่นวูบไปอยู่ที่ตาตุ่ม รีบโบกมือให้กองทหารพยัคฆ์ทะยานล้อมร้านเอาไว้แล้วคิดจะบุกเข้าไป
“เดี๋ยวก่อน!” หลี่เมี่ยวเจินตะโกนบอก
นางหยิบถุงปักดิ้นออกมาจากกระเป๋าที่เอว จากนั้นเปิดออก ควันสีเขียวอ้อยอิ่งลอยขึ้นมาแล้วพุ่งเข้าไปในร้านผ่านทางช่องประตูหน้าต่าง
“ตรวจตราได้เยี่ยม” สวี่ชีอันเอ่ยชม
หลี่เมี่ยวเจินเอ่ยว่า ‘อืม’ อย่างภาคภูมิใจ
ลัทธิเต๋าช่างน่าสนใจจริงๆ หนึ่งปราณมีสามวิสุทธิ์ เส้นทางการฝึกตนของนิกายสวรรค์ ปฐพี และมนุษย์ล้วนแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง นิกายปฐพีฝึกบุญกุศล นิกายสวรรค์ฝึกฝนการไร้ความรู้สึก นิกายมนุษย์กลับตรงกันข้าม กลับฝึกให้นักพรตหญิงดีๆ ที่งดงามคนหนึ่งกลายเป็นนางจิ้งจอกไปเสียได้…ขณะที่สวี่ชีอันแอบก่นด่าในใจ จู่ๆ เขาก็คิดได้ถึงเรื่องหนึ่ง
ที่นิกายสวรรค์และมนุษย์เหมือนน้ำกับไฟนั้น เป็นเพราะเส้นทางการฝึกตนที่ตรงข้ามกันหรือไม่นะ
ส่วนนิกายปฐพีฝึกฝนบุญกุศล ไม่ยุ่งเกี่ยวกับทั้งสองฝ่าย ดังนั้นความสัมพันธ์กับสองนิกายจึงพอใช้ได้ ไม่โกรธไม่เกลียดใดๆ หากพบหน้าก็ยังสามารถพูดจาดีมาดีกลับได้อยู่
ไม่อย่างนั้นหลี่เมี่ยวเจินที่เป็นเทพธิดาของนิกายสวรรค์จะเข้าร่วมพรรคฟ้าดินได้อย่างไร
ส่วนผู้นำเต๋าลั่วอวี้เหิงคนนั้นก็คงไม่มอบโอสถให้กับนักบวชเต๋าจินเหลียนหรอก
การหาผลประโยชน์ให้รอบด้านถือเป็นมหาราชจริงๆ เหมือนกับที่ข้าไปแทรกอยู่ระหว่างหลินอันและฮว๋ายชิ่ง ได้ใจทั้งสองฝ่าย จีบได้ทั้งสองทาง
ว้าว! สมบูรณ์แบบ
ตอนนี้เอง ควันสีเขียวก็ลอยเอื่อยกลับมาเอ่ยกระซิบข้างหูหลี่เมี่ยวเจินพักหนึ่ง แล้วกลับเข้าไปในถุงปักดิ้น
“ในร้านไม่มีใคร และไม่มีการซุ่มโจมตีด้วย” หลี่เมี่ยวเจินบอก
สวี่ชีอันโบกมือทันที เขาพาฆ้องเงินสามคนพังประตูเข้าไปแล้วค้นหาทั่วทุกชั้น เครื่องเรือนในร้านทั้งหมดล้วนยังอยู่ที่เดิม ไม่ได้ถูกทำลาย
ในลิ้นชักที่ปิดอยู่ถึงขั้นยังมีเงินอยู่ยี่สิบตำลึงเงิน สวี่ชีอันยึดมันเข้าสู่หลวงทั้งหมดโดยการเก็บเข้ากระเป๋าของตัวเอง
…ไม่มีร่องรอยของการต่อสู้ ไม่มีร่องรอยค้นหา…เจ้าของร้านราวกับไม่อยู่ชั่วคราว…การค้นหาไร้ผลลัพธ์ สวี่ชีอันพาทุกคนเดินออกจากร้านไปหาเจ้าของร้านข้างๆ ที่ออกมารับชมความครึกครื้น
ร้านแห่งนี้ก็ทำกิจการขาย ‘เนื้อสุนัข’ เช่นเดียวกัน
“เจ้ามานี่หน่อย ข้ามีอะไรจะถาม”
เจ้าของร้านติงหมายเลขสิบหก เดินเข้ามาหาอย่างเชื่อฟัง ท่าทางเคารพนอบน้อม “ใต้เท้า”
“เจ้าของร้านติงหมายเลขสิบห้าไปไหนแล้ว”
“เขาไม่ได้เปิดทำการมาหลายวัน สตรีที่เลี้ยงไว้ในร้านของเขาล้วนวิ่งมาทำงานกับข้าหมดแล้วขอรับ” เจ้าของร้านหมายเลขสิบหก ถามตรงตอบตรง แต่ไม่พูดจาเวิ่นเว้อ
“ปิดทำการตั้งแต่เมื่อไหร่” สวี่ชีอันถามอีก
“สามวันก่อนขอรับ”
สามวันก่อน…หลังจากที่ข้ามา? แววตาของสวี่ชีอันส่องประกาย เขาถามต่อ “เจ้าของร้านหมายเลขสิบห้าขาพิการใช่หรือไม่”
“ใช่ขอรับ แต่ไม่ใช่เจ้าของร้านคนเดิม”
…ไม่ใช่เจ้าของคนเดิม การคาดเดาในใจของสวี่ชีอันเป็นจริง “แล้วเจ้าของร้านคนเดิมล่ะ เจ้าของใหม่ที่ขาพิการมารับช่วงต่อตั้งแต่เมื่อใด”
“ร้านหมายเลขสิบห้าน่าจะเปลี่ยนเจ้าของเมื่อประมาณสิบวันก่อน ส่วนเจ้าของเดิมไปไหน เรื่องนั้นข้าก็ไม่ทราบขอรับ”
สวี่ชีอันไปถามเจ้าของร้านอื่นๆ ที่อยู่โดยรอบอีก คำตอบที่ได้รับล้วนไม่ต่างกันนัก เจ้าของร้านรอบๆ ก็ประหลาดใจกับการเปลี่ยนเจ้าของอย่างฉับพลันของร้านหมายเลขสิบห้าเช่นกัน
แต่คนในตลาดมืดล้วนไร้มิตรไมตรี จึงไม่มีใครเก็บมาใส่ใจ
ระหว่างทางกลับ ม้าเคลื่อนตัวอย่างเชื่องช้า สวี่ชีอันนวดหว่างคิ้วไปไม่รู้กี่ครั้งแล้ว
หลี่เมี่ยวเจินหันหน้ามองเขา น้ำเสียงน่าดึงดูดแบบสตรีโตเต็มวัย “เหมือนว่าจิตใจของเจ้าจะดูอ่อนเพลียนะ”
ข้าจะได้ทำให้เจ้ารู้ว่าข้าไม่ใช่พวกบ้ากามสักที…สวี่ชีอันกล่าว “แม่ทัพหลี่เหมือนจะเข้าใจข้าผิดนะ คงคิดว่าข้าเป็นคนเจ้าชู้ ไม่อย่างนั้นคงไม่ส่งแม่นางซูซูมายั่วยวนข้าหรอก”
“หรือไม่ใช่ล่ะ”
เมื่อเจอกับพฤติกรรมคุยไม่ถูกคอก็ทำเป็นแก้ตัวของสวี่ชีอัน หลี่เมี่ยวเจินจึงเลือกจะทำตัวแข็งกระด้าง
“ข้ากำลังทะลวงระดับหลอมวิญญาณ ไม่ได้นอนมานานแล้ว” สวี่ชีอันอธิบาย
เขาไม่ได้ลงรายละเอียดว่ากี่วัน
‘ทะลวงระดับหลอมวิญญาณ?’ หลี่เมี่ยวเจินค่อยๆ เบิกตากว้างแล้วมองพิจารณาเขา
ตอนนี้เอง นางถึงได้รู้ตัวว่าตนเข้าใจผิดมาโดยตลอด ครั้งแรกที่เห็นสวี่ชีอันที่มีรอยคล้ำรอบดวงตาวงใหญ่ ไม่ว่าใครก็ล้วนคิดว่าอีกฝ่ายมั่วโลกีย์เกินควรกันทั้งนั้น ไม่ได้คิดเลยว่ากำลังทะลวงระดับหลอมวิญญาณ
จากนั้นหมายเลขหนึ่งในพรรคฟ้าดินวิจารณ์สวี่ชีอันว่าเป็นพวกบ้ากามที่ชอบหมกมุ่นอยู่ในสำนักสังคีต ภาพลักษณ์คนเจ้าชู้มั่วโลกีย์จึงเป็นรูปร่างชัดเจนขึ้นมา
‘แม้ว่านี่จะเป็นความเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากการทะลวงระดับหลอมวิญญาณ แต่ก็เปลี่ยนแปลงความจริงที่เจ้าเป็นตัวบ้ากามไม่ได้หรอก…เจ้าไม่มีวันรู้หรอกว่าข้ารู้จักเจ้ามากแค่ไหน…’ หลี่เมี่ยวเจินลอบเอ่ยในใจ
…………………………………………………